ข่าว
ไพร่หมื่นล้านชนบิ๊กตู่ ชวนปิดทีวีมาดูไลฟ์สด

4 พ.ค.61 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานบริหารกลุ่มบริษัท ไทยซัมมิท โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว Thanathorn Juangroongruangkit โดยตั้งหัวข้อว่า “ปิดทีวีช่วยชาติประหยัดไฟ คืนนี้สองทุ่มมาดูไลฟ์กันครับ” #ธนาธรไลฟ์

ขณะที่เพจอนาคตใหม่ - The Future We Want ระบุข้อความว่า “ธนาธร-ปิยบุตร จะมาอัพเดทความเคลื่อนไหวของอนาคตใหม่ รอฟังข่าวดีเกี่ยวกับการประชุมพรรคครั้งแรก ที่มาของกิจกรรมการให้แนวร่วมอนาคตใหม่ส่งเพลงเข้ามาเพื่อรับคัดเลือกเป็นเพลงของพรรค อ.ปิยบุตรจะมาเจาะลึกจัดเต็มเรื่องพรรคทหาร เจอกันคืนนี้ ศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม 20.00 น.”

มีรายงานว่า หลังจากโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ปรากฏว่าในโลกโซเซี่ยลได้แสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวางว่า นายธนาธรจัดไลฟ์เพื่อต้องการชนกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ซึ่งจัดรายการ “ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ทุกคืนวันศุกร์เวลา 20.15 น. หรือไม่ โดยเฉพาะการใช้คำว่า “ปิดทีวีช่วยชาติประหยัดไฟ คืนนี้สองทุ่มมาดูไลฟ์กันครับ” มีเจตนาช่วงชิงเรตติ้งหรือไม่เพราะเวลาใกล้เคียงกันมาก

นอกจากนี้การติดแฮทแท็ก “#ธนาธรไลฟ์ คืนวันศุกร์ให้ประชาชน” ดูเหมือนการล้อมาจากรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ที่เคยออกอากาศทุกคืนวันศุกร์เวลาประมาณ 20.15 น. ก่อนจะมีการปรับรายการ และเปลี่ยนชื่อจาก “คืนความสุขให้คนในชาติ” เป็น “ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” เมื่อช่วงเดือนตุลาคมปี 59

สำหรับรายการ “คืนความสุขฯ” พล.อ.ประยุทธ์ ได้จัดรายการนี้มาตั้งแต่ช่วงยึดอำนาจเดือนพฤษภาคม 57 เพื่อประชาสัมพันธ์ผลงานของรัฐบาล โดยครั้งแรกนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ออกอากาศโดยสวมชุดเครื่องแบบทหาร หน้าตาเคร่งขรึม แต่ภายหลังถูกวิจารณ์ว่ารายการเครียดมากไป และผ่านไป 1 ปีประชาชนเริ่มเบื่อ จึงมีการปรับรูปแบบรายการมาเรื่อยๆ จนกลายมาเป็นรายการ “ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ในปัจจุบัน

ทั้งนี้ เนื้อหารายการ “ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เคยออกมาระบุว่า นายกฯพูดถึงการดำเนินงานของรัฐบาลที่เชื่อมโยงกับพระราชดำริของในหลวง รัชกาลที่ 9 การบริหารประเทศของรัฐบาลจะทำภายใต้หลักการมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน รัฐบาลจะนำหลักการที่ทรงพระราชทานเอาไว้ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงและเรื่องอื่นๆ นำมาให้พี่น้องประชาชนเห็นว่ารัฐบาลได้นำมาปฏิบัติตลอดในช่วงที่ผ่านมา

‘บิ๊กตู่’ขู่ม็อบชุมนุม 5 พค. จ่อรวบแกนนำมีหมายจับ

เมื่อวันที่ 4 พฤษาคม 2561 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง นัดชุมนุมในวันที่ 5 พ.ค.นี้ ที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ศูนย์ท่าพระจันทร์ ว่า อย่าทำผิดกฎหมายฝ่ายความมั่นคงดูแลอยู่ ส่วนที่หวั่นว่าจะเกิดความบานปลายนั้น สื่อก็อย่าให้เขาออกมา ต้องบอกเขาว่าขอให้บ้านสงบเรียบเรียบร้อยหากอยากจะเลือกตั้ง แต่ถ้ายิ่งทำแบบนี้ก็ไม่ได้เลือก

"ฉะนั้น การที่จะได้เลือกตั้งหรือไม่ได้เลือก ไม่ได้อยู่ที่ผม อยู่ที่คนเหล่านี้นั่นแหล่ะ ซึ่งการเลือกตั้งผมก็วางไว้แล้ว ต้นปี 62 จบ เลิกพูดเรื่องเหล่านี้ พอแล้วเหนื่อย บ๊ายบาย ซาโยนาระ ลาก่อน" นายกฯ กล่าว

พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะเลขาธิการ คสช.กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มนี้ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเดิม คิดว่าไม่มีอะไรต้องเพิ่มเป็นพิเศษ และไม่น่าจะเกิดเหตุรุนแรงขึ้น เพราะที่ผ่านมาเรามีการพูดคุยทำความเข้าใจกันมาตลอด และขอความร่วมมือในบางเรื่อง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับพี่น้องประชาชน ซึ่งต่างฝ่ายต่างยืนในจุดที่เหมาะสม ซึ่งพวกเขาอยากแสดงความคิดเห็นก็แสดงออกมาได้ แต่ต้องไม่มีผลกระทบต่อสังคม

เมื่อถามว่า จะมีการขนคนจากต่างจังหวัดมาสมทบการเคลื่อนไหววันที่ 5 พ.ค.หรือไม่ พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ยังไม่มีข้อมูลดังกล่าว และยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เตรียมการไว้อยู่แล้ว และไม่กังวลการยกระดับชุมนุมกลางเดือนนี้

"ผมคิดว่าเจตนารมณ์ของประชาชนส่วนใหญ่ อยากเห็นบ้านเมืองสงบ ส่วนการแสดงออกครบรอบ 4 ปี คสช.ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เราก็มีกรอบการปฏิบัติต่างๆ ที่เหมาะสม และทุกวันนี้ทุกอย่างก้าวสู่กระบวนการเป็นประชาธิปไตย มีขั้นตอนที่ชัดเจน" พล.อ.เฉลิมชัย กล่าว

ด้าน พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ด้านความมั่นคงและกิจการพิเศษ กล่าวถึงมาตรการดูแลการชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ที่นัดชุมนุมในวันที่ 5 พ.ค.ว่า ตรวจสอบทราบว่ากลุ่มคนอยากเลือกตั้งได้นัดชุมนุมกันภายในพื้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งไม่ใช่พื้นที่สาธารณะ จึงไม่เข้าข่ายที่ต้องขออนุญาตตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้วางมาตรการดูแลความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนที่เข้าร่วมการชุมนุมแล้ว โดยวางกำลังในพื้นที่ส่วนหนึ่ง และอีกส่วนให้สแตนบายในหน่วย

ส่วนการชุมนุมนี้จะขัดคำสั่ง คสช.หรือไม่ เป็นเรื่องของกองทัพที่ต้องพิจารณา แต่ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เตรียมความพร้อมสำหรับทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ หรือในกรณีที่เกิดเหตุบานปลาย หรือเคลื่อนไหวออกนอกพื้นที่ส่วนบุคคล ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย หากพบว่ามีการฝ่าฝืนก็จะต้องถูกดำเนินการ หากการชุมนุมออกสู่พื้นที่สาธารณะต้องขออนุญาตตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ

รอง ผบ.ตร.กล่าวอีกว่า สำหรับคนที่มีประวัติหรือมีหมายจับเก่าหากพบว่าเข้าข่ายกระทำความผิดก็ต้องจับกุม โดยจะมีเจ้าหน้าที่ทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบดูแลความเรียบอยู่แล้ว หากมีการเคลื่อนขบวนก็เตรียมกองร้อยตำรวจเป็นกำลังสนับสนุนดูแลความสงบไว้แล้ว ส่วนความเคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดียนั้นก็ไม่มีอะไรที่เป็นพิเศษ

"สิ่งที่เจ้าหน้าที่ต้องจับตาดูเป็นพิเศษ คงเป็นเรื่องของมือที่ 3 ที่อาจเข้ามาสร้างสถานการณ์หรือความรุนแรงมากกว่าผู้ที่เข้ามาร่วมชุมนุม รวมถึงมีการเข้มงวดเป็นพิเศษหากมีการขยายการชุมนุม เช่น เข้ามายังพื้นที่สกายวอล์คย่านปทุมวัน หรือในจุดอื่นๆ ที่เป็นพื้นที่ในรัศมี 150 เมตร จากเขตพระราชฐาน ซึ่งผิดกฎหมายห้ามเด็ดขาด ที่ชุมนุมมีเยอะแยะ ห้ามเข้าในพื้นที่ที่ผิดกฎหมาย" รอง ผบ.ตร.กล่าว

พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวด้วยว่า สำหรับประชาชนที่จะเข้าร่วมชุมนุม การชุมนุมเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้ง พ.ร.บ.การชุมนุมฯ คำสั่ง คสช.ขอให้ดำเนินการตามระเบียบ ขอให้ผู้ที่จะเข้ามาร่วมชุมนุมระมัดระวังตนเอง การชุมนุมเป็นการรวมของคนหมู่มากต้องระวังการตกเป็นเครื่องมือ ระวังในกรณีที่อาจมีบุคคลที่ 3 เข้ามาแอบแฝงเกาะสถานการณ์สร้างความไม่สงบในการชุมนุม

"ข้อมูลทางการข่าวของเจ้าหน้าที่ล่าสุดมีการเคลื่อนไหวของมือที่ 3 ที่จ้องจะเข้ามาสร้างสถานการณ์อยู่บ้าง แต่ไม่ชัดเจน มีกลุ่มที่จะอาศัยสถานการณ์อยู่บ้าง จึงสั่งการให้สันติบาลตรวจสอบแล้ว ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีความหนักใจเกี่ยวกับการนัดชุมนุม เพราะทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย และตำรวจต้องบังคับใช้กฎหมาย เรื่องชุมนุมไม่หนักใจเลย เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่หนักใจตรงมือที่ 3 ที่ไม่ใช่ผู้ชุมนุมมาอาศัยสถานการณ์ พบความเคลื่อนไหวอยู่บ้าง แต่คาดว่าไม่ออกฤทธิ์ ออกเดชอะไรมาก" พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าว


บิ๊กตู่ลั่นปมบ้านศาลมีทางออก ไม่อนุมัติให้ใครเข้าไปอยู่ทั้งสิ้น

4 พ.ค.61 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ตอนหนึ่งถึงปมปัญหาการสร้างบ้านพักตุลาการบริเวณเชิงดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ ว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตนไม่สบายใจ ทุกคนไม่สบายใจ และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไม่สบายใจ เป็นกังวลใจมาโดยตลอดเพราะมีผลกระทบกับพี่น้องคนไทยทั้งประเทศ ตนได้ติดตามข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานราชการ นักวิชาการ และสื่อทุกแขนง ในทุกแง่มุม

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ทั้งนี้ไม่ว่าปัญหาจะเกิดจากใคร และเมื่อใดก็ตาม ตนอยากให้พี่น้องประชาชนทุกคนได้มั่นใจว่ารัฐบาลและ คสช.จะพยายามทำอย่างเต็มที่ด้วยความรอบคอบ ก็ขอให้ไว้ใจตน เหมือนที่เคยไว้ใจมาตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ว่าเราจะต้องหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับประเทศ หลายอย่างเกิดขึ้นมาแล้ว เราไปแก้ไขอะไรแบบที่ไม่ระมัดระวังไม่ได้

นายกฯ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ได้มอบหมายให้ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะทำงานเข้าไปพูดคุยหารือเพื่อหาทางออกร่วมกัน ทราบว่าการพูดคุยในปัจจุบัน เป็นไปในทิศทางที่ดีนะครับ โดยสิ่งแรกที่อยากให้ทำก่อนเลยก็คือการปลูกป่าขึ้นมาก่อน เรื่องอื่นเดี๋ยวก็พูดค่อย เจรจาหารือคณะทำงาน ฝ่ายกฎหมายมาดูกัน

"แต่ข้อสำคัญก็คืออย่าไปแสดงความรังเกียจ ชิงชัง ข้าราชการของศาลนะครับ เพราะเหล่าข้าราชการเหล่านั้นไม่ได้เป็นคนไปสร้างเอง เป็นเรื่องของนโยบายของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา" นายกฯ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า คราวนี้ก็ต้องมาดูซิว่าเราจะบริหารจัดการกันได้อย่างไร แต่แน่นอนไม่มีใครไปอยู่ ตนยังไม่อนุมัติให้ใครไปอยู่ทั้งสิ้น แล้วลองบริหารจัดการป่าดูสิว่ามันจะใช้เวลาในฤดูฝนหน้าจะปลูกป่าขึ้นมาได้ไหม จะทำให้พื้นที่เหล่านั้นเป็นพื้นที่ป่าได้เหมือนเดิมหรือไม่ เรื่องอื่นก็เดี๋ยวค่อยเจรจาว่ากันต่อไป อย่าเพิ่งมากดดันกันเห็นบอกจะมีการเคลื่อนไหวกันอีก ตนขอร้อง ไม่งั้นจะวุ่นวายไปทั้งประเทศ ก็มีคนมาฉวยประโยชน์เข้าไปอีก

ส่วนการเคลื่อนไหวต่างๆนั้น ตนอยากให้พวกเรานั้นปรับเปลี่ยนทัศนคติ มาสู่การแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี ไม่ใช่ในเชิงกดดันกันไปกันมา แล้วมันก็ทำไม่ได้อยู่ดีเพราะว่าการชุมนุมเพื่อเรียกร้องขอที่ดินเราก็ดำเนินการอยู่ ถ้าไปกดดันมากๆ มันก็ทำไมได้อยู่ดี ทุกคนก็ต้องการมาก ต้องการมากที่สุด บางครั้งมันก็ต้องฟังเหตุผลกันบ้างนะครับ


“พุทธอิสระ”แตกหัก”วีระ” ถ้าไม่จบเป็นเรื่องยาวแน่

(3 พ.ค.61) พระสุวิทย์ ธีรธมฺโม หรือหลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก "หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)" ในหัวข้อ "ไม่จบใช่ไหม คุณวีระ ๓ เมษายน ๒๕๖๑" โดยมีเนื้อหาระบุว่า พุทธะอิสระ นึกว่าคุณวีระจะจบแล้ว เมื่อยังไม่อยากจบ เช่นนั้นก็เล่นกันให้มันจบกันไปข้างหนึ่งเลย

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณที่คุณวีระ กรุณาช่วยอบรมสั่งสอนมารยาทของนักบวชให้กับพุทธะอิสระ และขอลำดับเหตุการณ์ให้เป็นการทบทวนความจำให้คุณวีระกันซักหน่อย เรื่องนี้มันเริ่มต้นจากคุณวีระ ออกมาถามหาความรับผิดชอบต่อผู้ที่เชิญ คสช. มาบริหารประเทศ ซึ่งพี่น้อง กปปส. ทุกคนล้วนรู้และเข้าใจดีว่า คสช. เขาเข้ามาเพราะมาช่วยปกป้องพวกเรา ให้พ้นจากคนชั่วที่ลอบทำร้าย แม้ คสช. จักอ้างว่า เขามาบริหารประเทศเพราะต้องการช่วยชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ตามที

แต่พี่น้อง กปปส. ทุกคนล้วนรู้สึกดีใจกันทั้งนั้น ที่ คสช. เข้ามาและพวกเรา ก็มีความรู้สึกว่า คสช. กำลังพยายามทำความฝันของพวกเราชาว กปปส. เป็นความจริง ซึ่งต้องการปฏิรูปบ้านเมือง เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนทุกคน เช่นนี้พวกเราชาว กปปส. จึงมิอาจปฏิเสธได้เลยว่า เป็นผู้ไปเชิญ คสช. เข้ามา ถึงคุณวีระ จะพยายามออกมาแก้ตัวแก้ต่าง แต่ภายหลังว่าไม่ได้ว่า ไม่ได้หมายถึง กปปส. ก็ตามที แต่ด้วยวลี ท่าทีของคุณที่แสดงออกมานั้นเด็กอนุบาลมันยังดูออกเลยว่า คุณวีระหมายถึงใคร

แต่พฤติการณ์ที่คุณวีระ ออกมาประกาศเรียกร้องความรับผิดชอบจากใครก็ตามที่ไปเชิญ คสช. เข้ามา พวกเรา กปปส. ก็ต้องแสดงความรู้สึกรับผิดชอบ โดยเฉพาะพุทธะอิสระที่เป็นแกนนำเวทีแจ้งวัฒนะ ซึ่งเรื่องนี้มันเกิดมาจากการที่คุณวีระ ออกมาเรียกร้องทวงถามความรับผิดชอบเองมิใช่หรือ พุทธะอิสระในฐานะแกนนำ ก็ได้แสดงความรับผิดชอบแล้วไง ที่ต้องสู้ต้องเสี่ยง เหนื่อยอยู่ทุกวันนี้ ก็ไม่เพราะกำลังรับผิดชอบอยู่ดอกหรือ

ส่วนเรื่องที่คุณวีระออกมาปฏิเสธว่า คสช. เขาไม่ได้ช่วยคุณออกมา แต่พุทธะอิสระยืนยันว่า มีผู้หญิงมาติดต่อขอร้องให้เจรจากับทหาร ให้ช่วยคุณออกมาจากคุกเขมร อีกทั้งในเวลาต่อมา เมียของคุณนั่นแหละ ที่เดินทางไปยืนหนังสือ ขอให้ คสช. เข้าช่วยเจรจากับรัฐบาลเขมร ให้ปล่อยตัวคุณ เมื่อมีการปล่อยตัวแล้วก็มีแม่คุณพร้อมญาติคุณนั่นแหละ ที่ออกมาขอบอกขอบใจ แสดงความปลาบปลื้มชื่นชม คุณประยุทธ์ และรัฐบาล คสช. เสียยกใหญ่ และเมื่อคุณได้พ้นคุกเขมรมาแล้ว ก็คุณอีกนั่นแหละ ที่ออกมากล่าวขอบอกขอบใจ ขอบคุณรัฐบาล คสช.

ทั้งหมดนี้ พวกคุณเป็นคนพูดกันเองมาก่อนทั้งนั้น แล้วจะมาหาว่าพุทธะอิสระให้ร้าย หรือคุณจะบอกว่า ไอ้ที่เมียคุณ แม่คุณ และตัวคุณออกมาพูดนั้น มันเป็นเรื่องไม่จริง ซึ่งก็เป็นที่น่าสังเกตว่า คุณติดคุกเขมรมานาน ร้อยวันพันปีไม่เห็นผู้ใดช่วยคุณ ไอ้ที่คุณอ้างว่ามีคนอื่นช่วยคุณ ไม่ใช่รัฐบาล คสช.

พุทธะอิสระก็รู้สึกสงสัยเหมือนกันว่า คุณติดคุกเขมรมาตั้งหลายปี ใครที่คุณอ้าง ทำไมไม่ช่วยคุณมาแต่แรก ก่อนที่รัฐบาล คสช. จะเข้ามาบริหารประเทศ หรือคุณจะอ้างว่า ใครของคุณที่กล่าวอ้าง กำลังทำเรื่องขอปล่อยตัวอยู่ เผอิญที่เรื่องมาได้รับการอนุมัติในยุครัฐบาล คสช. พอดี

เอาล่ะคุณจะอ้างอย่างไร ก็อ้างไปเถิด เอาที่คุณสบายใจ แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏ คนทั่วโลกเขารับรู้กันทั่วก็คือ ภาพที่บรรดาญาติมิตรของคุณ เข้าไปขอความช่วยเหลือจาก คสช. นี่คือข้อเท็จจริง แม้จะไม่มีภาพคนที่มาขอร้องฉันให้ช่วยเจรจากับทหาร เพื่อทำเรื่องขอปล่อยตัวคุณวีระก็ตามที

แต่เรื่องนี้ฉันมีพยานบุคคล ที่สามารถไปพิสูจน์ได้ในศาล หากคุณเห็นว่า พุทธะอิสระโกหก แล้วทำให้คุณเสื่อมเสีย ก็อยากให้คุณใช้สิทธิ์ทางกฎหมาย ฟ้องร้องเอาผิดแก่พุทธะอิสระได้เลย จะได้ไปพิสูจน์กันในชั้นศาลว่า ใครโกหก

พุทธะอิสระก็พยายามใช้สมองทุกส่วนของตนอันน้อยนิด คิดนะว่า เราจักได้ประโยชน์อะไรกับการโกหกครั้งนี้ หรือถ้าอยากจะรู้ว่า พุทธะอิสระโกหกจริงมั้ย คุณวีระลองไปขอข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศดูก็รู้แล้วว่า จริงๆ แล้วใครกันแน่ที่เป็นคนสั่งให้เจรจา ช่วยคุณออกมาจากคุกเขมร หรือถ้าคุณแน่ใจในหลักฐานข้อมูลที่คุณมีว่าเป็นความจริง

คุณวีระก็สามารถนำเอาหลักฐานนั้น ไปแจ้งความให้ดำเนินคดีต่อพุทธะอิสระในข้อหา นำความเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ได้เลย แต่ที่แน่ๆ ไอ้หลักฐานข้อมูลอะไรที่คุณกล่าวอ้างมาว่าได้แถลงชี้แจง แจ้งให้ทราบโดยมีนักข่าว ข่าวสดนำมาลง ฉันก็พยายามอ่านอยู่หลายรอบ ก็ไม่เห็นคุณวีระบอกชัดๆ เลยว่า ใครกันแน่ที่คุณว่า ช่วยคุณออกจากคุก ฉันไม่เห็นคุณบอกเลยว่าตกลงแล้วใครคือผู้มีพระคุณช่วยคุณออกมาจากคุก

ส่วนเรื่องไอ้ที่คุณเที่ยวโพนทะนากล่าวหาว่า รัฐบาล คสช. ทุจริตคอรัปชั่นกันอย่างโจ่งครึ้มก็อย่าเอาแต่พูด ไหนๆ คุณก็มีตำแหน่งเป็นถึงเลขาธิการ เครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน (คปต.) คุณก็ควรที่จะนำหลักฐานนั้นไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษแก่หน่วยงานที่เขารับผิดชอบ

ดูตัวอย่างพุทธะอิสระซิ ไม่มีตำแหน่งในองค์กรใดซักตำแหน่ง ก็ยังสามารถนำเอาหลักฐานการทุจริตเงินทอนวัดไปยื่นเรื่องให้ ปปช. สตง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ จนนำมาซึ่งการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ ปลดยศ ลดตำแหน่ง พักงาน และไล่ออก ข้าราชการสำนักพุทธและตรวจสอบผู้เกี่ยวข้องทั้งพระและฆราวาส จนกลายเป็นคดีนับร้อยคดีอยู่ทุกวันนี้ไง

ขอโทษที่ทำนี้ก็เพราะพุทธะอิสระ รู้สำนึกในคุณแผ่นดิน และรับผิดชอบในหน้าที่ของลูกผู้ชายไทยคนหนึ่งที่เป็นต้นเหตุให้ คสช. มาบริหารประเทศ หรือคุณจักเรียกว่า พวกเราไปเชิญ คสช. มาก็ได้ ไม่ปฏิเสธ แล้วไหนล่ะ ที่คุณโพนทะนามาเกือบสองปีว่า คสช. ทุจริต ไหนละหลักฐานการจับทุจริตของคุณ สังคมเขาอยากเห็นหลักฐาน เห็นผลงานของคุณวีระ มิใช่เอาแต่กล่าวอ้างโดยใช้ข้อมูลตามหนังสือ

ในฐานะที่พวกเรา กปปส. มีส่วนร่วมทำให้ คสช. เข้ามาบริหารประเทศแล้วมีข่าวคราวการทุจริตจากรัฐบาล คสช. พวกเราก็มิได้สบายใจนักดอกคุณวีระ เราก็อยากกำจัดพวกเห็บ หมัด กาฝาก ที่คอยกัดกินเลือดเนื้อคนไทย ให้หมดไปจากแผ่นดินไทยเหมือนกัน แม้เราจะไม่มีตำแหน่งหรือองค์กรอะไรรองรับก็ตามที และเราก็ไม่ได้มาคุยอวดด้วยว่า เรามีหัวโขนชื่ออะไรใส่สวมอยู่

สรุปรวมความว่า หากคุณวีระยังติดใจ สงสัย ว่าสิ่งที่พุทธะอิสระเขียนมาโพสต์มา โกหก ทำให้คุณเสียหาย ฟ้องเลยอย่ารอช้า พุทธะอิสระอยากให้คุณวีระลองชมคลิปเหล่านี้ดู จะได้รู้ว่าทำไมพุทธะอิสระถึงได้ยืนยันนอนยันว่า คสช. เขาเป็นคนช่วยคุณออกมาจากคุกจริงๆ ไม่ใช่เจ๊กจีนไก่กาตามที่คุณอ้าง

ด้วยเหตุนี้พุทธะอิสระอยากจะเรียกร้องให้ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ นำเอาเอกสารหรือหลักฐานคำสั่งที่ให้มีการเจรจาขอปล่อยตัวนายวีระ มาเปิดเผยให้สังคมได้รับรู้ คนไทยจะได้ตาสว่างกันเสียที

อีกทั้งพุทธะอิสระของแรงพี่น้อง กปปส. ทุกคนที่มีหลักฐานเกี่ยวกับการปล่อยตัวคุณวีระจากคุกเขมร ทั้งก่อนปล่อยตัวและหลังปล่อยตัวเอาออกมาเปิดเผยให้สังคมได้รู้ด้วย เพื่อเป็นการพิสูจน์ความจริง ที่จริงคิดว่า เรื่องนี้มันน่าจะจบด้วยทุกฝ่ายยอมรับความจริง แต่เมื่อฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งไม่ยอมรับความจริงอย่างนี้คงเป็นหนังเรื่องยาว บอกเลยว่าจบยาก" พุทธะอิสระ


'ไผ่ วันพอยท์'ลองของคสช. ถ่ายรูปคู่'แม้ว-ปู'ที่สิงคโปร์

จากกรณี คสช.สั่งให้มีการจับตาความเคลื่อนไหวของอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่จะเดินทางไปพบ นายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่สิงคโปร์นั้น

ล่าสุด (4 พ.ค.61) นายนายไผ่ ลิกค์ หรือไผ่ วันพอยท์ อดีต ส.ส.กำแพงเพชร พรรคเพื่อไทย ได้โพสต์อินสตาแกรมถ่ายรูปคู่กับนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อดีตนายกฯ ที่ประเทศสิงคโปร์ โดยระบุข้อความว่า "วันนี้ผมได้มีโอกาสพบนายกฯ ทั้งสองท่าน ทุกคำที่พูดกันคือความเป็นห่วง พ่อแม่พี่น้อง ระบบการศึกษา ของประเทศ และวิเคราะห์ เหตุการณ์ต่างๆ ในแง่มุมของท่าน แถมก่อนกลับผมได้ของฝากด้วยเป็นถั่ว pistachio จากดูไบ รักและคิดถึงท่านทั้งสองเสมอนะครับ"

นานแค่ไหนก็ยังรักเธอ! 'สุรพล' พ้อรัก 'สวลี'

แฟนเพจเฟซบุ๊ก หนุ่มเมืองจันท์ โพสต์ภาพและข้อความระบุว่า "ในโลกแห่งความเป็นจริง เธออาจเป็นหญิงของใครไม่หวั่น แต่ในโลกแห่งความฝัน เธอเป็นของฉัน ทั้งกายและใจ" ซึ่งเป็นเนื้อเพลง ในโลกแห่งความฝัน ผลงาน สุรพล โทณะวณิก

ทั้งนี้ สุรพล เป็นเด็กกำพร้า เคยช่วยแม่ค้าขายน้ำอยู่หน้าโรงเรียนมหาพฤฒาราม เขาไปจีบนักเรียนหญิงที่ชื่อ "เชอรี่" เลยโดนให้ออก ไม่ให้ขาย มาเจอ "เชอรี่" อีกครั้งตอนที่เธอเป็นนางเอกละครและนักร้องชื่อดัง ก่อนที่เขาจะแต่งเพลงให้ "เชอรี่" หรือ "สวลี ผกาพันธุ์" ร้องหลายเพลง หนึ่งในเพลงนั้นคือเพลง "ใครหนอ" ที่ทำให้เธอได้รับรางวัลนักร้องแผ่นเสียงทองคำ

"สวลี" แต่งงาน แต่ "สุรพล" รักษาความโสดมานาน ก่อนแต่งงานกับ "นงลักษณ์ โรจนพรรณ" ไม่นานชีวิตคู่ของเขาก็จบลง มีคนเคยเขียนถึงสาเหตุการหย่าร้างครั้งนี้

"คุณนงลักษณ์ แต่งงานกับ คุณสุรพล โทณะวนิก ศิลปินแห่งชาติ เพราะเธอหลงใหลในความงามของบทเพลงที่ คุณสุรพล แต่ง แต่คุณสุรพลเองมิได้มีที่ว่างใดๆ ในหัวใจเหลืออยู่ ด้วยเธอมอบความรักทั้งหมดให้กับ คุณสวลี ผกาพันธุ์ นักร้องที่เป็นที่ชื่นชอบที่สุด แม้ว่าเธอจะแต่งงานและมีครอบครัวที่สมบูรณ์มานานแล้ว เมื่อเป็นดังนี้ชีวิตสมรสจึงดำเนินไประยะหนึ่ง แล้วก็สิ้นสุดลง"

และนี่คือ คำไว้อาลัยของเขาในวันที่ "เชอรี่" ปราศจากลมหายใจ

"สุรพล โทณะวณิก" เคยเขียนถึง สวลี ผกาพันธุ์ และเพลง ใครหนอ เอาไว้ ใน "ขอฝากหัวใจไว้ในตัวหนังสือแด่คุณ" จาก หนังสือคอนเสิร์ตวันดวลเพลง ชาลี อินทรวิจิตร สุรพล โทณะวณิก ว่า

"...ผมเป็นตัวประกอบ เป็นเด็กลูกมือคนเขียนฉาก เป็นเด็กยกฉาก เด็กขายสูจิบัตร

เธอเป็นนางเอกละคร เพิ่งสาวสวยแรกผลิ เป็นนักร้องที่ร้องเสียงดี เทคนิคการร้องดี มีชีวิตชีวา มีคุณภาพ ผู้ชมและผู้ร่วมงานต่างชอบ เธอโด่งดังมากยามนั้น เธอมีเมตตา เคยแบ่งข้าวเย็นที่นายแม่เธอทำมาส่งเธอตอนการแสดงรอบบ่ายจบ เป็นอาหารมื้อเย็นของเธอ ยามเธอต้องอยู่หลังโรง เพื่อแสดงรอบค่ำ เธอแบ่งข้าวให้ผมกิน เป็นเวลาที่ผมอดอยากหิวจัด ผมสำนึกบุญคุณของเธอไม่มีวันลืม ต่อมาเธอเป็นนักร้องโด่งดัง แผ่นเสียงที่เธอร้องบันทึกเสียงขายดี เพราะความสามารถของเธอ ผมเลยมุมานะที่จะเป็นนักแต่งเพลง และอยากให้เธอร้องเพลงของผม เธอร้องเพลงให้ผมแล้ว เธอมีส่วนอย่างมาก ทำให้ผมโด่งดัง เพราะเธอร้องเพลงให้ผมมากกว่าใคร และทุกครั้งที่ร้องเพลงให้ผม ทราบว่าผมถึงแม้จะเป็นนักแต่งเพลงแล้ว ยังเร่ร่อนไม่มีบ้านอยู่ เวลาไม่มีงานทำ ยังอดๆ อยากๆ ..เธอยกค่าร้องให้ผม.."