ข่าว
"ชูวิทย์" ขอเป็น "ก้อนกรวด" อย่างน้อยก็สะกิดในรองเท้า

(17 ต.ค.) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย เขียนข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว "ชูวิทย์ I′m No.5" ล่าสุดเกี่ยวกับสถาณการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน ในยุคที่สังคมต่างก็มี "หมากตัวใหม่" สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปมา ลงเล่นบน "กระดานใบเดิม" ชวนให้เราคิดว่าบ้านเมืองที่ช่างสงบร่มเย็นในขณะนี้ จะเป็นอย่างไรต่อไปหนอ...

ก้อนกรวดในรองเท้า(บู๊ท)

ขณะนี้ผมตกงาน ไม่มีอะไรทำ เป็นเพียงประชาชนที่มองความเคลื่อนไหวของสังคมไปวันๆ

มันไม่ใช่เวลาของผม และผมควรจะเงียบ

เรามีนายกฯ คนใหม่ สนช.ใหม่ สปช.ใหม่ ผบ.ทบ.ใหม่ ผบ.ตร.ใหม่ รัฐมนตรีชุดใหม่ ปลัดกระทรวงคนใหม่ อธิบดีคนใหม่ ข้าราชการใหม่ๆมากมาย

ทั้งที่ความจริงแล้ว ประชาชนต่างหากที่ควรได้รับอะไรใหม่ๆบ้าง หลังจากเป็นผู้เสียสละโดยตลอดจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา

แต่คอรัปชั่นก็ยังอยู่เหมือนเดิม และได้รับคำตอบเดิมๆ

ข้าวก็ยังมีปัญหาเหมือนเดิม ตันละ 7,000 และได้รับคำตอบเดิมๆ

ยางก็ยังมีปัญหาเหมือนเดิม กิโลละ 40 บาท และได้รับคำตอบเดิมๆ

ตำรวจก็ยังมีปัญหาเหมือนเดิม แถมกลิ่นโชยของบ่อนก็เริ่มกลับมาเปิดเหมือนเดิม

และสังคมก็ได้รับคำตอบเดิมๆ

บางคนอาจบอกผมว่า ใจเย็นๆ รอไปก่อน เวลามันน้อยเกินไปที่จะเปลี่ยนแปลง

แต่ถามจริงๆเถอะว่า คุณเชื่อหรือว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง?

มันอาจจะแย่ลงกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ ที่ไม่มีใครกล้าโต้แย้งหรือเสนอความคิดเห็น

ทุกคนรู้สึกเสมือนเป็น "หนี้บุญคุณ" ของผู้ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

เป็นหนี้บุญคุณที่เราไม่กล้าแม้แต่จะปริปากบ่น

ผมขอเป็นเพียงก้อนกรวดที่ต่ำต้อย ไม่มีทางไปขัดขวางการทำงานของผู้ใด

แต่ขอเป็นก้อนกรวดที่อยู่ในรองเท้าบู๊ท ถึงจะน่ารำคาญไปบ้าง

แต่ก็ยังเป็นความรู้สึกสะกิด ในแต่ละย่างก้าวที่คิดถึง

"บี" ฉะ "โย"หมกเม็ดทำธุรกิจ ตั้งโต๊ะแจงสือถูก”โย”ดิสเครดิต

กรณีความบาดหมางร้าวลึกของ 2 เพื่อนซี้ทั้งในและนอกวงการบันเทิง " บี-น้ำทิพย์ จงรัชตวิบูลย์" ดารานักแสดงชื่อดัง กับ "โย-ยศวดี หัสดีวิจิตร" ดารานางแบบชื่อดัง ซึ่งมีอันต้องปิดฉากความสัมพันธ์ลง โดยก่อนหน้านี้ "โย" ได้ออกมาร่ำไห้เปิดใจกับสื่อถึงสาเหตุที่ต้องแตกคอกัน ว่าเกิดจากจากความขัดแย้งเรื่องธุรกิจที่เข้าหุ้นกัน โดยไม่มีเรื่องชู้สาวหรือมือที่สาม ตามที่เป็นข่าว พร้อมยืนยันว่า ยังคงรัก "บี" เหมือนเดิม และเต็มใจจะให้ตรวจสอบเอกสารเกี่ยวกับธุรกิจที่ "บี" คาใจทุกเรื่อง ตามที่เสนอข่าวไปนั้น

ความคืบหน้าในเรื่องนี้ วันที่ 17 ต.ค. ที่อาคารแกรมมี่ "บี" ได้เปิดแถลงข่าวชี้แจงกับสื่อมวลชน เกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่า วันนี้ที่ตนออกมาพูด เนื่องจากต้องการจะชี้แจงหลายๆ ประเด็นที่ถูกดิสเครดิต จากคำให้สัมภาษณ์ของ "โย" เริ่มจากประเด็นที่ "โย" พูดว่าธุรกิจอาหารลดน้ำหนัก ที่เปิดตัวในชื่อ "โยบี" มาจากไอเดียวของ "โย" นั้น จริงๆแล้ว ธุรกิจดังกล่าวทั้งตนและโย ได้ไปพบเมื่อครั้งเดินทางไปเที่ยวประเทศอังกฤษ จึงคิดจะนำมาทำในประเทศไทย โดยแรกๆใช้เงินลงขันคนละ 40,000 บาท ทำกันเองโดยไม่ได้จดทะเบียนบริษัท ตนไม่ได้ถือหุ้นลม ตามที่โยให้สัมภาษณ์ เมื่อทำไปสักพักพบว่า ธุรกิจไปได้ดี จึงเปิดเป็นบริษัท โดยใช้เงินกำไรที่สะสมมา เป็นทุนจดทะเบียนตั้งบริษัท โดยหักเงินได้ 80% เป็นค่าใช้จ่ายและต้นทุน ในการดำเนินการ ส่วนที่เหลือ 20% จะเป็นเงินปันผลของตนทั้งคู่ โดยโยจะทำหน้าที่บริหารในภาพรวม ส่วนตนรับหน้าที่พีอาร์สินค้า เนื่องจากเวลาน้อย เพราะต้องรับทั้งงานแสดงและเดินแบบควบคู่ไปด้วย ฉะนั้นทีมงานบริหารจึงเป็นของโย ทั้งหมดซึ่งตนก็รู้จักมักคุ้น จึงไว้ใจให้ดำเนินการ และต่อมาตนก็ยอมมอบอำนาจให้โย เป็นผู้มีลงนามในการทำธุรกรรมได้เพียงลำพัง จากที่ต้องใช้ลายเซ็นของทั้งตนและโย เนื่องจากไม่มีเวลา และไม่อยากให้บริษัทต้องมารอตนเพียงคนเดียว

"บี" กล่าวต่อว่า ตนยังแบ่งรายได้อีก 10% จาก 50% ให้โย โดยถือเป็นค่าตำแหน่งและค่าจ้างบริหารงานแทนตนด้วย โดยตนได้รับส่วนแบ่งตั้งแต่งวดที่ 1 ถึง 72 จากนั้นก็ไม่เคยได้เงินอีกเลย แต่ที่เริ่มสนใจตรวจสอบบัญชี ก็เนื่องจากได้รับการติดต่อจาก "เชฟ" ที่ทำหน้าที่คิดค้นสูตรอาหารลดความอ้วนให้ตนตั้งแต่ต้น แจ้งว่า ทางบริษัทค้างชำระเงินค่าจ้างเป็นเงิน 9 แสนบาท ทำให้ตนเกิดความสงสัย เพราะที่ผ่านมากิจการก็เป็นไปด้วยดี เหตุใดจึงเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้น จึงขอตรวจสอบบัญชีถึง 3 ครั้ง และพบความไม่ชอบมาพากล เนื่องจากเงินบางส่วนหายไป จึงพยายามสอบถาม แต่ก็ไม่ได้รับคำยืนยันที่แน่ชัด หลังๆตนติดงาน จึงขอร้องให้ "ฮิม" ช่วยตรวจสอบทวงถามกับ "โย" จนทำให้ทั้งคู่ผิดใจกัน

ส่วนกรณีที่โย กล่าวว่า ทัศนคติในการบริหารและทำธุรกิจไม่ตรงกัน ก็ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด แต่สาเหตุมาจากโย ต้องการจะเปิดธุรกิจอาหารเสริมตัวใหม่ ซึ่งสวนทางกับผลิตภัณฑ์ที่ทำอยู่ แทนที่จะส่งเสริมกัน ตนจึงไม่ขอร่วมหุ้นด้วย และตกลงว่าจะปิดบริษัทอาหารเสริม โดยตนเองยอมควักเงิน 2 แสนบาทเป็นค่าใช้จ่าย ในการดำเนินการปิดตัวบริษัทเก่า เนื่องจากบริษัทขาดสภาพคล่องและมีปัญหาในด้านการเงิน การที่โย ออกมาพูดว่า เงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินยืมและต้องคืนอยู่แล้ว จึงเป็นการพูดเอาดีเข้าตัวเอง

ดารานางแบบสาว กล่าวอีกว่า ที่ตนต้องออกมาชี้แจงเพราะเห็นว่า โย พูดไม่ครบ ไม่อยากให้ลุกลามบานปลายกันจนถึงขั้นถึงโรงถึงศาล จริงๆแล้วตนก็เสียใจและเสียดาย ที่ต้องมาแตกหักกับโยเช่นนี้ เพราะตนก็ยังรักและนับถือโยเหมือนกัน ส่วนที่เคยออกมาพูดว่า ไม่เคยเสียดายความสัมพันธ์และขอเป็นเพียงเพื่อนร่วมโลกกับโยนั้น ยอมรับว่าพูดด้วยอารมณ์ จริงๆแล้วตนทั้งคู่เคยพยายามจะสานสัมพันธ์ และพยายามจะให้มันกลับมาเหมือนเดิม แต่โยเองที่เป็นคนพูดให้ต่างคนต่างอยู่ ส่วนที่ยังไม่ยอมเซ็นชื่อในคำร้องขอปิดบริษัท เพราะตนยังไม่เคลียร์เกี่ยวกับเรื่องบัญชี และหลายๆเรื่อง ซึ่งล่าสุดโยก็ส่งข้อความมาหาตน โดยระบุว่า ภายใน 3 วัน หากไม่ไปเซ็นชื่อก็จะส่งหมายศาลไปแทน ซึ่งตนก็ถึงกับอึ้งว่า เหตุใดจึงต้องทำกับตนถึงเพียงนี้ และอยากจะนัดพูดคุยตกลงกันซึ่งหน้า แต่ยืนยันว่าหากจะดำเนินการตามกฎหมาย ตนก็พร้อมเพราะเตรียมหลักฐานไว้แล้วเช่นกัน.


ยกหนี้ 1.5ล้าน ให้ป้าเผาตัวตาย

กรณีนางสังเวียน รักษาเพ็ชร์ อายุ 52 ปี ก่อเหตุใช้น้ำมันราดใส่ตัวเองก่อนจุดไฟเผาบาดเจ็บสาหัส ระหว่างที่มายื่นหนังสือร้องทุกข์นำโฉนดที่ดินไปค้ำประกัน ซึ่งสุดท้ายมีการเจรจาประนอมหนี้อยู่ที่ 1.5 ล้านบาท ทำให้รู้สึกเครียดคิดไม่ตก จึงมาร้องเรียนที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ทำเนียบรัฐบาลเจ้าหน้าที่ให้การช่วยเหลือนำตัวส่งรพ.วชิระ เหตุเกิดเมื่อช่วงเช้า วันที่ 15 ต.ค.ท้องที่ สน.ดุสิต ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าเมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 16 ต.ค.นพ.ผลเลิศ พันธุ์ธนกุล รองคณบดีฝ่ายบริการปฏิบัติหน้าที่ ผอ.รพ.วชิระ เปิดเผยว่า ช่วงเช้าตนได้เข้าไปเยี่ยมผู้ป่วยพบว่าตอนนี้คนไข้ยังใส่เครื่องช่วยหายใจอยู่ แต่ไม่ได้มีอาการต้านเครื่องช่วยหายใจก็ยังไม่ได้เคลื่อนย้ายคนไข้ไปไหน เบื้องต้นอาการพ้นขีดอันตรายแต่ยังอยู่ในระดับทรงตัวอยู่แพทย์ยังไม่สามารถระบุว่าบาดแผลที่ถูกไฟไหม้ 50% ตั้งแต่ศีรษะลงมาถึงลำตัวว่ามีความลึกระดับไหน เนื่องจากบาดแผลยังบวม ซึ่งจุดนี้แพทย์ยังเป็นห่วงต้องรอผลหลังจากทำการผ่าตัดอีกครั้งหนึ่งในช่วงบ่ายนี้ เพื่อประเมินอาการต่อไปส่วนจะรักษาแล้วอาการจะกลับมาปกติอวัยวะใช้งานได้เหมือนเดิมไหมต้องประเมินผลกันอีกครั้ง ซึ่งเมื่อช่วงเช้าทาง มล.ปนัดดาดิศกุล รมว.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โทรศัพท์มาสอบถามอาการคืบหน้าของผู้ป่วย ตอนนี้ทางรพ.ก็มุ่งรักษาคนไข้ให้หายโดยสามารถโอนสิทธิ์การรักษาที่จ.ลพบุรีมารักษาที่รพ.วชิระได้โดยจากสิทธิ์ฉุกเฉินตามกฎหมายสามารถรักษาได้72ชั่วโมงหรือ3วันถ้านานกว่านั้นก็ต้องประสานสิทธิ์กันอีกครั้งและดูว่าคนไข้มีความพร้อมที่จะสามารถย้ายโรงพยาบาลได้หรือไม่ถ้าไม่ไหวทางรพ.ก็จะดูแลจนกว่าอาการจะอยู่ในภาวะปลอดภัย

ขณะที่ น.ส.จันทร์ จ๋าทองอร่าม อายุ 41ปี น้องสาวผู้บาดเจ็บกล่าวว่า ตนเดินทางมาที่กรุงเทพฯตั้งแต่เมื่อวานนี้ เป็นห่วงสุขภาพของพี่สาว เมื่อมาถึงก็รู้สึกตกใจ และร้องไห้อยากให้พี่สาวหายเร็ว ๆ ตนวิงวอนขอความยุติธรรมให้กับพี่สาวอย่าซ้ำเติมพี่ของตน คาดว่าที่พี่สาวก่อเหตุลักษณะดังกล่าวคงจะมีความเครียดหาทางออกไม่ได้ เพราะว่าโดนเจ้าหนี้ทวงถามอยู่ตลอดเวลานิสัยของพี่ตนเป็นคนขี้กลัว ไม่คิดว่าจะมาก่อเหตุลักษณะนี้ได้

ที่ จ.ลพบุรี นายธนาคม จงจิระ ผวจ.ลพบุรี และ พล.ต.พิชิต ฟูฟุ่ง ผบ.มทบ.13 เดินทางไปยังบ้านเลขที่ 7/4 หมู่ 2 ต.วังจั่น อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี ซึ่งเป็นบ้านของนางสังเวียน ลูกหนี้ของ น.ส.ธิดารัตน์ เทพอารักษ์ โดยบ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ มีรถไถนาขนาดเล็กติดพ่วงท้ายจอดอยู่ 1 คัน ส่วนที่หน้าบ้านพบกับนายธงชัย รักษาเพ็ชร์ อายุ 60 ปี สามี โดย ผวจ.ลพบุรี ได้เข้าไปทักทาย และนำสิ่งของถุงยังชีพมอบให้กับนายธงชัย จากนั้นสอบถามถึงสาเหตุที่เกิดขึ้นนาน 30 นาที พร้อมกับได้ให้กำลังใจ และฝากให้สามีของนางสังเวียนได้ดูแลนางสังเวียนหลังจากที่กลับมารักษาตัวที่บ้านด้วย

นายธนาคม กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวได้มีการพูดคุยกับทางเจ้าหน้าที่แล้วเชื่อว่าจะออกมาในแนวทางที่ดี รวมทั้งได้กำชับให้ตำรวจช่วยดูแลในเรื่องของความปลอดภัย และดูแลเรื่องเงินกู้นอกระบบไม่ให้เกิดเรื่องดังกล่าวขึ้นอีก รวมทั้งฝากให้สื่อมวลชนช่วยอธิบายกับคนอื่น ๆ ด้วยว่าอย่าได้เอาเรื่องนี้เป็นตัวอย่าง

ต่อมาทางนายธนาคม พร้อม พล.ต.พิชิต และคณะ เดินทางไปยังบ้านเลขที่ 289/21 หมู่ที่ 4 ต.โคกสำโรง อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี บ้านของ น.ส.ธิดารัตน์ ที่ตั้งอยู่ภายใน บขส.โคกสำโรง โดยพบกับ น.ส.ธิดารัตน์ อยู่ภายในบ้าน โดยทางคณะผวจ.ลพบุรี ได้เข้าหารือกับ น.ส.ธิดารัตน์ โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าไป ซึ่งมีการหารือพูดคุยนานราว 2 ชั่วโมง โดยนายธนาคม กล่าวเพียงสั้นว่า หลังพูดคุยกับน.ส.ธิดารัตน์ แล้วทราบว่าเจ้าหนี้ไม่ขอรับเงินที่ลูกหนี้ติดอยู่แล้ว 1.5 ล้านบาท เนื่องจากตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หากนางสังเวียนออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ให้มาทำสัญญายกเลิกหนี้สินต่อไป.


ภาพ”เจมส์ จิ”ปลิวว่อนเน็ต มีเพศสัมพันธ์สาวบนเตียง

เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 16 ต.ค. ได้มีการแชร์ภาพหนุ่มหน้าตาคล้ายพระเอกคนดัง และสาวนิรนามนอนเปลือยกายบนเตียงลักษณะคล้ายกำลังมีเพศสัมพันธ์กันอย่างมีความสุข ซึ่งหลายคนลงความเห็นว่า ชายหนุ่มคนดังกล่าวคล้ายกับพระเอกซุปเปอร์สตาร์ช่อง 3 "เจมส์-จิรายุ ตั้งศรีสุข" ต่อมาผู้สื่อข่าวได้ต่อสายโทรศัพท์ไปสอบถามนายปิ๊ก ฌาณฉลาด ทวีทรัพย์ ซึ่งเป็นผู้จัดการ และผู้ปลุกปั้นพระเอกคนดังเกี่ยวกับรูปภาพดังกล่าว

โดย "ปิ๊ก" เปิดเผยว่า "ตอนแรกที่เห็นภาพ ยอมรับว่ามีส่วนคล้ายเจมส์เหมือนกัน แต่พอโคลสอัพภาพเข้ามาดูใกล้ ๆ แล้วจะรู้เลยว่าไม่ใช่เจมส์ เนื่องจากจมูกของเจมส์ดูเล็ก และเรียวกว่าของผู้ชายในภาพ ประกอบกับเวลาที่เจมส์ยิ้ม ฟันเจมส์จะยื่นออกมามากกว่านี้ นอกจากนี้ชายหนุ่มในภาพก็ดูมีความสุขกับการถ่ายรูป ซึ่งมันผิดวิสัยของผู้ที่เป็นดารานักแสดง ซึ่งควรมีความระมัดระวังในเรื่องแบบนี้มากกว่า อย่างไรก็ตามผมเห็นภาพในตอนแรก ก็รู้สึกตกใจเหมือนกัน จึงได้สอบถามเจมส์ทันที และเมื่อตัวพระเอกคนดังเห็นภาพดังกล่าว ก็บอกเลยว่า 'ไม่ใช่' โดยที่ไม่มีอาการซีเรียสแต่อย่างใด และเขายังบอกอีกว่าภาพนี้ดูเหมือนตัวเขาน้อยไปหน่อย เนื่องจากตอนที่ยิ้ม ผู้ชายในภาพจะดูยิ้มปากเบี้ยว แต่ตัวเจมส์จะไม่ได้ยิ้มในลักษณะแบบนั้น อย่างไรก็ตามพระเอกหนุ่มเพิ่งเดินทางกลับจากถ่ายละคร “หนึ่งในทรวง” ที่ จ.ภูเก็ต เมื่อเช้านี้ และวันนี้เจมส์ก็มีคิวไปถ่ายแบบนิตยสารต่อด้วย”

เมื่อถามต่อว่า คิดว่าการปล่อยภาพดังกล่าวออกมา เพื่อเป็นการดิสเครดิสพระเอกหนุ่มหรือไม่ "ปิ๊ก" ตอบว่า ตนไม่ได้สงสัย และคิดว่าเป็นการดิสเครดิตจากใคร เนื่องจากด้วยเทคโนโลยีสมัยนี้ ประกอบกับมุมกล้อง ก็อาจจะเกิดข่าวทำนองนี้ได้ อย่างไรก็ตามตนได้มีการพูดคุยกับเจมส์เกี่ยวกับเรื่องทำนองชู้สาวมาเยอะเหมือนกัน ตั้งแต่ก่อนที่จะปลุกปั้นเขาเข้าวงการ ดังนั้นตัวเขาก็มีความระมัดระวังตัว และไม่ได้ใช้ชีวิตโดยประมาทอยู่แล้ว

“ด้วยเทคนิคและมุมกล้องที่ทำให้ภาพนี้มีส่วนคล้ายเจมส์ ก็ทำให้ผมรู้สึกกังวล และเป็นห่วงว่าข่าวนี้จะทำให้เจมส์เสื่อมเสียชื่อเสียงและมีผลกระทบกับตัวเขาเหมือนกัน เนื่องจากเขามีสปอนเซอร์ และพรีเซ็นเตอร์หลายชิ้นอยู่ แต่ผมยืนยันได้ว่าผู้ชายในภาพไม่ใช่เจมส์จิรายุ แน่นอนครับ”ปิ๊กกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ "ปิ๊ก" ได้มีจดหมายชี้แจงมายังสื่อมวลชน โดยมีใจความว่า จากที่มีการเผยแพร่ภาพถ่ายที่มีความละม้ายนายจิรายุ ตั้งศรีสุข ในสื่อต่างๆ นั้น ทางบริษัทซึ่งเป็นต้นสังกัด และเป็นผู้ดูแลนายเจมส์จิรายุ มีความมั่นใจที่ขอยืนยันว่า บุคคลในภาพดังกล่าวไม่ใช่นายจิรายุอย่างแน่นอน จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ และโปรดพิจารณาให้ความกรุณาในการนำเสนอข่าวเพื่อความเป็นธรรมกับนายเจมส์จิรายุ ที่มีความตั้งใจในการทำงานสร้างความสุขให้กับประชาชน และระมัดระวังเรื่องความประพฤติเป็นอย่างยิ่ง เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เยาวชน

ด้าน "ตู่-ปิยวดี มาลีนนท์" ผู้จัดละครชื่อดังและทายาทของช่อง 3 ซึ่งเคยได้ร่วมงานกับพระเอกหนุ่ม "เจมส์ จิรายุ" ในเรื่อง “รักสุดฤทธิ์” กล่าวเสริมว่า ตอนแรกที่เห็นภาพก็ตกใจ เนื่องจากคิดว่ามีภาพลักษณะนี้ออกมาได้อย่างไร ซึ่งในภาพมันดูคล้ายก็จริง แต่ส่วนตัวคิดว่าไม่ใช่เจมส์ เพราะเท่าที่ตนทำงานกับเจมส์มา เขาเป็นคนที่มีความตั้งใจในการทำงานสูงมาก เป็นอีกหนึ่งนักแสดงที่มีการฝึกฝนตัวเองอยู่ตลอด และก็ทำได้ดี เห็นได้จากที่เขาไม่ได้เป็นแค่นักแสดง แต่เขายังมีการฝึกฝนการร้องเพลง และการเต้น จนสามารถจัดงานแฟนมีตติ้งของตนเองได้ ดังนั้นตนคิดว่า เขารู้ดีว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ รวมทั้งเวลาที่เขาอยู่ที่กรุงเทพฯ เจมส์ก็มีคนดูแลตลอด หรือเวลาที่เขากลับต่างจังหวัด ก็มีคุณพ่อคุณแม่อยู่ด้วย อย่างไรก็ดีเวลาที่เราเห็นภาพอะไรทำนองนี้ ตนอยากให้ทุกคนไม่เชื่อไว้ก่อน เพราะด้วยเทคโนโลยีสมัยนี้ตัดต่อภาพต่าง ๆ ได้อย่างแนบเนียนมาก เชื่อว่าแฟนคลับของเขาและทุกคนก็จะเข้าใจ.

พยาบาลอำมหิต ฆ่าคนไข้38ราย

วันที่ 15 ต.ค.นางแดเนียลา พ็อกจิอาลิ วัย 42 ปี พยาบาลในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ที่ไม่ได้รับการเปิดเผยชื่อของเมืองลูโก ประเทศอิตาลี ถูกจับกุมในข้อหาต้องสงสัยว่า ฆาตกรรมผู้ป่วย 38 ราย ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ เธอถูกจับกุมและนำตัวเข้าคุมขังไว้ในเรือนจำในข้อหาฆาตกรรมด้วยการฉีดสารโพแทสเซียมเข้ากระแสเลือด นางโรซา คัลเดอโรนิ วัย 78 ปี ที่เข้ารับการรักษาตัวด้วยอาการเจ็บป่วยทั่วไป จนเธอเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจหยุดทำงาน เนื่องจากปริมาณโพแทสเซียมในเลือดสูงมากผิดปกติ

สารที่ใช้เรียกว่า “โพแทสเซียม คลอไรด์” เป็นสารที่รัฐบาลสหรัฐใช้ในการฉีดประหารชีวิตนักโทษ ทั้งนี้ สารสามารถสลายตัวได้อย่างรวดเร็วหลังการฉีด ทำให้สามารถตรวจสอบได้ยาก

การตายของนางคัลเดอโรนิ ทำให้ทางโรงพยาบาลเริ่มมีการสอบสวนถึงสาเหตุการตายของผู้ป่วยจำนวน 38 ราย ที่จู่ๆก็เกิดเสียชีวิตโดยไร้สาเหตุ ขณะช่วงเวลาที่นางพ็อกจิอาลิ กำลังเข้าเวรปฏิบัติหน้าที่ ทั้งนี้ เพื่อนร่วมงานของนางพ็อกจิอาลิ ก็สงสัยในตัวเธอ เพราะคนไข้ที่เธอดูแลจะมีอาการแย่ลงเรื่อยๆและเสียชีวิตในที่สุด หนึ่งในเพื่อนร่วมงานกล่าวว่า พวกเขารู้สึกประหลาดใจ เหตุใดคนไข้จึงเสียชีวิตถี่เช่นนี้ โดยที่ไม่มีใครทำอะไรเลย และนางพ็อกจิอาลิเองก็เคยบ่นว่า รำคาญผู้ป่วยและญาติ หากรำคาญมากก็จะฉีดสารโพแทสเซียมให้ตายไปเลย

เพื่อนร่วมงานอีกคนของนางพ็อกจิอาลิเผยว่า นางพ็อกจิอาลิมักสามารถทำให้คนไข้สงบลงได้ หากเขาก่อความรำคาญให้เธอ นอกจากนี้ ยังอาจให้ยาถ่ายผู้ป่วยโดยใช่เหตุ จนสร้างความยุ่งยากให้กับพยาบาลคนที่ต้องเข้าเวรต่อจากเธอด้วย

เมื่อตำรวจเข้าทำการค้นบ้านของนางพ็อกจิอาลิ ก็พบรูปถ่ายเซลฟี่เธอชูนิ้วโป้งสัญลักษณ์ของความสำเร็จอยู่ข้างศพคนไข้ที่เสียชีวิตแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการระบุว่า เธอต้องรับโทษอย่างไร


“บิ๊กตู่”อยากลาออก ถึงขั้นทะเลาะกับเมีย!

วันที่ 15 ตุลาคมที่ผ่านมา เวลา 19.00 น.ตามเวลาท้องถิ่นของอิตาลี ซึ่งช้ากว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมง ที่โรงแรม สตาร์ โฮเตล โรซ่า แกรนด์ นครมิลาน ประเทศอิตาลี นายสุรพิทย์ กีรติบุตร เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโรม ประเทศอิตาลี ได้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำแก่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะ อาทิ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ คณะเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศในทวีปยุโรป ทีมประเทศไทยในสาธารณรัฐอิตาลี และนักธุรกิจไทยที่มาร่วมประชุมสภาธุรกิจเอเชีย-ยุโรปเข้าร่วม โดยนายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายกับผู้เข้าร่วม ว่า ขอบคุณหลายภาคส่วนที่ร่วมทำงานเดินหน้าประเทศไทย โดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศ ที่ต้องทำหน้าที่ชี้แจง ให้นานาประเทศเข้าใจสถานการณ์ในประเทศ การสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจ ซึ่งจะต้องกำหนดวิสัยทัศน์ ให้ชัดเจน และขอให้ทุกคนร่วมกันทำงาน ใช้ความเป็นคนไทย แสดงให้เห็นว่าเราจริงใจ

"เมื่อเดินมาถึงวันนี้แล้ว ต้องสู้เดินหน้าต่อไป เพราะถ้าไม่สำเร็จก็ไม่รู้จะอยู่ยังไง ชีวิตผมก็อันตรายเหมือนกัน ครอบครัวก็ไม่มีความสุข วันนี้ถามว่าลูกเมียไปไหนได้บ้าง ไม่ได้กลัวแต่ก็ต้องระวัง ตั้งแต่เข้ามาผมไม่เคยกล่าวโทษให้ร้ายใครแต่ถ้ามาพาดพิงมากก็อดไม่ได้ เพราะรักเกียรติยศศักดิ์ศรี ผมอาจพูดจาไม่ไพเราะมากนัก ก็เป็นธรรมดาที่มีคนรักและไม่รัก แต่ผมเชื่อว่าคนในประเทศไทยเข้าใจ การเข้ามาเป็นรัฐบาลเพื่อขับเคลื่อนประเทศที่หยุดชะงักให้เดินหน้า จากการปลดล็อค ถ้าไม่ทำอะไรประเทศถอยหลัง ติดขัด จากการก้าวเข้ามาเป็นคสช. ช่วงแรกก็หนักใจ แต่เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องทำงาน ใครก็อยากทำอะไรให้ประเทศทั้งนั้น แต่ที่ผ่านมาติดกับดักคำว่าประชาธิปไตย" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ปัญหาด้านความมั่นคง จำเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษ ควบคุมสถานการณ์ ลดความขัดแย้ง และเดินหน้าสู่การปฏิรูปประเทศ ให้สัมฤทธิ์ผลใน 1 ปี หากไม่จบรัฐบาลใหม่ต้องรับไปดำเนินการ ย้ำว่า ไม่ต้องการอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเกินกว่ากรอบเวลาที่วางไว้

"ใครจะรักใครผมไม่ว่า จะเกลียดผม แต่อย่าเกลียดประเทศ ตัวเอง อย่าเกลียดคนไทย ที่ผมต้องทำเพราะสถานการณ์สุกงอม ไม่ได้ยึดอำนาจรัฐบาล แต่รัฐบาลชั่วคราว ทำงานไม่ได้แล้ว ก็จำเป็นไม่มีอะไรแก้ได้ ทหารมีหน้าที่ดูแลแผ่นดินรักษาสถาบันชาติพระมหากษัตริย์ ถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่ถูกละเมิดทหารก็อยู่เฉยๆ รัฐบาลที่แล้วผมพูดกับนายกฯ ไม่รู้กี่ครั้งทุกเรื่องเตือนหมดทุกเรื่องแต่ด้วยวิถีทางการเมือง ก็ช่วยไม่ได้ สิ่งที่ทำวันนี้ทำเพื่อไม่ให้เกิดการปฏิวัติอีกในอนาคต ต้องเอาประเทศชาติเดินหน้าไปให้ได้ ผมพร้อมจะลาออก อยากจะลาออกทุกวัน แต่เห็นประชาชนเดือดร้อนทนไม่ได้ และไม่ได้อยากอยู่เกินแม้แต่วันเดียว ทุกวันนี้ผมสู้รบทุกวัน ในบ้านกลับมาก็ทะเลาะกับเมีย เมียถามว่าทำไมอันนี้ไม่ทำ ผมบอกทำแล้ว บางเรื่องทำไม่ไหวก็หงุดหงิด สรุปว่าผมไม่มีความสุข ทุกคนไม่มีความสุข ผมจึงต้อง คืนความสุขให้ประชาชน และได้รับความทุกข์ ไง" พล.อ.ประยุทธ กล่าว