ข่าว
เปิดตัวแล้ว!!! TAXI VIP ล็อตแรกของประเทศไทย

(1 มิถุนายน 2561) เวลา 09.00 น. ณ ลานด้านหน้าอาคาร 1 กรมการขนส่งทางบก จตุจักร นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เป็นประธานเปิดตัวรถ TAXI VIP ของบริษัท ออล ไทย แท็กซี่ จำกัด ซึ่งใช้รถยนต์ Mercedes-Benz รุ่น C 350 e Avantgarde มาให้บริการ เพื่อยกระดับการให้บริการรถแท็กซี่ทัดเทียมมาตรฐานสากล พร้อมขยายขอบเขตการให้บริการระบบขนส่งสาธารณะให้รองรับความต้องการเดินทางของผู้โดยสารได้ทุกกลุ่ม ตามนโยบายกระทรวงคมนาคมและกรมการขนส่งทางบก

นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า กรมการขนส่งทางบกได้ยกระดับคุณภาพมาตรฐานรถแท็กซี่ไทย ภายใต้การดำเนินโครงการ TAXI OK และ TAXI VIP ตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นการพัฒนามาตรฐานรถแท็กซี่ครอบคลุมในทุกมิติ ทั้งด้านสมรรถนะตัวรถ ระบบบริหารจัดการ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ควบคู่กับการยกระดับการให้บริการ สามารถเรียกใช้บริการผ่านแอพพลิเคชั่นได้อย่างสะดวก ซึ่งปัจจุบันรถแท็กซี่จดทะเบียนใหม่ทุกคันจะต้องติดตั้งอุปกรณ์ตามมาตรฐาน TAXI OK ผู้ขับรถผ่านการตรวจสอบประวัติ มีใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะถูกต้อง

ทั้งนี้ สำหรับการให้บริการรถ TAXI VIP เป็นรูปแบบการให้บริการที่เป็นทางเลือกเพิ่มเติมสำหรับรองรับความต้องการกลุ่มผู้โดยสาร เช่น ลูกค้าองค์กรธุรกิจ, ธุรกิจโรงแรม, นักธุรกิจ และนักท่องเที่ยว ที่ต้องการความหรูหราสะดวกสบายและการให้บริการในการเดินทางระดับพรีเมี่ยม ผู้ให้บริการต้องดำเนินการในรูปแบบนิติบุคคล ตัวรถต้องมีสมรรถนะสูงกว่ารถแท็กซี่ทั่วไป เป็นรถใหม่หรือมีอายุการใช้งานไม่เกิน 2 ปี และไม่เกิน 20,000 กิโลเมตร เสริมความปลอดภัยด้วยระบบช่วยเบรกแบบ ABS และมีถุงลมนิรภัยที่นั่งตอนหน้าอย่างน้อย 1 คู่ กล่องป้ายไฟแสดงข้อความ TAXI VIP หรือข้อความอื่นตามที่กรมการขนส่งทางบกให้ความเห็นชอบ

นอกจากนี้ รถแท็กซี่แบบพิเศษดังกล่าว จะต้องติดตั้งอุปกรณ์ส่วนควบภายในรถเหมือนกับ TAXI OK ประกอบด้วย ติดตั้ง GPS Tracking พร้อมอุปกรณ์แสดงตัวผู้ขับรถ, มาตรค่าโดยสาร, ปุ่มฉุกเฉินสำหรับผู้โดยสารอย่างน้อย 1 จุด ในตำแหน่งที่สามารถมองเห็นได้และใช้งานสะดวก, กล้องบันทึกภาพภายในรถแบบ Snap Shot ทำงานร่วมกันได้แบบ Real-time ส่งข้อมูลไปยังศูนย์บริการของผู้ประกอบการ และศูนย์บริหารจัดการรถแท็กซี่ของกรมการขนส่งทางบก (DLT TAXI CENTER) พร้อมบริการสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันตลอดการเดินทาง สำหรับอัตราค่าบริการ TAXI VIP เริ่มต้น 2 กิโลเมตรแรก 150 บาท กิโลเมตรต่อไปกิโลเมตรละ 12-16 บาท กรณีรถติดนาทีละ 6 บาท กรณีเรียกรถผ่านศูนย์บริการสื่อสารครั้งละไม่เกิน 50 บาท การจองล่วงหน้าและการจ้างจากท่าอากาศยานครั้งละไม่เกิน 100 บาท

นางเครือวัลย์ วงศ์รักมิตร กรรมการ บริษัท ออล ไทย แท็กซี่ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัท ออล ไทย แท็กซี่ จำกัด เป็นบริษัทในเครือของนครชัยแอร์ ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งยกระดับการให้บริการและคุณภาพชีวิตของประชาชน ภายใต้กฎระเบียบข้อบังคับและนโยบายของภาครัฐ ขานรับนโยบายยกระดับคุณภาพแท็กซี่เปิดให้บริการ TAXI VIP ด้วยรถยนต์ Mercedes – Benz รุ่น The C 350 e Avantgarde พร้อมระบบบริหารจัดการควบคุมการเดินรถที่ทันสมัยตามมาตรฐานของบริษัทฯ และให้บริการมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้โดยสารตลอดการเดินทาง อาทิ น้ำดื่มฟรี, หนังสือพิมพ์, ผ้าเย็น, บริการฟรี WI-FI, ที่ชาร์จโทรศัพท์มือถือ ฯลฯ เริ่มให้บริการอย่างเป็นทางการทันทีตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2561 เป็นต้นไป โดยสามารถเรียกใช้บริการได้หลากหลายช่องทาง ผ่านแอพพลิเคชั่น TAXI OK ของกรมการขนส่งทางบก หรือ แอพพลิเคชั่น ALL THAI TAXI, ผ่านLine @allthaitaxi และ Call Center 0-2018-9799

“ในล็อตแรกเราเตรียมรถไว้ให้บริการ 100 คัน โดยจะทยอยนำเข้ามาให้บริการให้ครบภายใน 2 เดือน ซึ่งในวันนี้มีจำนวนรถเตรียมพร้อมให้บริการแล้วจำนวน 15 คัน ความพิเศษของ TAXI VIP นอกจากจะเป็นตัวรถที่มีคุณสมบัติพิเศษด้านความปลอดภัย และบริการเสริมต่างๆ ในรถแล้ว คนขับก็เป็นอีกหนึ่งความพิเศษที่เราตั้งใจพัฒนา ทั้งในด้านภาษา และความปลอดภัย”

"เอนก" เปิดใจพร้อมนั่ง หัวหน้า”พรรคลุงกำนัน"

วันที่ 2 มิ.ย. ศ.พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ได้ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในรายการ "News Hour" ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่อง "นิวส์วัน" โดยกล่าวว่า แนวทางของพรรคจะเป็นพรรคประชาธิปไตยที่มีประชาธิปไตยภายในพรรค ประชาชนและสมาชิกมีส่วนร่วม ทุกอย่างอยู่ที่สมาชิกพรรค เริ่มต้นจะไม่ได้อยู่ที่หัวหน้าพรรค ซึ่งตอนนี้มีหลายคนถามว่าตนเป็นหัวพรรคหรือ ซึ่งยังไม่ได้เป็น คงอีก 2 - 3 เดือน ต้องมีสมาชิกพรรคจำนวนนึงแล้วเปิดประชุมใหญ่ให้สมาชิกทั้งหมดเลือกกรรมการบริหาร เลือกหัวหน้า เลือกเลขาฯ แล้วจะไม่มีใครเป็นหัวหน้า 4 ปี เป็นได้แค่ 2 ปี เลขาฯก็เหมือนกัน ไม่ให้ใครผูกขาดในพรรค ส่วนใครจะเป็นผู้สมัคร ส.ส. สมาชิกตัดสินใจขั้นสุดท้าย รวมถึงปาร์ตี้ลิสต์ด้วย

เมื่อถามว่าพรรคบอกจะไม่เริ่มจากประเด็นสนับสนุนลุงตู่ แต่หากต้องยกมือจริง ๆ ให้ใครเป็นนายกฯจะตัดสินใจบนพื้นฐานอะไร ดร.เอนก กล่าวว่า ก็ดูแนวคิดว่าจะเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองไปในทางที่ดี สามารถประคับประคองสถานการณ์บ้านเมืองได้ ได้รับการยอมรับจากประชาชน มีแนวทางยึดมั่นรัฐธรรมนูญ ยึดมั่นการปฏิรูป จะเป็นใครก็ไปดูตอนนั้นให้ถี่ถ้วนอีกที

ดร.เอนก ยังกล่าวถึงการเลือกคนลงปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคว่า ต้องเอาคนใหม่ ไม่ใช่นักการเมืองมากนัก ต้องให้มีชื่อผู้หญิงและผู้ชายเท่า ๆ กัน มีคนพิการ มีคนหลากเชื้อชาติ ต้องเป็นประชาชาติไทยที่กว้างขวาง

ส่วนตำแหน่งหัวหน้าพรรค หากได้รับเลือกตนก็พร้อมจะเป็น แต่ถ้าไม่เลือกก็พร้อมทำหน้าที่อื่น ที่สำคัญอยากเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนพรรค เพื่ออบรมสร้างสรรค์ให้พรรคนี้มีคนเก่งคนดี จึงจะสามารถทำงานแบบข้างล่างขึ้นบนได้

ดร.เอนก กล่าวอีกว่า คุณสมบัติผู้นำหลังเลือกตั้ง ต้องเป็นคนที่ได้รับการยอมรับจากพรรคต่าง ๆ และประชาชน เด็ดเดี่ยว มุ่งมั่น พาประเทศออกจากความมืดมน พูดจาคนเชื่อถือ และเห็นว่าจะไม่นำประเทศไปสู่ความวุ่นวายอีก


อัยการสั่งฟ้อง “บรรยิน” จัดฉากฆ่า “เสี่ยชูวงษ์”

(1 มิ.ย.) ที่กองปราบปราม พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี รอง ผบก.ป. เปิดเผยความคืบหน้าคดีฆาตกรรมนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง หรือเสี่ยจืด เศรษฐีอสังหาริมทรัพย์หมื่นล้านว่า คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อปี เมื่อ 2558 พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต ส.ส.นครสวรรค์ ได้ขับรถไปชนต้นไม้ทำให้นายชูวงษ์ที่นั่งมาด้วยถึงแก่ความตายในพื้นที่ สน.อุดมสุข เบื้องต้นพนักงานสอบสวนสรุปว่าเป็นอุบัติเหตุ ต่อมาญาติของผู้ตายสงสัยว่าน่าจะเป็นเหตุฆาตกรรมแล้วจัดฉากรถชนต้นไม้ให้เป็นอุบัติเหตุ เนื่องจากพบพิรุธว่าหุ้นของผู้ตายถูกโอนออกไปก่อนเสียชีวิตไม่กี่วัน จึงร้องเรียนไปยังสำนักตำรวจแห่งชาติเพื่อโอนคดีให้กองปราบปรามเข้ามาดำเนินการ

จากนั้น พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก.จึงสั่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนของกองปราบปรามเข้ามาดำเนินการ จนมีพยานหลักฐานปรากฏได้ว่าไม่ใช่อุบัติเหตุเกิดจากการขับรถชนต้นไม้จนทำให้นายชูวงษ์ ถึงแก่ความตาย แต่เชื่อว่ามีการฆาตกรรมนายชูวงษ์ก่อนแล้วนำศพมาจัดฉากรถชน ต่อมาพนักงานสอบสวนก็ได้แจ้งข้อหาดำเนินคดีต่อ พ.ต.ท.บรรยิน ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อปกปิดการกระทำอื่นที่ตนได้กระทำไว้ พร้อมส่งสำนวนให้พนักงานอัยการพิเศษ ศาลอาญากรุงเทพใต้ พิจารณาสำนวนไปแล้ว

หลังจากนั้นอัยการได้สั่งให้พนักงานสอบสวนไปสอบเพิ่มเติมในบางประเด็นอีกหลายครั้ง จนในที่สุดพนักงานอัยการก็มีความเห็นเช่นเดียวกันกับพนักงานสอบสวนว่าได้สรุปความเห็นสั่งฟ้อง พ.ต.ท.บรรยิน พร้อมนัดหมายให้ส่งตัว พ.ต.ท.บรรยิน มาพบในวันที่ 15 มิ.ย.นี้เพื่อสั่งฟ้อง โดยพนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียก พ.ต.ท.บรรยิน ให้มาพบก่อนในวันที่ 8 มิ.ย. เวลา 09.00 น. เพื่อจะพาตัวไปส่งอัยการศาลอาญากรุงเทพใต้

พ.ต.อ.ชาคริตกล่าวอีกว่า เมื่ออัยการมีความเห็นสั่งฟ้องแล้วก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม พร้อมที่จะไปสืบพยานในชั้นศาล เพราะพนักงานสอบสวนก็มีพยานหลักฐานหลายอย่างที่ลงไปรวบรวมมา ทั้งจากสถานที่เกิดเหตุที่ปรากฏได้อย่างชัดเจน จนให้เชื่อได้ว่าการขับรถไปชนต้นไม้ไม่น่าจะเป็นสาเหตุที่จะทำให้นายชูวงษ์ถึงแก่ความตาย ทั้งนี้ ได้ส่งสำนวนให้ทางกองคดีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว ซึ่ง ผบ.ตร.ได้พิจารณาเห็นตรงกัน คือ สั่งไม่ฟ้องในคดีขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และสั่งฟ้องในคดีฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อปกปิดการกระทำอื่นที่ตนได้กระทำไว้

“ในส่วนของการการฆาตกรรมนั้น จากแนวทางการสืบสวนเชื่อว่ามีการใช้ของแข็งทุบตีนายชูวงษ์จนถึงแก่ความตายก่อนจะมาจัดฉากให้เป็นอุบัติเหตุ อีกทั้งยังได้มีการเตรียมการไว้ก่อน โดยมีการนัดหมายพานายชูวงษ์ไปเล่นกอล์ฟในตอนมืดค่ำ กระทั่งเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น แต่รายละเอียดนอกเหนือจากนี้ยังไม่ขอเปิดเผยเพราะเป็นส่วนสำคัญที่อยู่ในสำนวน” รอง ผบก.ป.กล่าว

พ.ต.อ.ชาคริตกล่าวด้วยว่า ส่วนผู้ร่วมก่อเหตุจะมีกี่คนนั้น อยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบ เบื้องต้นขณะนี้มีการสั่งฟ้อง พ.ต.ท.บรรยินเพียงแค่คนเดียว ส่วนการประกันตัวให้เป็นดุลพินิจของศาลและพนักงานอัยการ แต่หาก พ.ต.ท.บรรยินมีพฤติการณ์เข้าไปยุ่งเหยิงกับหลักฐานในคดีทำให้กระบวนการสืบพยานในอนาคตเกิดความเสียหายก็สามารถยื่นคำร้องขอขัดค้านการประกันตัวต่อศาลได้

พ.ต.อ.ชาคริตกล่าวต่อว่า สำหรับมูลเหตุแรงจูงใจน่าจะมาจากเรื่องหุ้นที่มีการสั่งฟ้องไปแล้วก่อนหน้านี้ ส่วนกรณีที่คดีฆาตกรรมนั้นทางญาติผู้ตายเคยยื่นฟ้องต่อศาลและศาลได้ประทับรับฟ้องก่อนหน้านี้จะมีผลกระทบกับในส่วนของการส่งฟ้องของทางตำรวจหรือไม่นั้น ยืนยันว่าไม่มีปัญหา เนื่องจากอัยการมีอำนาจในการสั่งฟ้อง และน่าจะนำมารวมกันก่อนทำการพิจารณา แต่อาจจะเป็นโจทก์ร่วมระหว่างพนักงานอัยการและญาติผู้ตาย


‘อดีตพระพรหมเมธี’หนีเข้าลาว อาศัย‘วันวิสาขบูชา’ฝากรถที่วัด

ความคืบหน้าในการติดตามจับกุมอดีตพระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม ที่ถูกศาลอนุมัติหมายจับในคดีเงินทอนวัด และยังคงหลบหนีอยู่นั้น โดยเชื่อว่าอาจจะหลบหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม จึงประสานไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(ตม.) ให้เฝ้าระวังการเดินทางเข้าออกอย่างเข้มงวด ซึ่งคาดว่าอดีตพระพรหมเมธี หลบหนีข้ามแม่น้ำโขงไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ในช่องทางธรรมชาติ โดยอาศัยเรือหาปลาข้ามจากชุมชนบ้านท่าควาย เขตเทศบาลเมืองนครพนม ตรงกับบ้านโพนแพง สปป.ลาว และเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามก็ยังปักหลักอยู่ในพื้นที่ เพื่อไล่ล่าตัวชนิดพลิกแผ่นดิน โดยมี พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. คอยรับฟังรายงานอยู่ในพื้นที่ด้วย

ล่าสุดผู้สื่อข่าว จ.นครพนม เดินทางไปยังวัดป่าสุคนธรักษ์ บ้านค่ายเสรี หมู่ 9 ต.นางาม อ.เรณูนคร ซึ่งถูกระบุเป็นสถานที่พบรถตู้ของอดีตพระพรหมเมธี

โดยมีเจ้าสำนักสงฆ์ไม่ยอมเปิดเผยสมณศักดิ์ แจ้งว่า วันที่ 29 พ.ค.ที่ผ่านมา เป็นวันวิสาขบูชา เวลาหลังเที่ยงอาตมากำลังยุ่งกับพิธีเวียนเทียน ได้มีชายคนหนึ่งเป็นฆราวาสเดินบอกว่า “ขอฝากรถหน่อย” แล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย โดยพบเป็นรถตู้ยี่ห้อโตโยต้า Alphard ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน จอดอยู่ข้างโรงครัว

ต่อมาในตอนเย็นวันเดียวกัน มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาขอพบ แล้วสอบถามว่าเจ้าของรถตู้คันนี้ไปไหน อาตมาตอบไม่รู้ จากนั้นตำรวจได้ก็เชิญไปสอบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งอาตมาให้รายละเอียดไปหมดแล้ว ยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอดีตพระพรหมเมธี

เมื่อถามว่าเคยเจออดีตพระรูปดังกล่าวหรือไม่ เจ้าสำนักสงฆ์รูปนี้ ตอบว่า เคยพบครั้งเดียวในร้านอาหารที่แขวงคำม่วน สปป.ลาว จึงเข้าไปกราบนมัสการในฐานะตนเป็นพระผู้น้อย

ขณะที่นายวงษ์ แสนสุข ราษฎรที่มีบ้านอยู่หน้าวัดป่าฯ เปิดเผยว่า วันวิสาขบูชา ตลอดทั้งวันมีรถเข้าออกจำนวนมาก จึงไม่มีใครผิดสังเกต ส่วนรถตู้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำไปเก็บไว้ที่โรงเก็บรถ สภ.เรณูนคร ข้างโรงพัก มีสภาพเปรอะเปื้อนฝุ่นโคลน

ด้านแหล่งข่าวจากชุดสืบสวน แจ้งว่า อดีตพระพรหมเมธี มีความคุ้นเคยกับญาติโยมแขวงคำม่วน สปป.ลาว จึงมีลูกศิษย์อยู่ฝั่งนั้นมากมาย หลังถูกออกหมายจับ อาจมีความเป็นไปได้ที่จะหลบหนีมาอาศัยอยู่กับลูกศิษย์ที่ สปป.ลาว ส่วนสีกาชื่อ “จ.” ยังคงถูกเค้นสอบอย่างหนักในเซฟเฮ้าส์แห่งหนึ่ง ส่วนชาวลาวที่มากับสีกา “จ.” ถูกปล่อยตัวกลับประเทศไปตั้งแต่คืนวันที่ 31 พ.ค.แล้ว


'วันชนะ' ชู 'น้าแอ๊ด' สุดโดนใจ วิจารณ์ พุทธะอิสระ อย่างคนกล้า!

โดนถล่มหนักหน่วงสำหรับแอ๊ด คาราบาว ภายหลังออกความคิดเห็นกรณี "พุทธะอิสระ" โดยน้าแอ๊ด คาราบาว หรือ นายยืนยง โอภากุล ระบุข้อความว่า "พุทธะอิสระ กล้าทำในสิ่งที่ผิดๆ เอาธรรมะมาแสดง ก็แสดงแบบผิดๆ แปลกตรงที่บุคคลที่ไปกราบไหว้ ล้วนเป็นปัญญาชนแถวหน้าของประเทศไทย"

ความคิดเห็นดังกล่าว ทำให้น้าแอ๊ด ถูกโจมตีจากกลุ่มบุคคลที่เคารพนับถือพระพุทธะอิสระ ระบุว่า คำพูดแบบนี้ ถือเป็นคำพูดที่ไม่เหมาะสม และไม่สมควรจะออกมาจากปากศิลปินนักร้องอาวุโส ที่มีแฟนคลับมากมายมหาศาล ถือเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีในสังคมประเทศไทย ... ขณะเดียวกัน นายวันชนะ เกิดดี อดีตนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง ออกมาโพสต์หน้าเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว มีใจความว่า

ผมขอชื่นชม แอ๊ด คาราบาว กรณีที่กล้าวิจารณ์พุทธะอิสระอย่างตรงไปตรงมา เห็นภาพได้อย่างชัดเจน เป็นเหตุทำให้ปัญญาชนแถวหน้าของประเทศ ดิ้นกันเป็นแถว เหมือนโดนข้าวสารเสกจากพี่แอ๊ด เพราะรับไม่ได้กับคำวิจารณ์ เป็นคนมันต้องมีสำนึก รู้ผิด รู้ถูกบ้าง มิใช่มืดบอดตลอดกาล ผมเองก็สงสัยและอยากถามไปถึงหัวใจ พวกปัญญาชนแถวหน้าของประเทศ ปากก็บอกปกป้องสถาบัน แล้วท่านพุทธะอิสระ ที่พวกปัญญาชน คนแถวหน้าของประเทศ ยกย่อง บอกกราบไหว้ได้อย่างสนิทใจ เขาโดนคดีอะไรหรือครับ ดังนั้นผมว่า แอ๊ด คาราบาว วิจารณ์ถูกต้องแล้ว สังคมต้องมีคนกล้าแบบนี้บ้าง

วิษณุ ลั่น ดอน ทำงานได้ตามปกติ เห็นใจที่ถือหุ้นก่อนกฎหมายออก

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ให้สัมภาษณ์อีกครั้งถึงกรณี กกต. มีมติเห็นว่า นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.การต่างประเทศ ขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี ว่า รายงานให้ พล.อ.ประยุทธ์ ทราบแล้ว แต่รัฐบาลยังไม่ได้รับรายงานอย่างเป็นทางการจาก กกต.ว่า ใครผิดหรือไม่ผิด เพิ่งทราบจากสื่อมวลชน ส่วนกระแสข่าว กกต.มีมติ 3:2 คงไม่ใช่ปัญหา ทั้งนี้ หากนายดอนมีความผิดจริง กกต.ต้องยื่นฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อชี้ขาดต่อไป เพราะคู่สมรสของนายดอน มีหุ้นเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่ได้แจ้งให้ ป.ป.ช. ที่ประชุม กกต.ฝ่ายหนึ่งเห็นว่า ไม่มีความผิด เพราะนายดอน ดำรงตำแหน่งก่อนที่รัฐธรรมนูญจะประกาศใช้ ส่วนอีกฝ่ายเห็นว่าผิดเพราะต้องการให้เป็นบรรทัดฐาน ประธาน กกต.จึงออกเสียงชี้ขาดว่าผิด เพื่อที่จะได้ส่งให้ศาลชี้ขาดจะได้เป็นบรรทัดฐาน คำวินิจฉัยชี้ขาดนี้ จะนำไปใช้กับนักการเมืองต่อไปในอนาคต เพื่อป้องกันปัญหา เมื่อถามว่า นายดอน จำเป็นต้องพักการปฏิบัติหน้าที่ก่อนหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่จำเป็น เคยมีตัวอย่างในอดีตยังทำงานต่อได้ตามปกติ ส่วนจะแสดงสปิริตหรือไม่นั้น เป็นเรื่องของนายดอน พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีข้อกังวลใดๆ ขณะนี้ก็กำลังเตรียมการไปปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศ นายดอน ก็ได้ดูแลเตรียมการให้นายกฯ เดินทางอยู่ นายดอนยังปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ ไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งทาง กกต.ก็เห็นว่าไม่มีปัญหาเช่นเดียวกัน

เมื่อถามว่า จะมีการปรับ ครม.หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ทราบ แต่ถ้าศาลตัดสินว่า นายดอนผิด ก็ต้องปรับ อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศ ยังมี รมช.อยู่ จึงไม่ถือเป็นภาระอะไร นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ก็กำกับอยู่ จึงไม่เกิดปัญหา ที่ผ่านมาเคยมีกรณีอย่างนี้ในรัฐบาลอื่น แต่กรณี นายดอน ไม่เหมือนกับคนอื่น เพราะเป็น รมต.มาก่อน ที่กฎหมายยังไม่ระบุ เรื่อง ถือหุ้นเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ แต่พอมีรัฐธรรมนูญประกาศใช้เรื่องนี้ นายดอน ก็ไม่ได้ทำอะไร แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่หุ้นของนายดอน น่าเห็นใจ เพราะกฎหมายบอกว่า ถ้าถือหุ้นเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ ต้องแจ้งประธาน ป.ป.ช. และโอนหุ้นนั้นให้คนอื่นจัดการ แต่มีข้อแม้ว่า ไม่ใช่หุ้นสัมปทาน บังเอิญภรรยานายดอน มีมรดกจึงตั้งบริษัทกับพี่น้องซึ่งเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ ถ้าพูดถึงความสุจริต เราก็พอจะมองเห็น และด้วยเหตุนี้ กกต. ถึงได้ออกเสียง 2 ต่อ 2 เมื่อประธาน กกต. เห็นอย่างนั้น จึงให้ศาลตัดสิน

เมื่อถามว่า ตอนร่างรัฐธรรมนูญไม่ได้มองในจุดที่อาจจะเป็นปัญหาลักลั่นอย่างนี้ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า "มันมีอะไรเยอะที่เขาเขียนไม่ชัด ให้ ป.ป.ช. กับ กกต.ไปชี้เอาเอง เหมือนที่บอกว่า รมต.ต้องไม่รับค่าตอบแทนหน่วยงานของรัฐ เพื่อไม่ให้ไปเป็นที่ปรึกษารัฐวิสาหกิจ เพราะปัญหาเคยเกิดในสมัย นายกฯ ทักษิณ ว่า รมต.ที่ใช้บริการการบินไทยสะสมไมล์ แล้วนำมาแลกตั๋วบิน ถือเป็นการรับประโยชน์หรือไม่ ซึ่งฝ่ายหนึ่งบอกว่าใช่ อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าไม่ใช่ ซึ่งก็ให้ ป.ป.ช.ตัดสิน ที่สุด ป.ป.ช.ก็ชี้ว่าไม่เป็น"