ข่าว
'แอลลี่โดดเด่น 'มิสยูนิเวิร์ส' อ้อนขอแรงเชียร์จากคนไทย

นางสาวปิยฉัตร ไชยศร ผู้สื่อข่าวไทยรัฐประจำนครชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ประเทศสหรัฐอเมริกา บินไปเกาะติดขอบเวทีการประกวด “มิสยูนิเวิร์ส 2015” หรือ “นางงามจักรวาล” ที่ยู เอส แบ็ง อารีน่า ในมหาวิทยาลัยนานาชาติฟลอริดา เมืองไมอามี รัฐฟลอริดา รายงานมาว่าเมื่อวันที่ 21 ม.ค.เวลา 19.00-22.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ตรงกับประเทศไทย ตอนเช้าวันที่ 22 ม.ค. กองประกวดมิสยูนิเวิร์ส ได้จัดประกวดรอบพรีริมหรือซ้อมใหญ่ เหมือนวันประกวดจริง เพื่อเตรียมพร้อมด้านต่างๆ และให้สาวงามที่เข้าประกวดได้ซักซ้อมการเดินประกวดในชุดต่างๆ และแสดงกิจกรรมบนเวทีด้วย โดยจัดเป็นรอบสื่อมวลชนด้วย

การประกวดเริ่มจากให้ผู้เข้าประกวดเดินโชว์ในชุดราตรียาว สำหรับ แอลลี่ พิมบงกช จันทร์แก้ว รองมิสยูนิเวิร์ส ไทยแลนด์ อันดับ 1 ตัวแทนสาวไทย เดินโชว์ในชุดราตรียาวสีเนื้อสลับลวดลายสีเงินสวยงาม เป็นชุดที่แอลลี่ออกแบบเองและตัดเย็บโดยอมร อัมมาเร่ จากนั้นเป็นการประกวดชุดว่ายน้ำ ซึ่งแอลลี่สวมชุดว่ายน้ำทูพีซสีชมพูโชว์สัดส่วนเดินอย่างสง่างาม

จากน้ันเป็นการเดินโชว์ชุดประจำชาติมีความโดดเด่นมาก เนื่องจากเป็นชุดสีดำสะท้อนแวววาวและเป็นชุดดำเพียงชุดเดียวบนเวทีท่ามกลางเสียงเชียร์ของชาวไทยดังสนั่น ปรากฏว่ารอบซ้อมใหญ่นี้มีการจำลองการประกาศรางวัลชุดแต่งกายประจำชาติ 5 อันดับได้แก่ แคนาดา, อินเดีย, อินโดนีเซีย, เยอรมนี และอาร์เจนตินา ซึ่งวันจริงต้องลุ้นกันว่าชุดประจำชาติใดจะคว้ารางวัล

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการประกวดรอบซ้อมใหญ่ มีชาวไทยในเมืองไมอามีประมาณ 20 คน ได้แต่งชุดไทยและถือธงชาติไทยไปส่งเสียงเชียร์แอลลี่กันดังสนั่น ทำให้แอลลี่ยิ้มและโบกมือให้ นอกจากนี้นางปนัดดา จันทร์แก้ว มารดาของแอลลี่และน้องสาว

กองเชียร์ไทยไม่แพ้ชาติใดในโลกพร้อมเพื่อนและญาติก็ได้ไปส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจด้วย พร้อมกับเปิดเผยว่าวันประกวดจริงวันที่ 25 ม.ค. จะมีชาวไทยจากนครลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย มาเชียร์กันจำนวนมาก ในฐานะที่แอลลี่เป็นสาวไทยที่เคยอาศัยอยู่ในลอสแอนเจลิสอีกคนที่ได้เข้าประกวดเวทีมิสยูนิเวิร์ส เช่นเดียวกับปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัฐกนก ที่คว้าตำแหน่งมิสยูนิเวิร์สมาแล้ว

ด้านแอลลี่ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ดีใจมากที่เห็นคนไทยไปเชียร์กันและส่งเสียงเชียร์กันดังสนั่นไม่แพ้ชาติอื่น ทำให้มีความความมั่นใจ และมีความสุขในการประกวดครั้งนี้ เพราะมีกำลังใจจากคนไทย ทั้งในห้องประกวด และที่เมืองไทย พร้อมทั้งยืนยันว่าไม่ได้กดดันแต่จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเพื่อคนไทย นอกจากนี้ฝากบอกชาวไทยอีกว่า ได้ดูคอมเมนต์ในอินสตาแกรม ทุกคอมเมนต์ แต่ขอโทษที่ไม่มีเวลาตอบ และขอให้เป็นกำลังใจในวันประกวดตัดสินรอบสุดท้ายด้วย

สำหรับการประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2015 จะมีการประกวดในวันที่ 25 ม.ค.ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐอเมริกา สำหรับประเทศไทยรับชมการถ่ายทอดสดได้ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 วันที่ 26 ม.ค.ตั้งแต่เวลา 08.00 น.เป็นต้นไป.

‘ประยุทธ์’เรียกเข้าชี้แจง ถึงเป็นนักข่าวก็ไม่เว้น

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 29 ม.ค. ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงว่า ที่ประชุมรับฟังข้อเสนอแนะ ปัญหาการปฏิบัติงานและติดตามงานตามนโยบายที่ตนสั่ง ซึ่งเราจะไล่ดูในทุกระดับ ทั้ง 3 แท่งน่าจะไปด้วยกันได้ ทั้งงบประมาณแผนงานโครงการ การตรวจสอบความโปร่งใส และสร้างความร่วมมือกับประชาชน จึงขอความร่วมมือกับประชาชนทุกภาคส่วนให้ยุติเรื่องที่มีปัญหาและเดินหน้าประเทศให้ได้ ส่วนงบประมาณที่ล่าช้านั้นตนได้เร่งรรัดไปแล้ว ซึ่งน่าจะเร็วขึ้นเพราะเริ่มทำไปแล้ว อย่าหาว่าบกพร่องเลย

เมื่อถามถึงคสช.เรียกนักการเมืองเข้ามารายงานตัว นายกฯ กล่าวว่า เรียกมาทำความเข้าใจ เราจะไปกดดันเขาทำไม ส่วนจะค้างคืนหรือไม่ ก็ให้ฝ่ายความมั่นคพิจารณาดูแต่ละคนที่เชิญมา แต่ถ้าให้นอนค้างคืนก็เปลืองข้าว ไม่ได้อยากให้อยู่

เมื่อถามว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารไปล็อกตัวนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรองนายกฯและรมว.ต่างประเทศ ที่ร้านอาหารย่านเมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนสั่งไปแล้วว่าใครไม่เข้าใจ ออกมาพูดจาให้เกิดความเสียหายให้เรียกมาคุยเพื่อทำความเข้าใจ ซึ่งไม่ต้องทำหนังสืออย่างเป็นทางการ ให้คสช.ติดต่อแล้วเชิญมาเอง ไม่อยากทำให้เป็นข่าวใหญ่โต ใช้โทรศัพท์หากัน เรียกมาพบพูดคุย ถึงเวลาก็ปล่อย ต่อข้อถามว่าการไปรับตัวถึงบ้านหรือร้านอาหารดูเหมือนเป็นเหตุการณ์ไม่ปกติหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า แล้วจะให้ไปเชิญที่ไหน เชิญที่ร้านค้าหรืออย่างไร หรือเชิญตามส้วมตามห้องน้ำ ก็ต้องไปเชิญที่บ้าน หรือไปเชิญที่ร้านค้า เจอตรงไหนก็เชิญตรงนั้น

เมื่อถามว่าต่อไปใครแสดงความเห็นทางการเมืองจะถูกเชิญมาปรับทัศนคติใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า แล้วถูกหรือไม่ที่ออกมาพูดกันอย่างนี้ มันสมควรพูดตอนนี้หรือ จะมาถามให้เป็นเรื่องกันอยู่ได้

ผู้สื่อข่าวถามว่าหลายฝ่ายมองว่าเหมือนทหารเป็นฝ่ายกดดัน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า “ใครมอง มีคนตรงไหนมองเช่นนั้น ใครอึดอัดบ้าง พลเรือนที่ไหนอึดอัด ไปถามคนจนดูบ้าง วันนี้พวกเราประชุมเรื่องคนจน เรื่องของคนทั้งประเทศ ไม่ได้พูดถึงเรื่องอำนาจ ผมไม่ได้เป็นพวกบ้าอำนาจ ไม่เข้าใจกันเสียที หาเรื่องอยู่นั่น เมื่อวาน (28 ม.ค.) ก็ครั้งหนึ่งแล้วถ่ายรูปได้อย่างไร ผมก็ชี้นิ้วไปเรื่อย ไอ้ห่า ถ่ายออกมาดีๆ ดันไปถ่ายผมชี้นิ้วอย่างนั้นอย่างนี้ นี่แหละที่เขาบอกว่าจิตใจมันต่ำ ด่าอีกก็ไม่กลัว จะด่าแบบนี้ จะทำไม”

เมื่อถามย้ำว่าไม่ว่าใครออกมาแสดงความเห็นจะถูกเชิญตัวใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ต้องไปชี้แจง คราวหลังนักข่าวก็ต้องโดนด้วย ถ้าถามมากๆ ถามไม่สร้างสรรค์ อยากถามว่ามันทำได้หรือไม่ ออกมาพูดขัดแย้งทัดทานอำนาจที่มีอยู่เต็มๆ ขนาดมีอำนาจอย่างนี้ ยังมาท้าทายแบบนี้ ถ้าไม่มีกฎอัยการศึก มันจะเกิดอะไรขึ้น ทุกคนก็รู้ อยากให้เป็นเช่นนั้นหรือไม่ ตนรู้ว่าพวกสื่ออยากให้เกิด จะได้ขายข่าวกัน ไม่เหนื่อย เขียนข่าวให้มันดี เขียนให้คนรู้ว่าเราทำอะไรอยู่ ไม่เช่นนั้นมันก็ตีกันอยู่อย่างนี้ ถามว่าสิ่งที่พวกเขาพูด มันกดดันตนหรือไม่ รัฐบาลมีอำนาจเต็มแล้วมาท้าทายอยู่แบบนี้ได้หรือไม่ ที่ปล่อยมาทุกวันนี้ก็เยอะแล้ว เดี๋ยวจะเรียกมาอีก สำหรับนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรมว.พลังงาน ตอนเป็นรัฐมนตรีไม่เห็นจะทำ ไม่เห็นด้วยอย่างนั้นอย่างนี้ พูดว่ารัฐบาลต้องทำแบบนี้แบบนั้น แล้วเรื่องพลังงานวันนี้มีปัญหาแค่ไหน ทำไมตอนเป็นรัฐมนตรีถึงไม่ทำ พวกนี้จะต้องมาชี้แจงตนว่าทำไมไม่ทำ ทำอะไรกันอยู่

ส่วนที่นายสมบัติ บุญงามอนงค์ บก.ลายจุด รณรงค์ให้ทุกวันอาทิตย์ใส่เสื้อสีแดงนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า มันควรทำหรือไม่ อยากถามว่ามีจุดมุ่งหมายอะไร สร้างสรรประโยชน์หรือไม่ ทำไมไม่รณรงค์ใส่เสื้อสีเหลือง สีแดง สีฟ้าบ้าง ทำไมต้องมีแต่สีแดง รู้กันอยู่ จะมาถามอะไรกันส่งเดช

เมื่อถามว่าคสช.เรียกบุคคลไปปรับทัศนคติครั้งที่สอง ถ้าครั้งต่อไปยังฝ่าฝืนอีกจะมีโทษแค่ไหน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า มันมีขั้นตอนอยู่ ทั้งห้ามออกต่างประเทศ ตรวจสอบเส้นทางการเงิน ระงับธุรกรรมทางการเงิน การลงโทษมีหลายขั้นตอน อยากทำผิดก็ทำผิดกันไปเรื่อยๆ ที่ผ่านมาผ่อนผันมาตลอด

เมื่อถามว่าดูเหมือนคสช.จะดุและเอาจริงเอาจังมากขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ก็บอกว่าไม่ได้เรื่อง พอเข้มขึ้นก็โมโห ทุกอย่างมันเป็นไปตามสถานการณ์ ส่วนที่นักการเมืองแสดงความเห็นเช่นนี้ รบกวนการทำงานของรัฐบาลหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่กวนแต่รำคาญ เมื่อถามว่าจะเรียกใครมาชี้แจงเป็นรายต่อไป นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ด้วยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ใครออกมาพูดก็เรียกทั้งหมด ส่วนนายณัฐวุฒิ มีคดีที่ค้างอยู่ในศาล ก็ให้ศาลว่าให้จบก่อน ซึ่งคงห้ามทั้งหมด

ต่อข้อถามว่านายกฯ อารมณ์ร้อนเพราะสถานการณ์การเมืองรุมเร้าใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่เกี่ยว ไม่สนใจการเมือง ทำไมใครจะมีปัญหาการเมือง วันนี้เราเป็นรัฐบาลทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การให้สัมภาษณ์ของนายกฯ ในเรื่องนี้เป็นไปอย่างดุเดือด โดยนายกฯแสดงอารมณ์โมโห ทุบโต๊ะและเสียงดัง หลุดคำสบถหลายครั้ง ทั้งคำว่า ขี้ข้า ไอ้ห่า บ้า ทำไมวะ แต่พยายามบอกว่าที่เสียงดังไม่ใช่โมโห แต่ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของพล.อ.ประยุทธ์ แสดงถึงความไม่พอใจอย่างยิ่ง

จากนั้นผู้สื่อข่าวถามถึงการติดตามงานของกระทรวงเกษตรฯ ว่ามีการประเมินงานตามนโยบายที่มอบไว้อย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า “ไม่ได้ทำอะไรเลย ที่สั่งเพราะปากหลุดๆไปเท่านั้น ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ถามแต่ไอ้แบบนี้ ที่ไหนเขาทำงานแบบนั้น ต้องไปถามกระทรวงเกษตรฯทำงานอยู่ทุกวันนี้ ตั้งคณะทำงานตามงานทุกวัน เดี๋ยวมีคณะไปเดินตรวจ เดี๋ยวคสช.ไปไล่ นี่เราทำงานแบบนี้ ไม่ได้แบบไอ้ที่ไปรณรงค์ใส่เสื้อสีตามอีนี่” นายกฯ กล่าว พร้อมชี้ไปทางผู้สื่อข่าวที่ถามในประเด็นการเมืองเรื่องกระแสข่าวกลุ่มนปช.รณรค์ให้ใส่เสื้อสีแดงทุกวันอาทิตย์

ผู้สื่อข่าวถามว่านายกฯตอบไม่ตรงคำถาม ซึ่งการประเมินนั้นมีอะไรบ้าง นายกฯ ย้อนถามว่า อะไร ประเมินนี่ไง เขาตามว่าการจ่ายเงินล่าช้าวันนี้ เขาเร่งรัดไป จ่ายได้ 80-90 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่ยังไม่ได้ครบคือมาตการช่วยเหลือเร่งด่วน 1 พันบาท ต่อไปคือมาตรการระยะสั้น กองทุนมูลพันธ์กันชนที่ยังติดขัด เขาเรียกการติดตามประเมินผล ถ้าได้ผลก็ทำต่อ ไม่ได้ผลก็ยกเลิกทำใหม่ หาอย่างอื่นเข้ามาแทนในช่วงที่มีปัญหา หากจะคิดอะไรก็ทำแล้วไม่ติดตาม จ่ายเงินโครมๆ ต้องไปถามรัฐบาลที่ผ่านมา

เมื่อถามถึงมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร นายกฯ กล่าวว่าให้ไปฟังปลัดกระทรวงเกษตรฯพูด เมื่อถามว่าในส่วนนโยบายดำเนินการเป็นอย่างไร นายกฯ กล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ไอ้บ้า ผมสั่งนี่คือนโยบายทั้งหมด แล้วมาถามนโยบายผม นโยบายกระทรวง ไอ้ที่เขาทำทุกวันนี่คือผมสั่ง เข้าใจหรือยัง แล้วไม่ต้องมาบอกผมเสียงดัง ไม่ได้โมโหเสียงดัง โมโหที่ไหน มันมีที่ไหน นโยบายนายกฯ นโยบายรัฐบาล นโยบายปลัดกระทรวง ถึงนโยบายโน่นเลย ลูกจ้าง พนักงานโน่น นโยบายเขาออกโดยนายกฯ ครม. และกระทรวงไปขับเคลื่อนออกมา”

เมื่อถามว่าปัญหาและอุปสรรคที่ทำให้ผลงานไม่ออกคืออะไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเสียงดังว่า ปัญหามันเกิดมากี่ปีแล้ว วันนี้แก้ไปเท่าไรแล้ว และกำลังแก้อยู่ในระยะหนึ่ง สอง สาม ต้องเข้าใจ การปฏิรูปตามโรดแม็ป ทำไมวันนี้ไม่มาถามโรดแม็ป ทำไมไม่ถามว่าเหลือเท่าไร กี่วัน เดือน ปี เมื่อไรต้องไป เมื่อใดเลือกตั้ง วันนี้ไม่เร่งตรงนั้น แล้วมาเร่งตรงนี้ “ผมเป็นขี้ข้ารึไงวะ เข้าใจหรือยัง นี่ไม่ได้โมโหเลย”

เมื่อถามว่าการแก้ปัญหาผลผลิตทางการเกษตรขณะนี้น่าพอใจหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ก็ต้องพอใจ ก็ให้มันทำ แต่มันจะดี ไม่ดีกำลังสั่งต่อ เดี๋ยวจะให้ขายอย่างอื่นด้วย ที่มาถามนี่ไปซื้อกล้วยไม้ที่ตลาดนัดกล้วยไม้ที่ทำเนียบรัฐบาลหรือยัง ผู้สื่อข่าวตอบว่าซื้อแล้ว นายกฯ กล่าวต่อว่า ค่อยยังชั่ว ถ้าไม่ซื้อแล้วอย่ามาติกัน คิดให้ทุกอย่าง คิดจนไม่เหลือเวลา ที่ไม่ได้คิดไม่ได้พูดคือเวลานอนเท่านั้น


ปล่อย'ณัฐวุฒิ'กลับบ้านแล้ว หลังเข้าปรับทัศนคติ 1ชั่วโมง

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 30 ม.ค. ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้เดินทางมาพูดคุยกับทีมทหารกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) ตามคำเชิญของพล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ในฐานะผบ.กกล.รส. ภายหลังจากที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้สั่งการให้คสช.เชิญผู้ที่ยังแสดงออกด้านความคิดเห็นทางการเมืองมาทำความเข้าใจ เพื่อขอความร่วมมืองดการแสดงออกและงดการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลและคสช.ในช่วงนี้

ทั้งนี้นายณัฐวุฒิ ให้สัมภาษณ์ ก่อนเข้าพบว่า ตนไม่ได้กังวลในการเข้าพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ทหาร เพราะที่ผ่านมาได้แสดงความเห็นชัดเจนว่ามีความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่ไม่ได้มีแนวโน้มปลุกปั่น เพราะไม่ต้องการให้เกิดการเผชิญหน้า ทั้งนี้เชื่อว่าจะไม่มีการกักตัว แต่ยังพร้อมรับกับทุกสถานการณ์ ส่วนกรณีที่รัฐบาลขอความร่วมมือในการงดแสดงความคิดเห็นทางการเมืองนั้น ขอคุยกับเจ้าหน้าที่ก่อน แต่เชื่อว่า รัฐบาลจะรับฟังความคิดเห็นที่มีเหตุผลและอยู่บนหลักการ เพราะถือเป็นเสรีภาพในการแสดงออกของทุกคน

ภายหลังจากการพูดคุยนานกว่า 1 ชั่วโมง นายณัฐวุฒิ ให้สัมภาษณ์ว่า ในการพูดคุยก็เป็นการขอความร่วมมือเกี่ยวกับเรื่องการให้สัมภาษณ์เรื่องต่าง ๆ แต่ตนคิดว่า การแสดงออกทางความคิดด้วยความบริสุทธิ์ใจ และปราถนาดีต่อบ้านเมือง บุคคลทั่วไปสามารถทำได้ คิดว่า ผู้มีอำนาจคงไม่ปฏิเสธกับผู้ที่มีความปราถนาดีต่อบ้านเมือง จากทุกกลุ่มต่อการดำเนินการต่อไปข้างหน้าอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจ เมื่อปฏิบัติก็ต้องพร้อมที่จะรับผิดชอบกับสิ่งทีเกิดขึ้น ทั้งนี้บรรยากาศในการพูดคุยเป็นไป แบบมิตรไมตรี และไม่ได้บังคับ ทหารไม่มีท่าทีที่แข็งกร้าว ซึ่งก็ได้ข้อยุติรวมกันในการขอความร่วมมือในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง โดยตนก็ยินดีเพื่อไม่ให้เกิดการเผชิญหน้าและความวุ่นวาย แต่การแสดงออกด้วยความบริสุทธิ์ใจ เชื่อว่าสังคมยอมรับได้ ทั้งนี้ตนไม่ท้าทาย แต่เราบริสุทธิ์ใจในการแสดงออก

" ผมก็เป็นของผมแบบนี้ ไมมีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ด้วยสถานการณ์ อะไรที่จะดำเนินการต่อไปข้างหน้าหรือไม่ดำเนิน ผมก็ต้องรับผิดชอบ ไม่มีเจตนาขัดขวางหรือต่อต้านใด ๆ ทั้งสินทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของความการแสดงคิดเห็นที่บริสุทธิ์ใจเท่านั้นเอง" นายณัฐวุฒิ กล่าว.aa


เขี่ย “ปู” พ้นทาง เพื่อไทย “หัวใหม่” ฝ่อโดนตัดตอน

“พรรคเพื่อไทย” เหมือนผีหัวขาด หลัง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีถูกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ด้วยมติค่อนสภา 190 เสียง เขี่ยพ้นกระดานการเมือง 5 ปี และยังส่อปิดเทอมยาวหากรัฐธรรมนูญฉบับถาวรที่ “ดร.ปื๊ด” บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กับ “36 อรหันต์” กำลังนั่งเขียน เคาะกติกาออกมาบล็อกนักการเมืองที่มีมลทินกลับสู่วงจรตลอดชีวิต

หรือกรณี “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่กะตีงูแค่หลังหัก ด้วยการไฟเขียวถอนรากถอนโคน ส่งซิกฟันเปรี้ยงคดีอาญา กรณีละเว้นไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวจนก่อให้เกิดความเสียหายที่อัยการสูงสุด (อสส.) กำลังจะส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งการเมือง ที่บทลงโทษ “ขังคุก” สถานเดียว มิวายต้องอัปเปหิจากแผ่นดินไทย หนีตามพี่ชาย “ทักษิณ ชินวัตร” ไปอยู่ดูไบอีกคน

ชะตากรรม “ยิ่งลักษณ์” แทบจะมืดบอดทางการเมืองในเปอร์เซ็นต์สูงลิ่ว!!!

“อาณาจักรชินวัตร” ระส่ำระส่ายหนัก ยังหา “หัว” คนใหม่มาขึ้นห้างแทน “นายหญิง” ไม่ได้ คนในพรรคแตกกระสานซ่านเซ็นไปคนละทิศละทาง อยู่ในภาวะ“สุญญากาศ” รอแค่ “นายใหญ่” เคาะออกมาจะเอาใคร ตามสัญญาณและความเคลื่อนไหวภายในพรรค บัดนี้ยังเป็นแค่การคาดการณ์ตัวละครที่เป็นไปได้มากกว่า

แต่ที่แน่ๆ นาทีนี้เหลียวซ้ายแลขวา ตัวละครในตะกร้ามีปริมาณจำกัดมากๆ เพราะติดล็อกหลายปัจจัย โดยเฉพาะพวกตรงสเป็ก “นายใหญ่” ที่ต้องกดปุ่มสั่งการได้ และต้องเป็นคนในตระกูล “ชินวัตร” แทบไม่เหลืออะไรใหม่ๆ มาขายได้เลย

ไม่ว่าจะเป็นน้องสาวในไส้ “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เจ้าแม่แห่งวังบัวบาน แม้จะมีเครือข่ายอดีตส.ส.ภาคเหนือเป็นกอบเป็นกำ แต่หลายคนในพรรคไม่ค่อยแฮปปี้ หนำซ้ำ ติดภาพลักษณ์เรื่องทุจริต มีชื่อพัวพันเกี่ยวกับเรื่องฉาวโฉ่นับไม่ถ้วน แผลในตัวเหวอหวะ ขืนเอามาขึ้นห้างไม่ต่างจากการ “ล่อเป้า” ฝ่ายตรงข้ามให้รุมขย้ำง่ายกว่า “ยิ่งลักษณ์” เสียอีก

หรือจะเป็น “ชายจืด” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ สามีสุดที่รักของ “เจ๊แดง” อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ไม่เคยนั่งเก้าอี้ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ชื่อชั้นพอนำมาปัดฝุ่นได้ แต่ไม่หวือหวาพอกระชากใจเท่าคนใน “ชินวัตร” โดยตรง

ที่สำคัญ ทั้ง “เจ๊แดง” และ “ชายจืด” ไม่ใช่พวกเนื้อตัวสะอาดผุดผ่อง เคยมีมลทินโดนตัดสิทธิ์ทางการเมืองมาแล้วทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเลขที่ 111 และ 109 หาก“36 อรหันต์” คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญนึกคึกเขียนกีดกัดพวกมีมลทินขึ้นมา ส่อแววโดนหางเลขไปด้วย

เหลียวไปมองพวกสาย “จันทร์ส่องหล้า” โดยเฉพาะเครือญาติฝั่ง “หญิงอ้อ” คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร ภรรยานอกสมรสของ “นายใหญ่” ที่พอถูไถชื่อชั้นถึง น่าจะเป็น “บิ๊กอ๊อฟ” พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ ผู้เป็นพี่ชาย ซึ่งมีดีกรีเป็นถึงอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ภาพลักษณ์ไม่ยี๊เท่าไหร่ แถมหน้าตาพอขายได้หากวัดบรรทัดฐานการเมืองไทยที่ชอบ “โชว์สวย” และ “โชว์หล่อ”

แต่ติดอยู่ตรง “หญิงอ้อ” จะดันหรือไม่ และ “บิ๊กอ๊อฟ” เองจะเสี่ยงหรือไม่!!!

ขณะที่ “โอ๊คอ๊าค” พานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายหัวแก้วหัวแหวน แม้จะมีสายเลือด “ชินวัตร” อยู่เต็มกาย แต่โปรไฟล์ติดลบ วุฒิภาวะไม่ได้ ไร้ชั่วโมงบิน พรรษาอ่อนหัด หากหลับหูหลับตาดันขึ้นมาแทน แทบไม่ต่างอะไรจากการเหยียดหยามสังคม เป็น “ผลลบ” มากกว่า “ผลบวก”ส่อแววดับอนาถทางการเมืองในเวลาแปบเดียว!!!

อีกคนในเครือข่ายที่คาดการณ์กันหากหมดตัวเลือก สามีสุดที่รัก “เอม” พิณทองทา ชินวัตร บุตรสาวคนโต “นายใหญ่” อย่าง “ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” นักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ที่ในพรรคลองเหวี่ยงแหกันเล่นๆ ว่า น่าจะดันได้ แต่ถือว่า เป็นไปได้น้อย ห่างไกลความจริง ทั้งประสบการณ์และคอนเนกชั่น ที่สำคัญ คนในพรรคอาจไม่ยอมรับ

ครั้น “นายใหญ่” จะหันกลับไปสนใจใช้บริการ “คนนอก” ก็เข็ดขยาดกับปัญหารีโหมดไม่ทำงาน สั่งการไม่ได้เหมือนยุครัฐบาล “สมัคร สุนทรเวช”

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังเป็นการมโนกันตามตรรกะของคนในเครือข่าย ยังฟันธงอะไรไม่ได้ ณ นาทีนี้ หนำซ้ำ ยังไม่กล้าโยนหินถามทางออกมามั่วๆ กลัวจะเข้าทางปืนฝ่ายกุมอำนาจที่อาจบล็อกตั้งแต่หัววัน โดยเฉพาะพวกมีมลทินและรอยด่างทางการเมือง อาจโดนคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเขียนยันต์กันผีรอ


'สรยุทธ' ยันขอทำหน้าที่สื่อต่อ ศาลให้ประกัน 2 แสนคดีไร่ส้ม

อัยการฟ้อง 'สรยุทธ' พร้อมลูกน้อง คดีไร่ส้ม ทำ อสมท เสียหาย 138 ล้านบาท ด้าน ทนายยื่นหลักทรัพย์ 1 ล้านบาทขอประกันชั่วคราว ขณะที่ศาลอนุญาตตีราคาประกันคนละ 2 แสนบาท ส่วน 'พิชชาภา' ป.ป.ช.ยังไม่ส่งตัวให้อัยการ...

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 30 ม.ค.2558 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายมานพ เสือเหลือง พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บจก.ไร่ส้ม โดย น.ส.อังคนา วัฒนมงคลศิลป์ และน.ส.สุกัญญา แซ่ลิ่ม ในฐานะ กก.ผจก.บจก.ไร่ส้ม, นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา อายุ 49 ปี พิธีกรชื่อดัง และ กก.ผจก.บจก.ไร่ส้ม และ น.ส.มณฑา ธีระเดช อายุ 43 ปี เจ้าหน้าที่ บจก.ไร่ส้ม เป็นจำเลย 1-3 ตามลำดับ ในความผิดฐานเป็นพนักงานเรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งหน้าที่ ไม่ว่าการนั้นจะชอบ หรือมิชอบด้วยหน้าที่ เป็นพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่องค์กร เป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และสนับสนุนพนักงานกระทำความผิดดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายมาตรา 83, 86, และ 91 พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2526 ม.4 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 ม.6, 8 และ 11

คำฟ้องโจทก์ระบุพฤติการณ์พวกจำเลยสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 4 ก.พ.48- 28 เม.ย.49 ต่อเนื่องกัน นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด หรือนางชนาภา บุญโต พนักงานจัดทำคิวโฆษณาของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้จัดทำคิวโฆษณารวมในรายการ คุยคุ้ยข่าว ก่อนออกอากาศ บมจ. อสมท โดยใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต ไม่รายงานการโฆษณาเกินเวลาจำนวน 17 ครั้ง เพื่อเรียกเก็บค่าโฆษณาเกินเวลาจากจำเลยที่ 1 ทำให้ บมจ.อสมท เสียหาย 138,790,000 บาท และยังได้เรียกรับเอาเงิน จำนวน 658,996 บาท จากจำเลยที่1-3 เพื่อตนเองโดยมิชอบ เป็นการตอบแทนที่ นางพิชชาภา ไม่รายงานการโฆษณา ข้างต้น

เป็นการกระทำหรือไม่กระทำการอย่างใดโดยมิชอบด้วยหน้าที่ของนางพิชชาภา และเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ บมจ.อสมท ประชาชนผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ซึ่งมีจำเลยที่ 1-3 เป็นผู้สนับสนุนช่วยเหลือ ให้ความสะดวกในการกระทำผิด โดยมอบเช็คธนาคารธนชาต สาขาพระราม 4 สั่งจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้นางพิชชาภา เหตุเกิดที่แขวงและเขตห้วยขวาง กทม. ศาลได้ประทับรับฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.313/2558 พร้อมนัดตรวจพยานหลักฐาน วันที่ 27 เม.ย.นี้ เวลา 09.00 น.

สรยุทธ กล่าวยืนยัน ยังจะทำหน้าที่สื่อต่อไป และพร้อมสู้คดี

ต่อมาทนายความนายสรยุทธ และ น.ส.มณฑา ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ เป็นเงินสด 1 ล้านบาท ขอปล่อยตัวชั่วคราว โดยศาลได้พิจารณาคำร้องพร้อมหลักทรัพย์แล้วอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ตีราคาประกันคนละ 2 แสนบาท

ขณะที่ นายสรยุทธ กล่าวยืนยันภายหลังได้รับการประกันตัวว่า ยังจะทำหน้าที่สื่อต่อไป และพร้อมสู้คดี เนื่องจากขณะนี้เพิ่งเป็นการเริ่มต้นพิจารณาคดี โดยที่ผ่านมาตนก็ไม่ได้เจอนางพิชชาภา

ด้าน นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า ในวันนี้สำนักงานอัยการพิเศษ 2 ได้นำตัวนายสรยุทธ และนางมณฑา ส่งฟ้องต่อศาลอาญาในความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนนางพิชชาภา กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 6, 8, 11 ประกอบประมวลอาญามาตรา 83, 91 แล้ว ส่วนนางพิชชาภา ทางสำนักงาน ป.ป.ช. ยังไม่ส่งตัวมา ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุดจะได้ประสานงานเพื่อนำตัวมาฟ้องศาลต่อไป.

คุก 6 ปี 'เดอะกิ๊ก-ลูกน้อง คดีหมิ่นเบื้องสูง-บ่อน

ประเดิมคดีแรก!ศาลพิพากษาจำคุก 12 ปี "พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ " และ พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อดีตรอง ผบช.ก. กรณีแอบอ้างเบื้องสูง-เปิดบ่อนการพนัน "โคลอนเซ่" จำเลยรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุกไว้ 6 ปี

วันศุกร์ 30 มกราคม 2558 เวลา 20:01 น.

เมื่อวันที่ 30 ม.ค. ศาลได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีดำ อ.290/58 ที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อายุ58ปี อดีต ผบช.ก. กับ พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อายุ59ปี อดีตรอง ผบช.ก . ร่วมกันเป็นจำเลยที่1-2ตามลำดับในความผิดฐาน ร่วมกันหมิ่นประมาท ,ดูหมิ่นแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี และองค์รัชทายาท เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ และจัดให้มีการเล่นการพนัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา83,91,112, พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542มาตรา41,123/1พ.ร.บ. การพนัน พ.ศ.2478

กรณีเมื่อระหว่างวันที่11ม.ค. –30ก.ค.54ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน และเจ้าหน้าที่ของรัฐ กับพวกที่ยังหลบหนีได้ร่วมกันจัดให้มีการเล่นการพนันที่บ่อน "โคลอนเซ่" ย่านห้วยขวาง รวมทั้งดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ซึ่งเป็นการกระทำผิดกฎหมาย

โดยศาลสอบคำให้การจำเลยแล้ว จำเลยให้การรับสารภาพ จึงเห็นว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้องจริง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมพิพากษาฐาน ดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตาม มาตรา 112 จำคุกคนละ 5 ปี ,ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ มาตรา 123/1 จำคุกคนละ 5 ปี และฐานสนับสนุนให้มีการตั้งบ่อนการพนันฯ ตาม พ.ร.บ.การพนันฯ จำคุกอีกคนละ 2 ปี รวมจำคุกจำเลยคนละ 12 ปี คำรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกไว้คนละ 6 ปีต่อมาเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ กับพวก เดินทางกลับไปควบคุมไว้ที่เรือนจำพิเศษต่อไป.