ข่าว
ดีเบตรอบสุดท้าย! “ทรัมป์-ไบเดน” ศึกเลือกตั้ง ปธน. สหรัฐฯ 2020

จบลงไปแล้วสำหรับการดีเบตของ 2 ผู้ท้าชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่าง “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน และ “โจ ไบเดน” ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครต ซึ่งจัดขึ้นในวันพฤหัสบดี ที่ 22 ตุลาคม เวลา 21:00 น. (ตามเวลาสหรัฐฯ) หรือตรงกับเช้าวันศุกร์ ที่ 23 ตุลาคม เวลา 8:00 น. ของประเทศไทย ณ มหาวิทยาลัยเบลมอนต์ เมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี โดยการดีเบตในครั้งนี้ ถือเป็นโค้งสุดท้ายก่อนจะมีการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้ Sanook จึงสรุปไฮไลท์เด็ดจากค่ำคืนการ ดีเบตรอบสุดท้ายมาฝากทุกคน

โควิด-19

ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวถึง การรับมือกับโรคโควิด-19 ในเฟสแรก โดยอ้างว่าอัตราการติดเชื้อทั่วประเทศลดลง ขณะเดียวกันก็ใช้เวลาในช่วงนี้ โจมตีรัฐนิวยอร์ก นอร์ทแคโรไลนา อิลลินอยส์ และรัฐอื่น ๆ พร้อมกันนี้ ทรัมป์ยังย้ำชัดว่าสหรัฐฯ ต้องทำการเปิดประเทศอีกครั้ง ไบเดนในทางกลับกัน ชี้ว่าวิธีการง่าย ๆ ที่จะะป้องกันโรคโควิด-19 คือการสวมหน้ากากอนามัย ทุกคนต้องเข้าถึงการตรวจหาโรค พร้อมๆ กับการที่รัฐบาลต้องจัดตั้งมาตรฐานแห่งชาติในการเปิดโรงเรียนและภาคธุรกิจ

การจ่ายภาษีของทรัมป์

ทรัมป์กล่าวว่า เขาจะนำหลักฐานการจ่ายภาษีของเขามาแสดงให้ทุกคนได้ดูในเร็ว ๆ นี้ ขณะที่ไบเดนโจมตีทรัมป์ กรณีที่เขามีบัญชีธนาคารในประเทศจีน แต่ทรัมป์ก็ตอกกลับว่า ไบเดนรับเงินจากประเทศยูเครน รัสเซีย และจีน

เกาหลีเหนือ

ทรัมป์ระบุว่า ประเทศเกาหลีเหนือครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องรักษาความสัมพันธ์กับประเทศอื่น ในขณะที่ไบเดนกล่าวว่า เกาหลีเหนือไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของรัฐบาลโอบามา เพราะรัฐบาลในขณะนั้นมีความแข็งแกร่งมากพอ

ระบบสุขภาพ

ไบเดนชี้ว่า เขาจะเปลี่ยน “โอบามาแคร์” ให้เป็น “ไบเดนแคร์” ซึ่งมีความคล้ายคลึงกัน แต่ประชาชนจะมีทางเลือกมากขึ้น พร้อมกันนี้เขายังต้องการที่จะสร้างการแข่งขันระหว่างบริษัทประกันภัยอีกด้วย ขณะที่ทรัมป์โจมตีว่า ไบเดนไม่ลงมือทำอะไรเลยตลอด 47 ปีที่เขาทำหน้าที่รัฐบาล

การแยกเด็กจากครอบครัว

ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา มีรายงานข่าวว่าเด็กกว่า 500 คนถูกแยกจากครอบครัวในด่านพรมแดน ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีทั้ง 2 คนจึงได้รับคำถามถึงวิธีการที่จะทำให้เด็กได้เจอครอบครัวของพวกเขาอีกครั้ง ซึ่งทรัมป์ระบุว่า คณะทำงานของเขากำลังทำงานอย่างหนักเพื่อให้เด็กๆ ได้พบพ่อแม่อีกครั้ง แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดของแผนการที่ชัดเจน ขณะที่ไบเดนไม่ได้กล่าวถึงแผนการเช่นกัน แต่เขาชี้ว่า สหรัฐฯ ได้กลายเป็น “ตัวตลก” ไปแล้ว จากการทำให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น

การเหยียดเชื้อชาติ

ไบเดนกล่าวว่า สหรัฐฯ ไม่เคยสร้างความเท่าเทียมให้กับทุกคนได้อย่างแท้จริง เขาเรียกร้องระบบสุขภาพที่ดีกว่าเดิม รวมถึงระบบการศึกษา และโอกาสสำหรับครอบครัวที่มีความแตกต่างหลากหลายได้ลืมตาอ้าปาก ขณะที่ทรัมป์ระบุว่า กระบวนการยุติธรรมทางอาญาและการปฏิรูปเรือนจำ เป็นนโยบายสำคัญของเขาในการช่วยเหลือคนผิวสี และเขาต้องการที่จะทุ่มงบประมาณให้กับวิทยาลัยชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน (Historically Black Colleges)

การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

ทรัมป์ชี้ว่า เขาต้องการสภาพแวดล้อมและน้ำที่สะอาด แต่แสดงความไม่พอใจต่อข้อตกลงบางข้อที่

ประเทศต้องทำเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม เช่น ความตกลงปารีส (Paris Agreement) เขาอ้างว่า สหรัฐฯ มีน้ำและะอากาศที่ดีที่สุดแล้ว ขณะที่ไบเดนกล่าวว่าปัญหาโลกร้อน เป็นปัญหาสำคัญและเวลาที่จะใช้เพื่อแก้ไขปัญหานี้ก็ลดน้อยลงเรื่อย ๆ

ในตอนท้าย ทรัมป์ระบุว่า เขาต้องการให้สหรัฐฯ กลับมาดีอีกครั้งดังเช่นก่อนเกิดการแพร่ระบาดของ

โรคโควิด-19 พร้อมกันนี้ เขายังต้องการสร้างงานและสร้างโอกาสให้กับทุกคนในประเทศ ในขณะที่ไบเดนกล่าวกับผู้ลงคะแนนเสียงว่า เขาต้องการปรับปรุงระบบเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับการแก้ไขปัญหาการเหยียดเชื้อชาติ และสร้างสภาพแวดล้อมที่สะอาด พร้อมกับสร้างงานใหม่ให้ประชาชนอีกด้วย

ขอขอบคุณ

ข้อมูล : Deseret News

ภาพ : AFP

เกาหลีใต้เดินหน้าฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ต่อ แม้ยอดดับปริศนาพุ่ง 25 ศพ

รัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศเดินหน้าโครงการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ต่อ แม้จะมีเสียงเรียกร้องให้หยุด หลังผู้เสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุเพิ่มเป็น 25 ศพแล้ว

สำนักข่าว แชนเนลนิวส์เอเชีย รายงานว่า รัฐบาลเกาหลีใต้ยืนยันในวันพฤหัสบดีที่ 21 ต.ค. 2563 ว่าจะไม่ระงับการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล แม้เสียงเรียกร้องให้หยุดโครงการจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากยอดผู้เสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุหลังฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นเป็น 25 ศพแล้ว

นาย พัค นึง-ฮู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเกาหลีใต้ กล่าวว่า เขาเข้าใจและเสียใจที่ประชาชนเกิดความกังวลในเรื่องวัคซีน แต่โครงการฉีดวัคซีนฟรีดังกล่าวจะดำเนินต่อไป และเจ้าหน้าที่กำลังสืบหาสาเหตุของการเสียชีวิต โดยจะตรวจสอบทั้งกระบวนการตั้งแต่การผลิตจนถึงการแจกจ่าย ซึ่งจะมีหน่วยงานรัฐหลายหน่วยเกี่ยวข้อง

ด้านนาย จอง อึน-คยอง ผู้อำนวยการของสำนักงานควบคุมและป้องกันโรค (KCDC) กล่าวในรัฐสภาว่า ผู้เสียชีวิต 22 ศพในจำนวนนี้ เข้าร่วมแคมเปญฉีดวัคซีนให้วัยรุ่นและผู้สูงอายุฟรี 19 ล้านคน อย่างไรก็ตาม แม้จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้น แต่ทีมของพวกเขาพบว่ามีความเป็นไปได้ต่ำมากที่การเสียชีวิตเป็นผลมาจากการฉีดดวัคซีน KCDC เผยด้วยว่า ผลการตรวจสอบขั้นต้นในการเสียชีวิต 9 ราย พบ 7 รายที่มีการป่วยอยู่ก่อนแล้ว

วัคซีนที่ใช้มาจากผู้ผลิตยาภายในประเทศหลายเจ้า โดยข้อมูลล่าสุดระบุว่า ในกลุ่มผู้เสียชีวิตทั้ง 25 ราย มี 10 รายที่รับวัคซีนของบริษัท ‘เอสเค ไบโอไซแอนซ์’, วัคซีนจากบริษัท ‘โบรยอง’ กับ ‘จีซี ฟาร์มา’ เจ้าละ 5 ราย, 1 รายจาก ‘โคเรีย วัคซีน’ และอีก 4 รายรับวัคซีนจากบริษัท ซาโนฟี ของฝรั่งเศส

ทั้งนี้ เกาหลีใต้สั่งวัคซีนมาเพิ่มอีก 20% ในปีนี้ สำหรับฉีดให้ประชาชน 30 ล้านคน เพื่อป้องกันการระบาดซ้อน ของไข้หวัดใหญ่และไวรัสโควิด-19 ซึ่งจะทำให้โรงพยาบาลต้องแบกรับภาระอย่างหนักในช่วงฤดูหนาว

แต่การเสียชีวิตที่เกิดขึ้นทำให้หลายฝ่ายรวมถึง สมาคมการแพทย์เกาหลี (KMA) ซึ่งเป็นกลุ่มแพทย์ที่มีอิทธิพลในประเทศ เรียกร้องให้รัฐบาลระงับโครงการให้วัคซีนทั้งหมดชั่วคราว เพื่อคลายความกังวลของสังคม และรับรองความปลอดภัยของวัคซีน


ลาวผวา เกาะติด พายุ ‘โซเดล’ เตรียมถล่ม ต่อจากเวียดนาม

สำนักอุตุฯ สปป.ลาว ติดตามพายุโซนร้อน ‘โซเดล’ เตรียมถล่ม คาดพายุจะเข้าบริเวณภาคกลางค่อนไปทางใต้ หลังจากถล่มเวียดนามแล้ว แจ้งเตือนประชาชนระวังฝนตกหนัก ลมกระโชกแรง

เมื่อ 22 ต.ค.63 เว็บไซต์ laotiantimes สื่อภาษาอังกฤษใน สปป.ลาว ติดตามพายุโซนร้อนโซเดล กำลังมุ่งหน้า และเตรียมขึ้นฝั่งเวียดนามในวันอาทิตย์นี้ว่า พายุโซเดลถล่มเวียดนามแล้ว พายุมีทิศทางมุ่งหน้าสู่ภาคใต้ของ สปป.ลาว และคาดว่าพายุจะเข้าที่บริเวณแขวงสุวรรณเขต หรือ สะหวันนะเขต ทางตอนกลางค่อนไปทางใต้ของประเทศ

สำนักอุตุนิยมวิทยาของ สปป.ลาว แจ้งเตือนประชาชนให้ระวังอันตรายจากการเกิดฝนตกหนักและลมกระโชกแรง ทั่วพื้นที่ทางภาคใต้ของประเทศ ตั้งแต่วันที่ 25-26 ตุลาคม นี้ ขณะที่หลายหมู่บ้านในแขวงสุวรรณเขตได้ประสบภัยน้ำท่วมรุนแรงอยู่แล้ว จากอิทธิพลของพายุโซนร้อนหลิ่นฟา และนังกา ที่พัดผ่าน สปป.ลาว หลังจากถล่มเวียดนาม เมื่อสัปดาห์ก่อน


ความหวังกระตุ้นศก. ดันหุ้นสหรัฐฯ ขึ้น ดาวโจนส์บวก น้ำมันพุ่ง-ทองดิ่งแรง

หุ้นสหรัฐฯ บวก หลังสหรัฐฯ ใกล้บรรลุแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจก้อนใหม่ ขณะที่ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น ส่วนราคาทองคำดิ่งแรง แต่ยังอยู่ในกรอบ 1,900 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดการซื้อขายวันที่ 22 ต.ค. 2563 ในแดนบวก โดยดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 152.84 จุด หรือราว 0.5% ปิดที่ 28,363.66 จุด ส่วนดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 17.93 จุด หรือราว 0.5% ปิดที่ 3,453.49 จุด ขณะที่ดัชนีแนสแด็กขยับขึ้น 21.31 จุด หรือ 0.2% ปิดที่ 11,506.01 จุด

การเจรจาแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจก้อนใหม่ของสหรัฐฯ เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อความเคลื่อนไหวของตลาดมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ล่าสุดมีสัญญาในช่วงบวก เมื่อนาง แนนซี เพโรซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรออกมาระบุว่า เดโมแครตกับรัฐบาลทรัมป์ใกล้จะบรรลุข้อตกลงกันแล้ว ช่วยหนุนวอลล์สตรีท

อย่างไรก็ตาม ยังมีความกังวลเรื่องการระบาดระลอกใหม่ของไวรัสโควิด-19 ในยุโรปและสหรัฐฯ รวมทั้งความไม่แน่นอนในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และการดีเบตรอบสุดท้ายของผู้สมัครทั้ง 2 คน ทำให้นักลงทุนเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง

ด้านราคาน้ำมัน เพิ่มขึ้นในวันพฤหัสบดี หลังตัวเลขผู้ข้อรับสิทธิประโยชน์คนว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ ลดลงสู่ค่าต่ำสุดในยุคโควิด กอปรกับความคืบหน้าเรื่องการเจรจาแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มโอกาสทที่แนวโน้มความต้องการพลังงานจะดูดีขึ้น

นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากคำพูดของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ที่ระบุว่า รัสเซียไม่ตัดความเป็นไปได้เรื่องการชะลอการเพิ่มกำลังผลิต ที่ชาติสมาชิกโอเปกเตรียมจะทำในเดือนมกราคม

สัญญาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้า เวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต (WTI) งวดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 61 เซนต์ หรือราว 1.5% ไปอยู่ที่ 40.64 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบ เบรนต์ทะเลเหนืออลอนดอน งวดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 73 เซนต์ หรือราว 1.8% ไปอยู่ที่ 42.46 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล

ส่วนราคาทองคำ ลดลงในวันพฤหัสบดี จากการแข็งค่าขึ้นของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และเช่นเดียวกับมูลค่าผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ โดยสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้าตลาดโคเม็กซ์ งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ร่วง 24.90 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 1.3% ปิดที่ 1,904.60 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์


จีนขู่ตอบโต้ สหรัฐฯ ขายอาวุธล็อตใหม่ให้ไต้หวัน มูลค่า 1.8 พันล้าน

รัฐบาลสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงขายอาวุธชุดใหม่ให้แก่ไต้หวัน มูลค่า 1.8 พันล้าน ทำให้จีนออกมาแสดงความไม่พอใจ และขู่จะตอบโต้

สำนักข่าว แชนเนลนิวส์เอเชีย รายงานว่า เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 ต.ค. 2563 นายจ้าว หลี่เขียน โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน ออกมาแสดง ความไม่พอใจสหรัฐฯ ที่ตกลงขายอาวุธชุดใหม่ให้แก่ไต้หวัน และเรียกร้องให้ยุติข้อตกลงนี้ มิเช่นนั้น พวกเขาจะตอบโต้

“การขายอาวุธครั้งนี้เป็นการแทรกแซงกิจการภายในของจีนอย่างร้ายแรง สร้างความเสียหายต่ออธิปไตยและความมั่นคงของประเทศ รวมทั้งส่งสัญญาณที่ผิดพลาดแก่กองกำลังแบ่งแยกไต้หวัน และทำลายความสัมพันธ์จีนสหรัฐฯ, ความสงบและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวันอย่างร้ายแรง” นายจ้าวกล่าว “จีนจะดำเนินการตอบโต้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยขึ้นอยู่กับว่า สถานการณ์จะเป็นอย่างไรหลังจากนี้”

นายจ้าวไม่ได้ระบุว่า พวกเขาจะตอบโต้อย่างไร แต่ในอดีต จีนเคยคว่ำบาตรบริษัทต่างๆ ที่ขายอาวุธ ให้ไต้หวันมาแล้ว

ทั้งนี้ รัฐบาลประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เพิ่มการสนับสนุนไต้หวันมากขึ้น ด้วยการขายอาวุธและส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงไปเยือน ทำให้ความตึงเครียดระหว่างพวกเขากับจีนที่สูงอยู่แล้วรุนแรงขึ้นไปอีก ขณะที่จีนพยายามเพิ่มแรงกดดันไต้หวันให้ยอมรัฐอธิปไตยของจีน ด้วยวิธีต่างๆ ทั้งการส่งเครื่องบินรบบินข้ามเส้นกึ่งกลางช่องแคบไต้หวัน ซึ่งทำหน้าที่เป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายอย่างไม่เป็นทางการ

ข้อตกลงขายอาวุธฉบับล่าสุดระหว่างสหรัฐฯ กับไต้หวัน มีมูลค่ากว่า 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยสหรัฐฯ จะขายอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ รวมทั้ง เซนเซอร์ตรวจจับ, จรวดและปืนใหญ่ และคาดว่าจะมีการทำสัญญาขายโดรนที่ผลิตโดยบริษัท เจเนอรัล อะตอมมิก และมิสไซล์ต่อต้านเรือรบ ‘ฮาร์ปูน’ ชนิดยิงจากแผ่นดิน ของโบอิ้ง ให้ไต้หวัน เพื่อป้องกันการโจมตีด้วยมิสไซล์บริเวณชายฝั่งด้วย

เกาหลีเหนือผวา ‘ฝุ่นเหลือง’ จากจีน อาจพาโควิดมาด้วย แนะ ปชช.อยู่แต่ในบ้าน

สื่อกระบอกเสียงทางการเกาหลีเหนือแจ้งเตือนประชาชน ระวัง ‘ฝุ่นเหลือง’ ที่หอบฝุ่นทรายมาจากจีน อาจนำเชื้อโควิด-19 มาด้วย แนะนำให้ควรอยู่แต่ในบ้าน

เมื่อ 23 ต.ค.63 สำนักข่าวบีบีซีรายงาน สถานีโทรทัศน์ KCTV ของทางการเกาหลีเหนือ ออกคำเตือนถึงประชาชนผ่านทางรายงานพิเศษสภาพอากาศ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ว่า แนะนำประชาชนควรอยู่แต่ในบ้านเรือนอาคารที่พักอาศัย รวมทั้งทางการเกาหลีเหนือได้สั่งหยุดพักงานก่อสร้างกลางแจ้งทั่วประเทศ เนื่องจากหวั่นเกรง ‘ฝุ่นเหลือง’ ซึ่งเป็นลมที่พัดหอบเอาทรายและฝุ่นมาจากทะเลทรายโกบีในมองโกเลียกับจีน จะมาถึงเกาหลีเหนือ ในวันพฤหัสฯที่ 22 ต.ค. อาจนำเชื้อไวรัสโคโรนา หรือ โควิด-19 มาด้วย

คำเตือนดังกล่าวของทางการเกาหลีเหนือ ส่งผลให้ท้องถนนในกรุงเปียงยาง เมื่อวันพฤหัสฯที่ผ่านมา ร้างผู้คน ชาวเกาหลีเหนือส่วนใหญ่หวั่นวิตกคำเตือน พากันไม่ออกมานอกบ้าน ในขณะที่มีรายงานว่าสถานทูตต่างชาติประจำกรุงเปียงยางก็ได้รับคำเตือนดังกล่าวเกี่ยวกับฝุ่นเหลืองจากจีนเช่นกัน โดยสถานเอกอัครราชทูตรัสเซียในกรุงเปียงยาง แจ้งผ่านเฟซบุ๊กของทางสถานทูตฯว่า กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีเหนือได้แจ้งเตือนเกี่ยวกับฝุ่นเหลือง พร้อมแนะนำให้ชาวต่างชาติทุกคนควรอยู่แต่ในที่พักและปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิดในวันพฤหัสฯที่ผ่านมา

บีบีซี ชี้ว่า ถึงแม้ขณะนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องระหว่างพายุฝุ่นและโควิด-19 แต่ใช่แต่เพียงเกาหลีเหนือ ชาติเดียวเท่านั้นที่แจ้งเตือนประชาชนในเรื่องนี้ เพราะทางการเติร์กเมนิสถาน ก็เตือนประชาชนให้ระวังฝุ่นที่พัดมาอาจมีเชื้อโควิด-19 ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม สื่อเกาหลีใต้ ประเทศเพื่อนบ้านได้แย้งข้อแนะนำดังกล่าวของเกาหลีเหนือชี้เป็นไปไม่ได้ที่ฝุ่นเหลืองจากจีนอาจนำเชื้อโควิด-19 มาแพร่ระบาด

ทั้งนี้ ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐฯ ชี้ว่า เชื้อโควิด-19 สามารถลอยอยู่ในอากาศได้หลายชั่วโมง แต่ก็เป็นเรื่องยากมากๆ ที่ใครสักคนหนึ่งจะติดเชื้อด้วยวิธีนี้ โดยเฉพาะเวลาอยู่นอกบ้าน เพราะสาเหตุสำคัญที่ผู้คนติดเชื้อโควิด-19 เนื่องจากใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ ที่มีอาการไอ จาม มีน้ำมูก หรือพูดคุย ซึ่งเชื้ออโควิด-19 ปะปนอยู่ในละอองฝอยในน้ำลาย น้ำมูกของคนที่ติดโควิด-19