ข่าว
ส่งตัวอดีตนักศึกษาไทย สู้คดีที่ศาลออสเตรเลีย

เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ที่ห้องพิจารณา 801 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์อนุญาตให้นายธติยะ หรือกอล์ฟ เทิดพุทธธรรม อายุ 38 ปี อดีตนักเรียนไทยในประเทศออสเตรเลีย จำเลยที่ 2 ในคดีส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปดำเนินคดียังออสเตรเลียได้ กรณีจำเลยได้ใช้อาวุธมีดแทงผู้เสียหายชาวออสเตรเลียจนเสียชีวิต ที่ออสเตรเลีย เนื่องจากจำเลยได้ยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์ เพราะต้องการไปต่อสู้คดีที่ศาลออสเตรเลียแทน

คดีนี้ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2554 ให้ส่งตัวจำเลยทั้งสองเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปดำเนินคดียังออสเตรเลีย ต่อมาจำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้น แต่จำเลยที่ 2 ขอถอนอุทธรณ์ จึงมีคำสั่งดังกล่าว ขณะที่จำเลยที่ 1 ยังคงถูกคุมขังในเรือนจำ เพื่อรอฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ต่อไป

นายธติยะเปิดเผยสั้นๆ ว่า หลังจากถูกตำรวจท่องเที่ยวจับกุมตัว ก็ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำนานกว่า 3 ปีแล้ว แต่คดียังไม่มีความคืบหน้า จึงตัดสินใจขอไปต่อสู้คดีที่ออสเตรเลียดีกว่า เพราะไม่ใช่คนลงมือแทงผู้ตาย

สำหรับคดีพนักงานอัยการฝ่ายต่างประเทศ เป็นโจทก์ฟ้องเป็นคดีดำ อผ.7/2553 ที่นายสารัต หรือสุรัต หรือศรุต สีหวีระชาติ อายุ 30 ปี อดีตนักเรียนไทยในออสเตรเลีย และนายธติยะ หรือกอล์ฟ เทิดพุทธธรรม อายุ 38 ปี เป็นจำเลยที่ 1-2 เรื่องส่งผู้ร้ายข้ามแดน กรณีเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2552 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันใช้อาวุธมีดแทงนายลุค มิทเชลล์ ชาวออสซี่จนถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา เหตุเกิดที่ถนนซิดนีย์ บรันสวิค รัฐวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย เป็นความผิดอาญาตามกฎหมายออสเตรเลีย มีโทษจำคุกมากกว่า 1 ปี

ต่อมาศาลออสเตรเลียได้ออกหมายจับจำเลยทั้ง 2 พร้อมประสานสำนักงานอัยการสูงสุดของไทยให้ออกหมายจับจำเลยทั้ง 2 กระทั่งจับกุมจำเลยทั้ง 2 ได้ กระทรวงการต่างประเทศจึงทำหนังสือแจ้งสถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย เพื่อดำเนินการส่งตัวจำเลยทั้ง 2 เป็นผู้ร้ายข้ามแดน แม้ว่าประเทศไทยและออสเตรเลียไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน แต่ออสเตรเลียเคยเป็นอาณาบริเวณของประเทศอังกฤษ จึงยกประกาศสัญญาว่าด้วยส่งผู้ร้ายข้ามแดนกันในระหว่างกรุงสยามกับอังกฤษ ร.ศ.129 ประกอบการพิจารณา พร้อมจะกระทำตามสัญญาต่างตอบแทน หากมีการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนในอนาคตให้แก่ทางการไทยด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธติยะถูกเบิกตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมาฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์เพียงคนเดียว ส่วนนายสารัต จำเลยที่ 1 ยังถูกคุมขังเพื่อรอฟังคำสั่งส่งผู้ร้ายข้ามแดนของศาลอุทธรณ์ต่อไป

”เณรคำ”นั่ง ฮ.ทอดผ้าป่า สร้างสำนักสงฆ์ขันติบารมี

โผล่อีก! เฒ่าสกลฯแฉอดีตพระเณรคำ นั่งเฮลิคอปเตอร์มาทอดผ้าป่า สร้างสำนักสงฆ์ขันติบารมี คนแห่ศรัทธาแน่น แต่ไม่ทราบจำนวนเงิน ซ้ำอ้างเด็กหญิงวัย 13 ปี เป็นน้องสาวเมื่อชาติปางก่อน พร้อมรับไปอุปการะ ซื้อบ้าน-รถให้ ...

ความคืบหน้า กรณีอดีตหลวงปู่เณรคำ เกี่ยวกับการตั้งสำนักสงฆ์ชื่อขันติบารมี พื้นที่กว่า 50 ไร่ อยู่ที่ทุ่งนา บ้านหนองป่าแฝก ต.เจริญศิลป์ อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 26 ก.ค. นายอักษราวุธ เข็มรัตน์ อายุ 60 ปี เปิดเผยว่า เมื่อปี 2553 หลวงปู่เณรคำ หรือสมีคำ ได้มาก่อตั้งสำนักสงฆ์ดังกล่าวขึ้นจริง โดยตนมีหน้าที่จัดหาเครื่องเสียงในวันที่มีงานบุญ หรืองานทอดผ้าป่า โดยสมีคำได้มาที่สำนักสงฆ์แห่งนี้เพียง 4-5 ครั้ง แต่ละครั้งก็มีผู้ติดตามขบวนจำนวนมาก รถทั้งเล็กและใหญ่มากกว่า 20-30 คัน ครั้งล่าสุด เมื่อปี 2555 โดยนั่งเฮลิคอเตอร์มาลงที่ สภ.เจริญศิลป์ จากนั้นจึงเดินทางเข้ามาที่สำนักสงฆ์ มีรถทัวร์มาจำนวนมาก ผู้มีจิตศรัทธามืดฟ้ามัวดิน เนื่องจากทุกคนต่างเชื่อว่าพระรูปนี้ศักดิ์สิทธิ์ มีบุญญาบารมีเหนือมนุษย์ จึงต้องการมาร่วมทำบุญด้วย เป็นการทำบุญสร้างศาลาการเปรียญ และห้องสุขาให้กับญาติโยม คาดว่าในครั้งนั้นได้เงินจากคนทำบุญไม่น้อย แต่สิ่งปลูกสร้างที่ก่อสร้างมีแค่โครงสร้างของศาลาการเปรียญ และโครงสร้างของห้องสุขาเท่านั้น ส่วนเงินตอนนี้ ไม่ทราบอยู่ที่ใคร

นายอักษราวุธ กล่าวว่า มีข่าวครึกโครมถึงอดีตพระเณรคำว่า เป็นพระศักดิ์สิทธิ์ และมาตั้งสำนักสงฆ์ สาขาขันติธรรม 5 ที่ อำเภอเจริญศิลป์ และมีการจัดทอดผ้าป่า งานบุญต่างๆ โดยมีประชาชนที่ศรัทธา ทั้งในอำเภอเจริญศิลป์ อำเภอใกล้เคียง และต่างจังหวัดแห่แหนมาทำบุญ และแม้แต่น้องสาวของตนได้ไปใกล้ชิดและปฏิบัติในทุกครั้งที่อดีตพระเณรคำ เดินทางมาที่สำนักสงฆ์ขันติธรรม สาขา 5 จึงรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาตาม และสมัยนั้น ตนก็รับหน้าที่ประธานสภาวัฒนธรรม ในการจัดขบวนแห่งานประเพณี จึงได้รับเงินจำนวนหนึ่งจากอดีตพระเณรคำ ว่าให้ช่วยทำริ้วขบวนเพื่อสนับสนุนกิจกรรรมต่างๆ อีกด้วย จึงรู้สึกดีมากขึ้นกว่าเดิม และการเดินทางมาแต่ละครั้ง มีรถนำขบวนมีจำนวนมาก ราคาแต่ละคันหลายล้านบาท ประกอบกับสอบถามเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงที่ติดตามขบวน นอกจากมีรถหลายคันแล้วยังมีเครื่องบินและเรือเร็วด้วย แต่ระหว่างนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก จากนั้นหลานสาวของตน อายุตอนนั้น 13 ปี ที่มักไปสำนักสงฆ์กับน้องสาวตน ถูกพระเณรคำระบุว่า อดีตชาติปางก่อนคือน้องสาว จึงรับไปเลี้ยงอุปการะ โดยการซื้อบ้าน ให้ 1 หลัง ในราคาล้านกว่าบาท รถโตโยต้าสีขาว อีก 1 คัน และให้ไปอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี โดยไม่ทราบว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร

นอกจากนี้ นายอักษราวุธ ได้พาผู้สื่อข่าวไปยังสำนักสงฆ์ขันติบารมี พบว่า ก่อสร้างอยู่ในทุ่งนาท้ายหมู่บ้านหนองป่าแฝก ต.เจริญศิลป์ ในพื้นที่ 50 ไร่ มีสิ่งปลูกสร้างทั้งเก่าและใหม่ มีกุฏิ 2 หลัง มีโรงครัว 1 หลัง และมีศาลาการเปรียญ และห้องสุขาที่ยังสร้างไม่เสร็จ เพียงแต่เป็นโครงมุงหลังคาเท่านั้น และพบพระสงฆ์อีก 2 รูป ซึ่งหนึ่งในพระสงฆ์ คือ พระวานิช จารุวัณโณ อายุ 38 ปี

โดยพระวานิช กล่าวว่า ตนถูกนิมนต์ให้มาอยู่สำนักสงฆ์แห่งนี้ ตนไม่ทราบตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับหลวงปู่เณรคำ และตนยังไม่เคยพบกับหลวงปู่เณรคำ แต่การที่เป็นเพศบรรพชิต ก็น่าจะทำตัวสมถะและเพียงพอ คนไม่เพียงพอก็จะมีสภาพอย่างที่เห็นอยู่ในขณะนี้ ซึ่งแต่เดิมตนบวชที่สำนักสงฆ์ อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี ได้ถูกญาติโยมในอำเภอเจริญศิลป์ นิมนต์มาจำสำนักสงฆ์ เพราะเห็นว่าสำนักสงฆ์ถูกปล่อยร้างมา 8 เดือน ตนจึงมาตามญาติโยมเรียกร้องมา เพราะเห็นว่าชาวบ้านไม่มีที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ และเพิ่งมาอยู่ได้ 3 เดือน ในช่วงระหว่างเกิดเรื่องอดีตพระเณรคำพอดี จากนั้นทั้งญาติโยม มาสอบถามเกี่ยวกับอดีตพระเณรคำ มีทั้งเชื่อและไม่เชื่อ บางคนมาปลดรูปอดีตพระเณรคำในสำนักสงฆ์ออกไป ตนไม่ได้ห้ามปรามใดๆ ก็ได้แต่บอกญาติโยมว่า เรื่องราวทั้งหมดในสถานที่แห่งนี้ ตนไม่ทราบข้อมูลมากเท่าใดนัก ก็มาปฏิบัติตามกิจของสงฆ์ที่ถูกนิมนต์มา รู้เท่าใดก็เล่าบอกญาติโยมไปเท่านั้น ไม่อยาก “มุสา” แม้กระทั่งที่ดินสำนักสงฆ์แห่งนี้ ก็รู้มาเพียงว่าเมื่อก่อนเป็นที่พักสงฆ์บ้านนองป่าแฝก ซึ่งเป็นที่ดินของใครมาบริจาคก็ยังไม่ทราบ และทุกครั้งที่ญาติโยมมา ก็จะบอกคำสอนว่า ให้รู้จักความพอดี เดินทางสายกลาง ยึดมั่นและปฏิบัติตามคำสอนพระพุทธเจ้า.


อนุสรณ์’ จวกปชป. ชอบปลุกระดมม็อบ

เมื่อวันที่ 26 ก.ค. นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวกรณีที่กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ มีมติไม่เสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ของนายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรค ว่า มติกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์แสดงให้เห็นถึงความไม่เป็นพรรคการเมืองที่มาจากประชาชน ถือว่าเป็นพรรคของอภิสิทธิ์ชนอย่างแท้จริง และไม่แปลกใจที่ผลออกมาเป็นแบบนี้ เพราะจากคำให้สัมภาษณ์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก่อนหน้านี้พูดดักทาง ว่ารัฐบาลควรถอนกฎหมายปรองดองและนิรโทษกรรมที่อยู่ในสภาออกให้หมด เพื่อให้ทุกฝ่ายเสนอใหม่ เห็นได้ชัดว่ามีการตั้งแง่ วางเกมส์หวังเตะถ่วงยื้อการปรองดอง มาตั้งแต่ต้น

นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่าขอวิงวอนให้พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคเก่าแก่ให้ก้าวข้ามทิฐิทางการเมือง เลิกทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลอง เจ้าคิดเจ้าแค้นที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งได้แล้ว

ส่วนที่นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่าหากรัฐบาลจะจะผลักดัน ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ของนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย จะทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรง จนนองเลือดนั้น หากไม่ปลุกระดม ยั่วยุ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะชุมนุมเรียกร้อง เพราะร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ นิรโทษกรรมให้ประชาชน ไม่ได้นิรโทษกรรมให้แกนนำ เพื่อให้สังคมเข้าสู่ภาวะคลี่คลายความขัดแย้ง

ตนเชื่อว่าหลายภาคส่วนในสังคมไทยก็ต้องการเช่นนั้น แต่ทำไมนายชวนนท์และพรรคประชาธิปัตย์ ถึงออกมาแสดงความคิดเห็นที่มุ่งไปสู่ความวุ่นวาย ให้เกิดการต่อต้านขึ้น หากนายชวนนท์และพรรคประชาธิปัตย์เห็นว่าเสียประโยชน์ หรือไม่เห็นด้วยให้ไปพูดกันในสภาฯตามที่เคยบอกไว้ว่าเชื่อมั่นระบบรัฐสภา ไม่ใช่ชวนคนมาปิดล้อมสภา

รบ.โต้อาหารมุสลิมไม่ถูกฮาลาล เผยสั่งจากโรงแรมเดิมมา6ปีซ้อน

“สุวิจักขณ์” ปัดอาหารเลี้ยงมุสลิมไม่ถูกฮาลาล เผยสั่งจากโรงแรมเดิมมา 6 ปีแล้ว สวนกลับเด็ก ปชป. ไม่รู้ระเบียบราชการ ส่วนงบประมาณที่ใช้จัดงานในปีนี้ก็ใช้ประมาณ 1.1 ล้านบาทเศษเท่านั้น ไม่ถึง 1.5 ล้านบาทตามที่มีการกล่าวหา...

วันที่ 26 ก.ค. ที่รัฐสภา นายสุวิจักขณ์ นาควัชระชัย เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ ส.ส.มุสลิม พรรคประชาธิปัตย์ ทักท้วงเรื่องอาหารงานเลี้ยงละศีลอด เดือนรอมฎอน ที่รัฐสภา ไม่ได้มาตรฐานตามฮาลาลว่า งานเลี้ยงในปีนี้ รัฐสภาใช้อาหารจากโรงแรมเชอราตัน ซึ่งนายณรงค์พร ภิญโญ ผอ.สำนักความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รัฐสภา รายงานว่าใช้โรงแรมจัดเลี้ยงมากกว่า 6 ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยนายพิทูร พุ่มหิรัญ เป็นเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นโรงแรมเดิมมาโดยตลอด และเชื่อว่าถูกต้องตามมาตรฐานฮาลาล ขณะเดียวกันทำเนียบรัฐบาลก็ใช้โรงแรมเชอราตันจัดเลี้ยงเช่นกัน ซึ่งการทักท้วงครั้งนี้ ก็ไม่สามารถแก้ไขได้ทัน เพราะเจ้าหน้าที่ได้ติดต่อและเตรียมงานไว้หมดแล้ว แต่ในปีหน้าตนจะกำชับเจ้าหน้าที่ให้พิจารณาเรื่องดังกล่าวให้รอบคอบ เนื่องจากเข้าใจว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ส่วนงบประมาณที่ใช้จัดงานในปีนี้ก็ใช้ประมาณ 1.1 ล้านบาทเศษเท่านั้น ไม่ถึง 1.5 ล้านบาทตามที่มีการกล่าวหา และการดำเนินการทั้งหมดจะมีคณะกรรมการคัดเลือกถูกต้อง

นอกจากนี้ นายสุวิจักขณ์ กล่าวถึงกรณีที่นายวัชระ เพชรทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เตรียมยื่นเอกสารให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สอบสวนกรณีจ้างเหมาซ่อมแซมปรับปรุงพื้นที่ในรัฐสภา ที่มีนายสุวิจักขณ์ ลงนามในเอกสารการดำเนินการ เพราะมีพฤติการณ์ส่อไปในทางทุจริตว่า การปรับปรุงพื้นที่รอบรัฐสภามีคณะกรรมการทีโออาร์ คณะกรรมการประกวดราคา มีราคากลางถูกต้องตามระเบียบพัสดุ รวมทั้งมีการส่งเอกสารให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และสำนักงบประมาณ ตรวจสอบความถูกต้องทั้งหมด ขณะที่การก่อสร้างก็มีเจ้าหน้าที่จากกรมโยธาธิการและผังเมืองเข้าร่วมตรวจสอบด้วย ยืนยันว่าดำเนินการครบถ้วนถูกต้องตามระเบียบ ซึ่งนายวัชระอาจจะไม่เข้าใจในระเบียบทางราชการ และมั่นใจการดำเนินการของตนถูกต้องทุกอย่าง

ส่วนกรณีที่นายวัชระ ระบุว่า มีนักการเมืองอยู่เบื้องหลังนั้น นายสุวิจักขณ์ กล่าวว่า ไม่มี ทุกเรื่องเป็นเรื่องระเบียบราชการ มีคณะกรรมการตรวจสอบชัดเจน.