ข่าว
ยิงกลางสน.มะกัน มือปืนโดนวิสามัญ

เกิดเหตุยิงกันที่สถานีตำรวจในเมืองกลูเคสเตอร์ ของรัฐนิวเจอร์ซีย์ มีตำรวจบาดเจ็บ 3 นาย ส่วนคนร้ายมีรายงานว่าถูกวิสามัญฆาตกรรม ขณะที่ตำรวจเตรียมแถลงรายละเอียดเร็วๆนี้...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 28 ธ.ค.2555 ว่า เกิดเหตุยิงกันที่สถานีตำรวจในเมืองกลูเคสเตอร์ ของรัฐนิวเจอร์ซีย์ เมื่อช่วงเช้าวันศุกร์ที่ผ่านมา ทำให้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 2 นาย สาหัส 1 นาย ส่วนผู้ต้องสงสัยเป็นมือปืนถูกวิสามัญฆาตกรรม ระหว่างดวลปืนกับตำรวจ

เหตุเกิดที่สถานีตำรวจเมืองกลูเคสเตอร์เมื่อเวลาประมาณ 5:45 น. วันศุกร์ ตามเวลาท้องถิ่น โดยรองผู้บังคับการตำรวจเมืองกลูเคสเตอร์ เปิดเผยว่า เหตุรุนแรงเกิดขึ้นขณะนำตัวผู้ต้องสงสัยชายมารับการสอบสวน ขณะที่สถานีโทรทัศน์ เอ็นบีซี10 ของเมืองฟิลาเดลเฟียายงานว่า คนร้ายใช้ปืนซึ่งไม่แน่ชัดว่าแย่งไปจากเจ้าหน้าที่หรือไม่ ในการก่อเหตุ

เอ็นบีซี10 ยังรายงานอีกว่า ดับเบิลยู แฮร์รี เอิร์ล ผู้บังคับการตำรวจเมืองกลูเคสเตอร์ระบุว่า ผู้ต้องสงสัยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจวิสามัญฆาตกรรมระหว่างการเผชิญหน้ากัน อย่างไรก็ดี ตำรวจเมืองกลูเคสเตอร์ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นหรือยืนยันรายงานของเอ็นบีซี10 และให้รอฟังการแถลงข่าวที่จะมีขึ้นในเร็วๆนี้

ขณะเดียวกัน นางลอรี ชาฟเฟอร์ โฆษกหญิงของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยคูเปอร์ เปิดเผยว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 นายถูกส่งมารักษาตัวเมื่อเวลาประมาณ 6:00น. โดยเจ้าหน้าที่ชายและหญิงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ขณะที่เจ้าหน้าที่ชายอีกคนต้องเข้ารับการผ่าตัด แต่ไม่เปิดเผยรายละเอียดอื่นๆ

ทั้งนี้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น 2 สัปดาห์หลังเกิดเหตุกราดยิงในโรงเรียนประถมแซนดี้ฮุก โดยฝีมือของนายอดัม แลนซา ทำให้มีผ้เสียชีวิต 26 คน เป็นเด็กถึง 20 ราย นอกจากนี้เมื่อสัปดาห์ก่อนในพื้นที่ทางตะวันตกของรัฐเพนซิลเวเนีย ชายคนหนึ่งใช้อาวุธปืนยิงคนตาย 3 ราย ก่อนจะเปิดฉากยิงตำรวจที่เข้ามาในที่เกิดเหตุ มีเจ้าหน้าที่ 3 นายบาดเจ็บในเหตุการณ์นี้ โดยนายหนึ่งบาดเจ็บเพราะโดนรถชนขณะไล่จับคนร้าย อีกนายโดนสะเก็ดกระสุนเข้าที่ใบหน้า และอีกนายถูกยิงเข้าที่หน้าอกแต่รอดชีวิตเพราะสวมเสื้อเกราะกันกระสุน

สภาไทยสิ้นคนดี! สื่องดให้‘ผลงาน’

สื่อมวลชนประจำรัฐสภาคลอดฉายาประจำปี 2555 สุดอนาถ! ทั่นผู้ทรงเกียรติทั้ง “สภาล่าง-สภาสูง” ผลงานไม่ประจักษ์ งด “นิยามคนดีศรีสภา” ส่วนฉายาสภาผู้แทนราษฎร “จองล้าง...จ้องผลาญ” ประจานการทำงานและถล่มงบ ดาวเด่น “วิสุทธิ์ ไชยณรุณ” คว้าไปครองแบบไร้ข้อกังขา ดาวดับพรึ่บทั้ง “จ่าประสิทธิ์-หมอวรงค์-รังสิมา”

เมื่อวันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม สื่อมวลชนประจำรัฐสภาได้เผยแพร่ผลการระดมความเห็นในการตั้งฉายาฝ่ายนิติบัญญัติประจำปี 2555 ซึ่งมีทั้งสิ้น 11 รายชื่อ เป็นธรรมเนียมประจำทุกปี ประกอบด้วย 1.เหตุการณ์แห่งปี คือ การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติปรองดอง โดยถือเป็นหน้าประวัติศาสตร์การเมืองที่ไม่น่าจดจำเมื่อเกิดเหตุการณ์วุ่นวายในสภาผู้แทนราษฎร สืบเนื่องมาจากการเสนอร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ 4 ฉบับ โดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ และคณะ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ซึ่งสาระสำคัญเพื่อล้มล้างผลพวงจากการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 แต่เกิดกระแสต่อต้านจากทั้งภายในและนอกสภา โดยในสภาพรรคประชาธิปัตย์ได้แสดงการคัดค้านระหว่างการประชุมสภาวันที่ 30-31 พ.ค.2555 ถึงขั้นขว้างปาแฟ้มเอกสาร สิ่งของ หรือการเข้าไปฉุดกระชากลากตัวประธานสภาฯ ลงจากบัลลังก์ เพื่อยับยั้งการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว สร้างความเสื่อมเสียให้รัฐสภาอย่างมาก และเป็นข่าวไปทั่วโลก

2.วาทะแห่งปี คือ “เต็มใจ...เป็นขี้ข้า” เป็นคำพูดของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในระหว่างอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวันที่ 25 พ.ย. เพื่อตอบโต้นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ หลังอภิปรายพาดพิงว่าการละเว้นเพิกเฉยต่อการดำเนินการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เหมือนกับเป็นขี้ข้า ทำให้ ร.ต.อ.เฉลิมลุกขึ้นชี้แจงว่า “ผมเป็นขี้ข้า แต่เสียใจหน่อยคุณสาทิตย์รู้ช้า ก็เป็นมานานแล้ว แต่ผมไม่เห็นเสียหายเลย ผมเต็มใจ" วิวาทะดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการทำงานของ ร.ต.อ.เฉลิมได้อย่างมีนัยสำคัญทางการเมือง

3.ฉายาสภาผู้แทนราษฎร คือ “จองล้าง...จ้องผลาญ...” เพราะภาพรวมการทำงานของสภาปี 2555 ทั้งในวงประชุมสภา พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ที่ถือเป็นคู่แค้นทางการเมือง ต่างเสนอญัตติหรือยื่นเรื่องให้คณะกรรมาธิการที่เป็นพรรคพวกเดียวกันตรวจสอบฝ่ายตรงข้าม รวมถึงตั้งกระทู้ถามสด เพื่อโยงไปหาข้อผิดพลาด ข้อบกพร่องของอีกฝ่าย ไม่ต่างอะไรกับการจ้องจะล้างแค้นซึ่งกันและกัน ส่วนการ “จ้องผลาญ” คือการผลาญงบประมาณแผ่นดิน ภาพที่เห็นชัดเจนคือ การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2555 และปี 2556 ที่ ส.ส.จ้องจัดสรรงบให้พวกตัวเอง และจัดทริปดูงานต่างประเทศของ กมธ.ชุดต่างๆ ซึ่งการไปดูงานต่างประเทศของ กมธ.แต่ละชุด เป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นการไปท่องเที่ยวมากกว่าไปดูงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง “วุฒิสภา” ตะแกรง...เลือกร่อน

4.ฉายาวุฒิสภา คือ “ตะแกรง...เลือกร่อน” เนื่องจากภาพรวมการทำหน้าที่ของวุฒิสภาตลอดปี ยังคงแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน แม้รัฐธรรมนูญจะกำหนดบทบาทวุฒิสภาให้ทำหน้าที่หลักๆ คือ กลั่นกรองกฎหมาย ตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดิน การแต่งตั้งและถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งองค์กรต่างๆ แต่การทำงานในรอบปีที่ผ่านมากลับไม่ได้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะกลุ่ม 40 ส.ว. แม้บางครั้งมุ่งเน้นการตรวจสอบ แต่ยังเป็นที่คลางแคลงใจว่ามีวาระซ่อนเร้นต่อฝ่ายการเมืองหรือไม่ เห็นได้จากการพฤติกรรมที่พุ่งเป้าไปยังรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณี พ.ร.ก.กู้เงินเพื่อฟื้นฟูน้ำท่วม, การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และโครงการรับจำนำข้าว ขณะที่ ส.ว.อีกกลุ่มก็พยายามออกแรงช่วยรัฐบาลเต็มที่ ถึงขนาดต้องแยกยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 171 เป็น 2 ญัตติ จาก ส.ว. 2 กลุ่ม ทั้งที่เป็นเรื่องทำนองเดียวกัน สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เป็นเอกภาพ เปรียบเหมือนกับ “ตะแกรง” ที่เลือกร่อน เฉพาะสิ่งที่ตัวเองต้องการ ภาพจึงออกมาคือ ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ตรวจสอบฝ่ายการเมืองกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะมากกว่า

5.ฉายาประธานสภาผู้แทนราษฎร นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ คือ “ค้อนน้อย..หมวกแดง” ซึ่งปี 2554 ได้รับฉายา “ค้อนปลอม ตราดูไบ” ซึ่งฉายาปีนี้มีเหตุผล เพราะที่ไม่สามารถแสดงผลงานให้เห็นว่าตัวเองเป็นขุนค้อนที่น่าเกรงขามเหมือนอดีต ในทางกลับกันมีข้อครหาเรื่องความเป็นกลางหลายครั้งเกี่ยวกับการวินิจฉัยข้อขัดแย้งในสภา ผนวกกับมีคลิปเสียงความยาวกว่า 20 นาที สร้างความกระฉ่อนในทางการเมืองว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีส่วนเกี่ยวข้องกับร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดอง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามมาด้วยการใช้งบประมาณไปดูฟุตบอลในประเทศอังกฤษ ยิ่งตอกย้ำว่าประธานสภากลายเป็นขุนค้อนที่ขาดความศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นแค่ค้อนน้อยที่สวมหมวกแดง แทนการสวมหมวกของประมุขในฝ่ายนิติบัญญัติ

6.ฉายาประธานวุฒิสภา นายนิคม ไวยรัชพานิช คือ “ผลัด...ไม้สุดท้าย” ซึ่งได้ตำแหน่งประธานวุฒิสภามาอย่างเหลือเชื่อ เนื่องจากนิคมเคยทำใจแล้วว่าคงไม่สามารถก้าวถึงตำแหน่งสูงสุดในสภาสูงได้ในวาระที่เหลือ 2 ปี แต่เมื่อ พล.อ.ธีรเดช มีเพียร มีอันต้องตกจากเก้าอี้ประธานวุฒิสภาในคดีออกระเบียบขึ้นเงินเดือนและค่าตอบแทนให้ตัวเอง ทำให้นายนิคมซึ่งลงท้าชิงเก้าอี้ผู้นำสภาสูงเป็นครั้งที่ 2 สามารถเอาชนะคู่แข่งไปได้ขาดลอย วุฒิสภาจึงเกิดการผลัดขั้วการเมืองครั้งใหญ่จากสายสรรหามาเป็นสายเลือกตั้ง ก่อนที่ ส.ว.เลือกตั้งจะหมดวาระลงในช่วงต้นปี 2557

7.ฉายาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คือ “หล่อ รับ เละ” เพราะรอบปีที่ผ่านมา ผลงานไม่ได้โดดเด่นเท่าที่ควร เนื่องจากตกอยู่ในสภาพต้องคดีทางการเมือง ทั้งคดี 91 ศพจากการชุมนุมทางการเมือง และถูกคำสั่ง รมว.กลาโหมถอดยศ นอกจากนั้นยังมีปัญหาภายในพรรคมารุมเร้า ถือว่าทุกปัญหาพุ่งเป้ามาใส่ ขณะที่บทบาทการนำลูกพรรคในการทำหน้าที่ในสภาก็ไม่แสดงให้เห็น แม้ลูกพรรคสร้างภาพลักษณ์ให้รัฐสภาเสื่อมเสีย ก็ยังออกมาแถลงข่าวสนับสนุน รวมถึงช่วงเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ยังมอบบทบาทการนำให้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานวิปฝ่ายค้านแทนทั้งหมด จึงเปรียบเหมือนนายอภิสิทธิ์ ที่มีหน้าตาดูว่าหล่อเหลา แต่ช่วงปีที่ผ่านมาถูกมรสุมการเมืองรุมถล่มจนเละ

8.ดาวเด่น คือ นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.พะเยา พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานสภาฯ คนที่ 2 ซึ่งมีไม่บ่อยครั้งนัก ที่ผู้นำหน้าที่ควบคุมการประชุมสภาจากพรรครัฐบาลจะได้รับความชื่นชมถึงความเป็นกลางจากพรรคฝ่ายค้าน แต่นายวิสุทธิ์กลับได้รับเกียรตินั้น ด้วยการทำหน้าที่ที่สามารถผ่อนหนักผ่อนเบา ช่วยให้บรรยากาศการประชุมที่กำลังดุเดือดผ่อนคลายลง ขณะเดียวกันได้กล่าวตักเตือน ตำหนิ ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่แสดงกิริยาที่ไม่เหมาะสมกลางสภาหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ การปฏิบัติหน้าที่เหล่านี้เป็นเครื่องการันตีว่า รองประธานสภานายวิสุทธิ์เหมาะสมกับรับรางวัลดาวเด่นในที่สุด

9.ดาวดับ ประกอบด้วย “จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย - นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ - น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์” เนื่องจากบทบาทการทำหน้าที่ของ ส.ส.ควรมีทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิ เพราะสภาเป็นเวทีที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันว่าเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง โดยทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านต่างพูดว่า ควรใช้รัฐสภาแก้ปัญหาความขัดแย้งของประเทศ แต่ ส.ส.ผู้ทรงเกียรติประกอบด้วย “จ.ส.ต.ประสิทธิ์, นพ.วรงค์ และ น.ส.รังสิมา ที่แสดงพฤติกรรมกลางที่ประชุมสภาแสดงให้เห็นถึงความหยาบคาย ทั้งวาจาและพฤติกรรมที่แสดงออกมา อาทิ การกล่าวผรุสวาท รวมไปถึงการแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว ถ่อย เถื่อน รวมถึงการขว้างปาสิ่งของ และลากเก้าอี้ประธานสภาฯ ทำให้ภาพพจน์ของสภาเสื่อมเสียอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ซึ่งลักษณะเช่นนี้ไม่เป็นที่พึ่งหวังของประชาชนได้

10.คู่กัดแห่งปี คือ “นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย และ ร.ต.อ.เฉลิม” ซึ่งในอดีตเคยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่หลังจากที่ ร.ต.อ.เฉลิมเข้าร่วมกับพรรคเพื่อไทย และได้เป็นรองนายกฯ ส่วนนายชูวิทย์ได้เข้าสภา และประกาศทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ทำให้บทบาททั้งคู่ที่แสดงออกในรอบปีที่ผ่านมา กลายมาเป็นฝ่ายตรงข้ามกัน โดยนายชูวิทย์ได้ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล โดยเฉพาะความรับผิดชอบในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ ร.ต.อ.เฉลิมกำกับดูแลอยู่ ได้นำคลิปภาพมาแฉในห้องประชุมหลายครั้ง ทั้งการเปิดบ่อนการพนัน แหล่งอบายมุขที่ผิดกฎหมาย ทำให้ทั้งคู่เกิดการโต้เถียงกันกลางสภาอย่างดุเดือดหลายครั้ง

11.คนดีศรีสภา ปีนี้งดการเสนอชื่อบุคคลตำแหน่งคนดีศรีสภาประจำปี 2555 เพราะยังไม่มีบุคคลที่เหมาะสมที่จะได้รับตำแหน่ง แม้จะมี ส.ส. ส.ว.หลายคนแสดงบทบาทการเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย นำเสนอปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนสะท้อนผ่านเวทีรัฐสภา โดยเฉพาะเหตุการณ์น้ำท่วม แต่นั่นถือเป็นหน้าที่โดยตรงของผู้ที่เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ซึ่งนิยามคำว่าคนดีศรีสภา ควรเป็นการแสดงบทบาทของคนดีให้เป็นที่ประจักษ์อย่างเห็นได้ชัด แต่ในรอบปีนี้ยังไม่เห็นมีใครเหมาะสม สื่อมวลชนรัฐสภาจึงมีความเห็นร่วมกันของดการมอบตำแหน่งคนศรีสภาประจำปี 2555

'หมวดเจี๊ยบ'บี้'มาร์ค'แจง ส่ง'คุณชาย'ลงชิงผู้ว่าฯกทม.

ร.ท.(หญิง) สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ร่วมขย่มซ้ำหลัง ปชป. หนุนส่ง "สุขุมพันธุ์" ลงผู้ว่าฯ กทม. จี้ "มาร์ค" แจงให้ชัด หลังคนนามสกุล "เวชชาชีวะ" พัวพันมีผลประโยชน์กับ กทม. ...

เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. ร.ท.(หญิง) สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เพื่อความสง่างาม พรรคประชาธิปัตย์ควรชี้แจงสังคมให้ชัดเจนว่า เหตุที่พรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องจำใจสนับสนุน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ในนาทีสุดท้าย ไม่ได้เป็นเพราะ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กุมความลับอะไรไว้ใช่หรือไม่ หรือว่ามีเบื้องหลังเบื้องลึกอะไรที่ต้องร่วมกันปกปิดเกี่ยวกับผลประโยชน์ ระหว่าง กทม.กับบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ซึ่งมีนายประพันธ์พงษ์ เวชชาชีวะ ญาติของนายอภิสิทธิ์ ร่วมเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามในการจัดซื้อจัดจ้างโครงการต่างๆ แทน กทม. ในฐานะวิสาหกิจของ กทม.

ทั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์ควรทำให้สังคมมั่นใจว่า ไม่ได้มีเรื่องการเก็บผลประโยชน์ใต้โต๊ะ หรือการหักหัวคิวให้นักการเมือง จนต้องกลัวการแบล็กเมล์ หรือรายการแฉย้อนหลัง เพราะโครงการจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ ที่บริษัท กรุงเทพธนาคม ดำเนินการให้ กทม. มีมูลค่ามหาศาล โดยที่ผ่านมาบริษัท กรุงเทพธนาคม ได้เป็นตัวแทนจัดซื้อจัดจ้างของ กทม จำนวน 23 โครงการ มูลค่าราว 14,000 ล้านบาท ซึ่งก็น่าแปลกใจที่นายอภิสิทธิ์ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น กล้าปล่อยให้ญาติของตัวเองเป็นผู้เซ็นอนุมัติการจัดซื้อจัดจ้างงานทั้งหมดของ กทม. โดยที่นายอภิสิทธิ์ก็ไม่กลัวที่จะถูกมองว่าเข้าไปพัวพันกับผลประโยชน์ ซึ่งในฐานะที่พรรคประชาธิปัตย์ดูแลการบริหารงานของ กทม. มาตลอด

ร.ท.(หญิง) สุณิสา กล่าวต่อไปว่า นายอภิสิทธิ์ ในฐานะหัวหน้าพรรค ควรออกมาตอบให้ชัดว่าทุกอย่างโปร่งใส และต้องชี้แจงให้ได้ว่าผลประโยชน์ไปอยู่ที่ไหนบ้าง เพราะกิจการของบริษัท กรุงเทพธนาคม ก็ดีวันดีคืน และมีรายได้เพิ่มขึ้แบบเขย่งก้าวกระโดด โดยในปี 2551 มีรายได้เพียง 60.6 ล้านบาท แต่ในปี 2552 มีรายได้เพิ่มเป็น 355.7 ล้านบาท ปี 2553 มีรายได้พุ่งเป็น 698 ล้านบาท และในปี 2554 รายได้กระโดดไปเป็น 3,011 ล้านบาท

นอกจากนี้ ขอให้พรรคประชาธิปัตย์เลิกเบี่ยงเบนประเด็นว่า ข้อกล่าวหากรณีบีทีเอส เป็นการดิสเครดิตทางการเมือง แต่ควรเอาเวลามาชี้แจงข้อเท็จจริงกับสังคมจะดีกว่า เพราะขณะนี้ สังคมกำลังสงสัยว่าเหตุใดพรรคประชาธิปัตย์จึงกลับลำกะทันหัน แล้วส่ง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เป็นผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ทั้งๆ ที่แกนนำส่วนใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์เห็นว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ มีจุดอ่อนหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความบกพร่องในการบริหารงาน หรือการที่มีความงมงายจนมากผิดปกติ ซึ่งเห็นได้จากการที่ต้องรอให้หมอดูช่วยตัดสินใจว่าจะลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.วันไหน จึงเป็นไปได้ว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กุมความลับบางอย่างที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์พูดไม่ออก