ข่าว
นายกฯ เผย ในหลวง ทรงห่วงใย ผู้ประสบอุทกภัย พระราชทานกำลังใจ จิตอาสาทุกภาคส่วน

เมื่อเวลา 15.05 น. วันที่ 13 กันยายน ที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานการณ์และเยี่ยมเยียนประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยภาคเหนือว่าตามที่ พายุไต้ฝุ่นยางิ (Yagi) ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย

เป็นเหตุให้เกิดอุทกภัยอย่างรุนแรงในบริเวณพื้นที่ อ.แม่สาย และ อ.เมือง จังหวัดเชียงราย ตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา

อีกทั้งเกิดเหตุดินสไลด์ในบริเวณพื้นที่ อ.แม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน บาดเจ็บและเสียชีวิต รวมถึงเกิดความเสียหายแก่บ้านเรือน และทรัพย์สินของประชาชนเป็นจำนวนมากนั้น

การนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชกระแส ทรงห่วงใยประชาชนผู้ประสบภัยจากเหตุดังกล่าวและมีพระราชกระแสทรงชื่นชม และพระราชทานกำลังใจ แก่จิตอาสาจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ซึ่งต่างเสียสละกำลังกาย กำลังปัญญา และกำลังทรัพย์ มาร่วมกันปฏิบัติการให้การช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย แม้การช่วยเหลือจะเป็นไปอย่างยากลำบากท่ามกลางกระแสน้ำไหลเชี่ยว และข้อจำกัดต่างๆ

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า แต่จิตอาสาทุกภาคส่วน ต่างร่วมมือร่วมใจกันอย่างเต็มกำลัง ด้วยความรักความปรารถนาดีต่อกัน เป็นเครื่องมือสำคัญ ทำให้ประชาชนได้รับการช่วยเหลือย่างทันท่วงที สามารถบรรเทาสถานการณ์ให้คลี่คลายลงตามลำดับ

ผอ.ไทยเทรด LA เชิญชวนร้านอาหารไทย สมัครเข้าร่วมโครงการ” Thai SELECT”

เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2567 เวลา 18.00 น. ที่ร้านราชาส้มตำ ในไทยทาวน์ ฮอลลีวูด นายนิวัฒน์ หาญสวัสดิ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ(สคต.)ณ นครลอส แอนเจลิส พร้อมด้วย นางสาวณัฐวรรณ ปราชญากิจ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฯ ได้นัดพบทานอาหารกับผู้สื่อข่าวไทยในนครลอส แอนเจลิส เพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการ Thai SELECT ให้เผยแพร่ออกสู่สาธารณชนโดยเฉพาะเจ้าของธุรกิจร้านอาหารไทยให้กว้างขวางและเป็นที่รู้จักมากยิ่งขี้น โดยมีสื่อมวลชนไทยจากสี่สำนักเข้าร่วม ประกอบด้วย นางรุจิลาภา พัฑฒนะจาก ไทยแอลเอ นายภาณุพล รักแต่งาม จากสยามทาวน์ยูเอส นางสาวสุนทรี แซ่เบ๊ จากสยามมีเดีย นางสันทนี วายุโชติ จากข่าวสดUSA เข้าร่วม และได้รับการประสานงานจาก นางจารินี จีนะวิจารณะ เป็นผู้นัดหมายในการพบปะครั้งนี้

ผอ.นิวัฒน์ หาญสวัสดิ์ ได้กล่าวให้ข้อมูลในเบื้องต้นว่า Thai SELECT เป็นตราสัญลักษณ์ที่กระทรวงพาณิชย์ มอบให้กับร้านอาหารไทย ที่ให้บริการและจำหน่ายอาหารไทยรสชาติไทยแท้ ผ่านกระบวนการและขั้นตอนของการปรุงอาหารด้วยส่วนผสมตามตำรับอาหารไทย พูดง่ายๆก็คือต้องใช้วัตถุดิบในการปรุงอาหารจากประเทศไทย วัตถุประสงค์ของโครงการนี้ เพื่อส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ให้อาหารไทยมีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยสนับสนุนให้เกิดการยกระดับการให้บริการของร้านอาหารไทยทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งเสริมให้ร้านอาหารไทยและผู้ผลิตอาหารไทยสำเร็จรูปพัฒนาคุณภาพในการให้บริการและการผลิตโดยยังคงเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของอาหารไทย

ผอ.นิวัฒน์ หาญสวัสดิ์ กล่าวให้ข้อมูลต่ออีกว่า การมอบตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ร้านอาหารไทยทั้งในประเทศและต่างประเทศ แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ตามเกณฑ์รูปแบบของร้าน การตกแต่งร้าน คุณภาพของอาหารและการบริการ ดังนี้

1.Thai SELECT Signature มอบให้กับร้านอาหารไทยที่ให้บริการอาหารไทยแท้คุณภาพยอดเยี่ยม มีการตกแต่งร้านสวยงาม และมีการบริการที่เป็นเลิศ เป็นร้านที่มีความโดดเด่นในภาพลักษณ์และเอกลักษณ์ของอาหารไทย

2.Thai SELECT Classic มอบให้ร้านอาหารไทย ที่ให้บริการอาหารรสชาติตามมาตรฐานของอาหารไทย มีคุณภาพดี มีการตกแต่งร้านและการบริการที่อยู่ในระดับดี

3.Thai SELECT Casual (ในต่างประเทศเท่านั้น) มอบให้กับร้านอาหารไทยในต่างประเทศที่ให้บริการอาหารที่มีรสชาติไทย แต่มีข้อจำกัดในด้านบริการ หรือเป็นร้านที่มีขนาดเล็ก และ/หรือมีความเรียบง่าย ให้ความรู้สึกสะดวกสบายในการใช้บริการ เช่น ร้านอาหารไทยในฟู้ดคอร์ท ร้าน Fast Food ร้านอาหารที่มีที่นั่งจำกัดหรือไม่มีที่นั่งหน้าร้าน Food Truck หรือร้านอาหารไทยที่มีเมนูไม่มากแต่ล้วนเป็นอาหารไทยที่มีรสชาติตามต้นตำรับไทย หรือเป็นร้านที่ให้บริการอาหารไทยแนว Street Food เป็นต้น 4.Thai SELECT UNIQUE (ในประเทศไทยเท่านั้น) มอบให้กับร้านอาหารในประเทศไทยที่ให้บริการอาหารไทยต้นตำรับคุณภาพดี และมีเมนูอาหารที่อนุรักษ์อัตลักษณ์ท้องถิ่น เช่น ร้านอาหารไทยภาคใต้ ร้านอาหารภาคเหนือ ร้านอาหารอีสาน เป็นต้น

สำหรับร้านอาหารไทยในสหรัฐอเมริกาและประเทศต่างๆ ทั่วโลกสามารถสมัครขอตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ได้ 3 ประเภท คือ1.Thai SELECT Signature (สีทอง)2.Thai SELECT Classic(สีแดง) และ 3.Thai SELECT Casual (สีฟ้า) โดยร้านที่จะสมัครต้องเข้าหลักเกณฑ์ ดังนี้ 1.เป็นร้านที่ปรุงรสชาติโดยใช้วัตถุดิบจากประเทศไทยและให้บริการอาหารไทยเป็นหลัก มีรายการอาหารไทยในเมนูอย่างน้อย 60% ของรายการอาหารทั้งหมด2.เปิดให้บริการมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน 3.มีเชฟไทย หรือหากไม่ใช่คนไทย ต้องมีประสบการณ์ หรือมีใบรับรองผ่านการอบรมการทำอาหารไทย ทั้งนี้ตรา Thai SELECT มีอายุ 3 ปี หากร้านใดมีความประสงค์จะขอต่ออายุต้องยื่นใบสมัครใหม่ก่อนหมดอายุ 3 เดือน

ผอ.นิวัฒน์ หาญสวัสดิ์ กล่าวให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการ Thai SELECT อีกว่า ตอนนี้มีร้านอาหารไทยทั่วสหรัฐอเมริกา ได้รับตราสัญลักษณ์ ประกอบด้วยใบประกาศนียบัตรรับรอง และสติ๊กเกอร์ Thai SELECT ติดหน้าร้าน ทั้งหมด 462 ร้านแล้ว ในจำนวนนี้ มี 111 ร้านที่อยู่ในรัฐเขตอาณา 14 รัฐซึ่งไทยเทรดเซ็นเตอร์ หรือ สคต.สำนักงานลอสแอนเจลิสดูแลรับผิดชอบอยู่ จึงขอเชิญชวนร้านอาหารไทย ที่เข้ากฏเกณฑ์ตามที่โครงการฯ ได้กำหนดไว้ สมัครกันเข้ามา หากได้รับการพิจารณาให้ได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ก็จะเพิ่มมูลค่าและมาตรฐานให้กับร้านได้มากยิ่งขึ้น เพราะตรา Thai SELECT ของกระทรวงพาณิชย์ เป็นที่รู้จักของชาวไทยและชาวต่างชาติมานานหลายปี

ทางด้าน นางสาวณัฐวรรณ ปราชญากิจ ผช.ผอ.สคต.แอลเอ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับร้านอาหารไทยที่ยังไม่ได้รับตรา Thai SELECT และสนใจที่จะสมัครเข้าร่วมโครงการฯ สามารถติดต่อสอบถามได้ทาง email: tccla@live.com หรือโทรสอบถามได้ที่เบอร์ 323-466-9645 ส่วนการดำเนินงานนั้น เมื่อได้รับใบสมัครแล้ว ทางสำนักงานจะส่งเจ้าหน้าที่ หรือผู้แทนไปดูที่ร้านและชิมอาหาร หากได้รับการพิจารณาว่าผ่านตามกฏเกณฑ์ของโครงการฯ ในประเภทใดประเภทหนึ่ง ก็จะส่งเรื่องไปยังส่วนกลางที่ประเทศไทยให้พิจารณาเป็นขั้นตอนสุดท้าย ถ้าทุกอย่างเรียบร้อย ทางร้านก็จะได้รับใบประกาศนียบัตรรับรอง พร้อมสติ๊กเกอร์ตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ติดร้านหน้า ที่ส่งมาจากส่วนกลาง


เกาหลีเหนือเผยภาพ "คิมจองอึน" เยี่ยมโรงงานผลิตวัสดุนิวเคลียร์

เกาหลีเหนือเผยภาพเครื่องปั่นเหวี่ยงแยกตะกอน ที่ใช้ผลิตเชื้อเพลิงสำหรับระเบิดนิวเคลียร์เป็นครั้งแรก ขณะที่นายคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ได้เยี่ยมชมโรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียม

เกาหลีเหนือเผยภาพเครื่องปั่นเหวี่ยงแยกตะกอน ที่ใช้ผลิตเชื้อเพลิงสำหรับระเบิดนิวเคลียร์เป็นครั้งแรกเมื่อวันศุกร์ (13 ก.ย.) โดยนายคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ได้เยี่ยมชมโรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียม และเรียกร้องให้เพิ่มการผลิตวัสดุสำหรับอาวุธนิวเคลียร์

สำนักข่าวเคซีเอ็นเอ ของทางการเกาหลีเหนือ รายงานเกี่ยวกับการเยี่ยมชมสถาบันอาวุธนิวเคลียร์ และฐานการผลิตวัสดุสำหรับอาวุธนิวเคลียร์ของนายคิม พร้อมกับภาพถ่ายเครื่องปั่นเหวี่ยงแยกตะกอนชุดแรก ซึ่งเผยให้เห็นภาพภายในโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ ซึ่งถูกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติลงมติสั่งห้าม

ภาพถ่ายดังกล่าวแสดงให้เห็นคิมกำลังเดินไปมาระหว่างเครื่องปั่นเหวี่ยงแยกตะกอน ซึ่งเป็นเครื่องจักรที่เสริมสมรรถนะยูเรเนียม ซึ่งตั้งเรียงรายเป็นแถวยาว รายงานไม่ได้ระบุชัดเจนว่าการเยี่ยมชมเกิดขึ้นเมื่อใด รวมถึงสถานที่ตั้งของโรงงาน

คิมเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่เร่งผลิตวัสดุสำหรับอาวุธนิวเคลียร์ยุทธวิธีมากขึ้น โดยกล่าวว่าคลังอาวุธนิวเคลียร์ของประเทศมีความสำคัญต่อการเผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากสหรัฐฯ และพันธมิตร ผู้นำเกาหลีเหนือกล่าวว่า อาวุธเหล่านี้มีความจำเป็นสำหรับ "การป้องกันตนเองและความสามารถในการโจมตีเชิงป้องกัน" โดยระบุว่า ภัยคุกคามนิวเคลียร์ต่อเกาหลีเหนือจากกองกำลังที่นำโดยจักรวรรดินิยมสหรัฐ ได้ข้ามเส้นแดงไปแล้ว

คาดว่าเกาหลีเหนือมีสถานที่หลายแห่งสำหรับการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม นักวิเคราะห์กล่าวว่า ภาพถ่ายดาวเทียมเชิงพาณิชย์แสดงให้เห็นการก่อสร้างในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ยองบยอน ซึ่งรวมถึงโรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียม ซึ่งบ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ของการขยายตัว

ยูเรเนียมเป็นธาตุที่มีกัมมันตภาพรังสีซึ่งมีอยู่ตามธรรมชาติ เพื่อผลิตเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ ยูเรเนียมดิบต้องผ่านกระบวนการต่างๆ ที่ทำให้ได้วัสดุที่มีไอโซโทปยูเรเนียม-235 ที่เข้มข้นขึ้น

ราฟาเอล กรอสซี หัวหน้าสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ กล่าวเมื่อวันจันทร์ (9 ก.ย.) ว่าหน่วยงานตรวจสอบนิวเคลียร์ของสหประชาชาติ ได้สังเกตเห็นกิจกรรมที่สอดคล้องกับการทำงานของเครื่องปฏิกรณ์และโรงงานเสริมสมรรถนะเครื่องปั่นเหวี่ยงแยกตะกอน ที่เมืองยงบยอน

คิมเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเพิ่มจำนวนเครื่องปั่นเหวี่ยงแยกตะกอน เพื่อเพิ่มจำนวนอาวุธนิวเคลียร์แบบทวีคูณ และขยายการใช้งานเครื่องเหวี่ยงชนิดใหม่เพื่อเสริมสร้างการผลิตวัสดุนิวเคลียร์ระดับอาวุธให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ก่อนหน้านี้ เกาหลีเหนือ เคยเปิดเผยภาพถ่ายของสิ่งที่เรียกว่าหัวรบนิวเคลียร์ โดยเกาหลีเหนือได้ทำการทดสอบนิวเคลียร์ใต้ดินไปแล้ว 6 ครั้งระหว่างปี 2549 ถึง 2560

การประมาณจำนวนอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือนั้นแตกต่างกันอย่างมาก ในเดือนกรกฎาคม รายงานของสหพันธ์นักวิทยาศาสตร์อเมริกัน สรุปว่าเกาหลีเหนืออาจผลิตวัสดุฟิสไซล์ได้เพียงพอที่จะสร้างหัวรบนิวเคลียร์ได้ถึง 90 หัว แต่มีแนวโน้มว่าได้ประกอบหัวรบได้เกือบ 50 หัว

นอกจากนี้ คิมยังควบคุมดูแลการทดสอบการยิงระบบจรวดหลายลำกล้องขนาด 600 มม. แบบใหม่ในวันพฤหัสบดี และเยี่ยมชมฐานฝึกของกองทัพในวันพุธ (11 ก.ย.).

ที่มา Reuters

องคมนตรี ติดตามสถานการณ์น้ำ กรมชลฯเร่งบริหารจัดการ เตรียมพร้อมเครื่องจักรรับมือ

วันที่ 13 กันยายน 2567 : เมื่อวันที่ 13 กันยายน ที่ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) กรมชลประทาน ถนนสามเสน นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำฤดูฝนปี 2567 โดยมี ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางสุพร ตรีนรินทร์ เลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ นายชูชาติ รักจิตร อธิบดีกรมชลประทาน คณะผู้บริหารกรมชลประทาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) กรมชลประทาน กรมอุตุนิยมวิทยา กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA) เป็นต้น เข้าร่วมประชุม เพื่อติดตามการคาดการณ์สภาพอากาศและประเมินสถานการณ์น้ำภาพรวม เนื่องจากในช่วงเดือนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันมีพื้นที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยแล้วหลายจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน ที่ได้รับอิทธิพลจากพายุดีเปรสชัน “ยางิ” ที่อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรง...

นายชูชาติ รักจิตร อธิบดีกรมชลประทาน ได้รายงานว่า จากการคาดการณ์สภาพอากาศและประเมินสถานการณ์น้ำของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่า หลายพื้นที่มีแนวโน้มที่จะมีฝนตกหนักถึงหนักมาก และมีฝนตกสะสม ซึ่งอาจจะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มต่ำ โดยกรมชลประทาน ได้จำลองสถานการณ์น้ำในกรณีที่มีฝนตกตามที่กรมอุตุฯ คาดการณ์ จึงได้เร่งพร่องน้ำในอ่างฯ เพื่อรักษาระดับน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ควบคุมและรองรับปริมาณน้ำฝนที่อาจจะตกลงมาอีกในระยะต่อไป ควบคู่ไปกับการใช้พื้นที่หน่วงน้ำ เพื่อชะลอน้ำที่จะไหลลงสู่พื้นที่ตอนล่าง

ลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับพื้นที่ลุ่มต่ำด้านท้ายน้ำ รวมถึงได้เตรียมความพร้อมทั้งเครื่องจักร เครื่องมือ และบุคลากร ตลอดจนบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้พร้อมรับสถานการณ์น้ำหลากที่จะเกิดขึ้นต่อไปด้วย

ด้านสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะที่ จ.เชียงราย ในช่วงวันที่ 9-11 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา มีฝนตกหนักมากกว่า 200 มิลลิเมตร ส่งผลให้เกิดน้ำป่าไหลหลากและน้ำล้นตลิ่งแม่น้ำอิง แม่น้ำสาย แม่น้ำกก และแม่น้ำจัน เข้าท่วมพื้นที่ อ.แม่สาย อ.แม่จัน อ.เมืองเชียงราย อ.พญาเม็งราย อ.ขุนตาล และ อ.เทิง กรมชลประทาน โดยโครงการชลประทานเชียงราย ได้เร่งระบายน้ำลงสู่คลองระบายน้ำต่าง ๆเพื่อระบายลงสู่แม่น้ำโขง ลดผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนให้เร็วที่สุด... นอกจากนี้ ยังได้บูรณาการกับหน่วยงานท้องถิ่น ร่วมกันกำจัดเศษกิ่งไม้และวัชพืชที่ลอยมาตามน้ำออกจากทางน้ำ เพื่อเร่งระบายน้ำลงสู่ลำน้ำเดิม พร้อมเตรียมเครื่องจักร เครื่องมือ เครื่องสูบน้ำ รถบรรทุกน้ำ ไว้รองรับสถานการณ์หลังระดับน้ำเริ่มลดลงด้วย ปัจจุบันสถานการณ์ที่ อ.แม่สาย ระดับน้ำลดลงกลับเข้าสู่ตลิ่งแล้ว

ส่วนที่ จ.เชียงใหม่ ปัจจุบันไม่มีฝนตกในพื้นที่แล้ว ในเขตเทศบาลเมืองเชียงใหม่และพื้นที่เศรษฐกิจ ระดับน้ำในแม่น้ำปิงและลำน้ำสาขาลดลงต่อเนื่อง ขณะที่ อ.แม่อาย และ อ.ฝาง ลำน้ำสาขาระดับน้ำลดลงต่ำกว่าตลิ่งแล้วทั้งหมด ซึ่งปริมาณน้ำดังกล่าวได้ไหลลงสู่แม่น้ำกกและออกสู่แม่น้ำโขงตามลำดับ...

นอกจากนี้ กรมชลประทาน ได้พิจารณาปรับลดการระบายน้ำจากเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล เพื่อช่วยลดปริมาณน้ำที่จะไหลลงสู่แม่น้ำปิง พร้อมเฝ้าระวังระดับน้ำจากปริมาณฝนที่อาจจะตกลงมาอีกอย่างใกล้ชิด โดยในเบื้องต้น กรมชลประทาน โดยโครงการชลประทานเชียงใหม่ ได้บูรณาการร่วมกับจังหวัดเชียงใหม่ให้การช่วยเหลือโดยได้แจกถุงยังชีพและน้ำดื่ม พร้อมติดตั้งเครื่องสูบน้ำ เร่งระบายน้ำที่ค้างอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำ และสนับสนุนเครื่องจักร เครื่องมือ รถบรรทุกน้ำ กำจัดดินโคลนและขยะที่ติดค้างตามชุมชนต่าง ๆ ตลอดจนล้างทำความสะอาดบ้านเรือน คาดว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในเร็ววันนี้

ส่วนที่ จ.แม่ฮ่องสอน เกิดน้ำป่าไหลหลากและน้ำล้นตลิ่งที่แม่น้ำปาย ส่งผลกระทบพื้นที่การเกษตรในเขต อ.เมืองแม่ฮ่องสอน จำนวน 600 ไร่ โดยปริมาณน้ำที่ล้นตลิ่งดังกล่าวจะไหลลงสู่แม่น้ำสาละวินต่อไป

ขณะที่สถานการณ์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา เขื่อนเจ้าพระยาที่ จ.ชัยนาท ได้ปรับลดการระบายน้ำลง เพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำจากทางตอนบนที่ไหลลงมาสมทบ ซึ่งแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง รวมทั้งยังช่วยบรรเทาผลกระทบด้านท้ายน้ำด้วย ที่ปัจจุบันมีพื้นที่นอกคันกั้นน้ำได้รับผลกระทบบริเวณชุมชนแม่น้ำน้อย คลองบางหลวง และคลองบางบาล...

สำหรับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้วางแผนบริหารจัดการน้ำ ด้วยการควบคุมบานระบายของเขื่อนในแม่น้ำชีทุกแห่ง เพื่อเร่งระบายน้ำจากแม่น้ำชีให้ไหลลงแม่น้ำมูลออกสู่แม่น้ำโขงโดยเร็ว โดยจะต้องควบคุมไม่ให้ระดับน้ำลดลงอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้ตลิ่งทรุดและให้มีระดับน้ำที่แพสูบน้ำต่าง ๆ ของท้องถิ่นสามารถลอยน้ำอยู่ได้ ส่วนด้านท้ายน้ำจะพร่องน้ำที่เขื่อนราษีไศลและเขื่อนหัวนา พร้อมแขวนบานที่เขื่อนปากมูล เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ให้มากที่สุด ขณะที่เทศบาลนครอุบลราชธานี เทศบาลเมืองวารินชำราบ และอำเภอเมือง จ.อุบลราชธานี ได้เฝ้าระวังในจุดเปราะบางที่เป็นพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก พร้อมเสริมกำแพงปิดช่องว่าง สามารถเพิ่มความจุลำน้ำได้จากเดิม 2,300 ลบ.ม./วินาที เป็น 3,200 ลบ.ม./วินาที