ศอ.รส.แถลงยกระดับใช้กฎหมายเข้มข้นขึ้น เตรียมส่งอรินทราชเข้าล็อกตัว “กำนันเทือก” กับพวก โต้ กปปส.ชง นายกฯ ม.7 ไม่มีกฎหมายรองรับ ดักคอ ปธ.องค์กรอิสระไม่ทำนอกกฎหมาย
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 11 พ.ค. ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะเลขานุการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) แถลงข่าว ตามที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.และกลุ่มแกนนำ ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 10 พ.ค. พยายามเรียกร้องไปยังบุคคลสำคัญต่างๆ เช่น ประธานวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อร่วมกันคัดเลือกและทูลเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 7 แห่งรัฐธรรมนูญนั้น ศอ.รส. ขอยืนยันว่า ข้อเรียกร้องตามแถลงการณ์ของนายสุเทพเป็นเรื่องที่ไม่สามารถกระทำได้โดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ประกอบกับปัจจุบันยังคงมีคณะรัฐมนตรีที่มีนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีอยู่ ดังนั้น การดำเนินการที่จะให้มีนายกรัฐมนตรีคนกลาง จึงเป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายใดให้อำนาจกระทำได้ และโดยเฉพาะการดำเนินการเพื่อจัดตั้งนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีขึ้นอีกชุดหนึ่งในขณะที่คณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ นอกจากจะเป็นการไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายแล้ว ยังจะเป็นการล่วงละเมิดพระราชอำนาจต่อองค์พระมหากษัตริย์เป็นอย่างยิ่ง
นายธาริต กล่าวว่า ด้วยความเคารพต่อบุคคล เช่น ประธานวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งล้วนเป็นบุคคลที่มีความสำคัญของประเทศเป็นอย่างยิ่ง ศอ.รส. มีความเชื่อมั่นต่อความเป็นผู้รักษากฎหมาย และเป็นผู้ใหญ่สำคัญในบ้านเมืองที่จะไม่กระทำในสิ่งที่นอกเหนือกฎหมาย จึงขอเรียกร้องให้นายสุเทพกับพวก รวมถึงกลุ่มการเมืองและกลุ่มผู้สนับสนุนบางกลุ่มยุติการกระทำผิดต่อกฎหมายด้วยการคัดเลือกและทูลเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี นอกจากจะเป็นความผิดต่อกฎหมายแล้ว ยังจะเป็นสาเหตุให้เกิดความรุนแรงและเหตุร้ายขึ้นในบ้านเมือง เพราะข้อเรียกร้อง กปปส. จะทำให้เกิดความไม่พอใจจากมวลชนอีกกลุ่มหนึ่งอย่างรุนแรง และลุกลามไปถึงการก่อเหตุร้ายและเข้าปะทะกันอย่างแน่นอน จนอาจกลายเป็นสงครามกลางเมืองได้ในที่สุด
นายธาริต กล่าวว่า ขณะนี้อาจกล่าวได้ว่าถึงจุดวิกฤติมากที่สุดแล้ว ศอ.รส. จึงจำเป็นจะต้องยกระดับการใช้มาตรการบังคับใช้กฎหมายที่เคร่งครัดและเข้มข้น เพื่อแก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิดในเวลาอันใกล้นี้ จึงขอให้พี่น้องประชาชนแยกตัวออกจากกลุ่มผู้ชุมนุม
อย่างไรก็ตาม การยกระดับมาตรการบังคับใช้กฎหมาย โดยวิธีการคือจะขอหมายจับนายสุเทพและแกนนำรวม 51 คน โดยศาลอาญานัดฟังว่าจะออกหมายจับหรือไม่ ซึ่งมั่นใจว่าศาลจะอนุมัติออกหมายจับอย่างแน่นอน ซึ่งได้เตรียมกำลังหน่วยปฏิบัติการพิเศษอรินทราชไว้พร้อมแล้ว
"ยืนยันว่าไม่ใช่การสลายการชุมนุม แต่อาจจะมีการกระทบกระทั่งกับมวลชน ดังนั้นจึงขอให้ประชาชนออกจากการเข้าร่วมชุมนุม อย่างไรก็ตาม การดำเนินการครั้งนี้ไม่เกี่ยวที่มีการเสนอแต่งตั้งนายกฯ แต่เพราะเกรงว่าถ้าภาครัฐไม่ใช้กฎหมายจัดการแล้วประชาชนจะจัดการกันเอง นำมาสู่สงครามกลางเมือง และไม่มีความเห็นเรื่องกระแสข่าวการปฏิวัติ และกรณี พล.อ.สายหยุด เกิดผล ประธานคณะรัฐบุคคลจะเสนอให้ ผบ.เหล่าทัพพิจารณาในแนวทางขอพึ่งพระบารมี ใครทำอะไรก็ต้องรับผิดชอบ" นายธาริต กล่าว
'สุรชัย'ยันวุฒิสภาเดินหน้าเลือกนายกฯ ยุติความล่มสลายของประเทศด้านต่างๆ วอนรบ.พรรคการเมืองหารือแก้วิกฤต
เมื่อเวลา 18.12 น.วันที่ 16 พ.ค.2557 นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 ฐานะปฏิบัติหน้าที่แทนประธานวุฒิสภา ได้ร่วมกับคณะทำงานได้ร่วมกันแถลงถึงผลการหารือกับหลายฝ่ายเพื่อหาทางออกให้กับประเทศว่า สืบเนื่องจากวิกฤตชาติที่ดำรงอยู่ มีรากเหง้าจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง มีปัญหาการทุจริตเข้ามาเกี่ยวข้อง และองค์กรอิสระมีคำวินิจฉัยหลายกรณี และมีการประกาศยุบสภา จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่เมื่อ 2 ก.พ. แต่ด้วยความเห็นทางการเมืองที่ต่างกันนำไปสู่กระแสการคัดคต้านการเลือกตั้ง จนศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้การเลือกตั้ง 2 ก.พ. เป็นโมฆะ จนกระทั่งบัดนี้ กกต. และ รัฐบาลรักษาการยังตกลงกันไม่ได้เกี่ยวกับการเลือกตั้งครั้งต่อไป จึงแน่นอนว่าไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะมีสภาผู้แทนฯได้อีกเมื่อใด วุฒิสภาในฐานะเป็นองค์กรนิติบัญญัติองค์กรเดียวที่ยังเหลืออยู่จึงมิอาจนิ่งเฉย ประกอบกับกระแสเรียกร้องของสังคม ได้ทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนปวงชนชาวไทย เราจึงจัดประชุมนอกรอบเพื่อระดมความเห็น และที่ประชุมเห็นพ้องว่า วุฒิสภาต้องทำหน้าที่ในการเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้วิกฤติชาติ
นายสุรชัยกล่าวต่อว่า จากนั้นได้ประสานไปยังทุกภาคส่วนของสังคม โดยผ่านกระบวนการรับฟังความเห็นจากส่วนต่างๆ เช่นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ศาลยุติธรรม องค์กรเอกชน อธิการบดีมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ผลการจัดเวทีสาธารณะเพื่อรับฟังความเห็นต่างมีความเห็นตรงกันว่า หากปล่อยให้สภาวการณ์แบบนี้ดำรงต่อไปอาจนำไปสู่การล่มสลายทั้ง เศรษฐกิจ สังคม และ ความมั่นคงแห่งชาติ ทุกภาคส่วนเสนอให้วุฒิสภาแก้ไขวิกฤตของชาติ เพื่อไม่ให้ขยายตัว จึงขอเรียกร้องไปยังรัฐบาลและหน่วงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1.ให้แก้ไขปัญหาวิกฤตชาติโดยคืนความสบสุข สมานฉันท์ ด้วยการจัดให้ปฏิรูปประเทศในทุกด้าน ซึ่งต้องมีนายกฯ และรัฐมนตรีที่มีอำนาจเต็ม
2. ให้รัฐมนตรีที่ปฏิบัติหน้าที่ รัฐบาลและพรรคการเมืองให้ความร่วมมือกับวุฒิสภาในการหาทางออกให้ประเทศภายใต้หลักการร่วมมือของคนในชาติ และลดเงื่อนไขความรุนแรง
3.วุฒิสภาพร้อมจะทุ่มใเทการทำงานอย่างหนักและต่อเนื่องจะนำความเห็นมาพิจารณาประกอบ หากจำเป็นจะอาศัยข้อบังคับเปิดประชุมเป็นกรณีพิเศษเพื่อได้นายกฯ ตามกรอบรัฐธรรมนูญและประเพณีการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย ตามประเพณีทั้งของสากลและ การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของไทย
"หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความร่วมมือจากรัฐบาล และทุกภาคส่วนหวังว่าทุกคนจะร่วมกันตระหนักถึงวิกฤติชาติและฝ่าฟันให้ได้ เราหวังว่าทุกฝ่าายที่เกี่ยวข้องจะยอมเสียสละและลดละความคิดดั้งเดิม ให้การร่วมมือของวุฒิสภาในการก้าวไปข้างหน้า"นายสุรชัยกล่าว
"สุเทพ"ไม่พอใจชวนมวลชนกลับเวทีหน้ายูเอ็น
ต่อมาเวลา 18:30น. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส.ได้ขึ้นปราศรัยหลังฟังการแถลงของนายสุรชัยและคณะ โดยแสดงอาการไม่พอใจข้อสรุปของวุฒิสภา ความว่า "เราได้ยินคำตอบแล้วว่ารอต่อไป ตนจะบอกว่าวันนี้ วินาทีนี้ ที่ตนได้ยินคำตอบ ตนดีใจมากที่ไม่ต้องพบกันในสภาอีกต่อไป ตนดีใจที่ได้เลิกเล่นการเมืองทั้งชี้วิต เพราะเบื่อคำพูดแบบนี้ ท่านประธานที่เคารพได้ยินว่าพูดได้อย่างไร เราก็ไม่อยากคุยกับคุณอีกต่อไปแล้ว ขอบคุณที่ช่วยแถลงให้ทราบว่าในที่สุดคุณก็ยังเกรงใจคนมากเหลือเกิน จากนี้เราจะคิดหาวิธีของเราจะได้ไม่ต้องเล่นลิ้นกับใคร ทำตามประสาเราเป็นไงเป็นกัน"
จากนั้นนายสุเทพได้นำมวลชนกลับเวทีหลักที่หน้าสหประชาชาติ