ข่าว
'สหรัฐ'ตัดเงินช่วยเหลือ'กัมพูชา'หลายด้าน เหตุ'ประชาธิปไตย'ถดถอย!

28 ก.พ.61 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน ทำเนียบขาวออกแถลงการณ์ ระงับโครงการช่วยเหลือแก่สำนักงานสรรพากร รัฐบาลท้องถิ่น และกองทัพกัมพูชา มูลค่ารวม 8.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 259.79 ล้านบาท เนื่องจากมีความเสื่อมถอยด้านประชาธิปไตย ส่วนในด้านสาธารณสุข เกษตรกรรม และโครงการสำคัญด้านพลเรือนจะดำเนินต่อไป

โดย นางซาราห์ แซนเดอร์ส โฆษกหญิงทำเนียบขาว กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ตลอด 25 ปีที่ผ่านมา สหรัฐเคยสนับสนุนเงินช่วยเหลือให้กัมพูชาในหลายๆ ด้าน เป็นจำนวนมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 31,300 ล้านบาท มาโดยตลอด แต่กัมพูชากลับนำเงินไปใช้ในโครงการต่อต้านประชาธิปไตย

เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา พรรคประชาชนกัมพูชา (ซีพีพี) ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีสมเด็จฮุน เซน ชนะการเลือกตั้ง ส.ว. คว้าที่นั่งในวุฒสภาทั้ง 58 ที่นั่ง โดยเป็นการลงชิงตำแหน่งโดยปราศจากพรรคคู่แข่ง เนื่องจากพรรคกู้ชาติกัมพูชา (ซีเอ็นอาร์พี) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน ถูกศาลตัดสินยุบพรรคไปเมื่อเดือน พ.ย.2560 ฐานให้การสนับสนุนผู้ก่อการกบฏ จากกรณีนายกึม ซกคา หัวหน้าพรรคถูกจับกุมข้อหากบฏ ส่วนสื่อมวลชนที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลก็ต้องเจอปัญหาจนต้องปิดตัวลง

ก่อนหน้านี้ สหรัฐได้ประกาศระงับวีซ่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกัมพูชา แต่ไม่ได้เปิดเผยว่าเป็นใคร ซึ่งคาดว่าเป็นนายกรัฐมนตรีฮุนเซ็น ขณะที่เยอรมนีระงับการตรวจลงตราพิเศษสำหรับการเดินทางเป็นการส่วนตัวของคณะรัฐมนตรีกัมพูชา รวมถึงนายกรัฐมนตรีฮุนเซ็น และครอบครัว เนื่องจากกัมพูชากวาดล้างสื่อ องค์กรอิสระนอกภาครัฐและฝ่ายค้าน

'คสช.' ฮึ่ม!เบรคสวมหน้ากาก พิน็อกคิโอล้อ'บิ๊กตู่'

1 มี.ค. 61 ที่ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร พล.ต.ปิยพงษ์ กลิ่นพันธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 ในฐานะทีมโฆษก คสช. กล่าวเปิดเผย คสช.ได้จับตาดูความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ที่มีการจัดกิจกรรมปราศัยโจมตี คสช. ทุกวันเสาร์ว่า ต้องสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องให้กับประชาชน ยืนยันที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. มีการชี้แจงโรดแมปที่กำหนดกรอบเวลาการเลือกตั้ง ที่ชัดเจนมาตลอด แต่ก็ยังมีการออกมาเคลื่อนไหว ดังนั้นต้องฝากให้สถานศึกษา ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานพิจารณาความเหมาะสมด้วย ส่วนพื้นที่สาธารณะต้องดูว่า มีการขออนุญาตถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่

พล.ต.ปิยพงศ์ กล่าวว่า ขณะเดียวกันไม่กังวล ที่การเคลื่อนไหวมีนักการเมืองเข้ามาร่วมด้วย เช่น นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย และเริ่มมีมวลชนมากขึ้น ในแต่ละสัปดาห์ นั้น ถือว่า ยังไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่ คสช. ก็มีการจับตา และขอความร่วมมือสื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับสังคม และไม่บิดเบือนเพื่อสร้างกระแส และต้องปราม

"ส่วนที่กลุ่มผู้ชุมนุมใส่หน้ากากที่มีหน้าคล้ายพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งมีจมูกที่ยาวคล้ายกับวรรณกรรมเรื่อง "พิน็อกคิโอ" นั้นขอเตือนกล่มผู้ชุมนุมถึงความเหมาะสม ในการจัดกิจกรรมล้อเลียนผู้นำ เพราะนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ไม่ควรที่จะคิดมโนเอาเอง ด้วยการนำการ์ตูนมาล้อเลียน เหมือนสัปดาห์ที่ผ่านมา เบื้องต้นจะมีการใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก ซึ่งที่ผ่านมาแม้จะมีมวลชนเข้ามาชุมนุมมากขึ้น แต่ทุกครั้งก็จบลงด้วยดี" พล.ต.ปิยพงศ์ กล่าว


'เลขาฯปชป.' ชี้ จีดีพีเป็นบวกไม่ทำให้คนหายจนห่วงคนรากหญ้าไม่ได้ประโยชน์

28 ก.พ.61 นายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดการภาวะเศรษฐกิจในปี 2561 ว่า จะขยายตัว 3.6-4.6 % ว่ารู้สึกดีใจที่การพยากรณ์เศรษฐกิจจะโต เพราะตัวเลขจีดีพีเป็นบวกดีกว่าออกมาเป็นลบ แต่ไม่อยากให้ไปหลงประเด็นว่า จีดีพีจะทำให้คนหายจน วันนี้จีดีพีที่ขึ้นมาจากผลงานการขยายตัวของ เศรษฐกิจระดับบนของบริษัทยักษ์ใหญ่ทุนใหญ่ที่ได้ประโยชน์ จากนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล

“ผมเป็นห่วง คนรากหญ้า คนหาเช้ากินค่ำ จะไม่ได้ประโยชน์จากตัวเลขจีดีพี ที่ขยายตัวมากเท่ากับบริษัทยักษ์ใหญ่ เพราะวันนี้งบประมาณโครงการต่างๆ เงินยังไม่กระจายไปถึงมือคนระดับรากหญ้า ดังนั้นถ้าทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จะเกิดความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจนมากขึ้น ความเท่าเทียมมีน้อยลง เห็นได้จากการขยายการให้โอกาสให้คนเข้าถึงระบบการเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่บริษัทเป็นเอเย่นต์ของธนาคาร ทำธุรกรรมได้ ซึ่งมีแต่บริษัทยักษ์ใหญ่ แต่บริษัทอื่นๆที่เป็นคู่แข่ง ยังไม่เห็นได้ใบอนุญาตเหมือนกัน ดังนั้นอยากให้เกิดความเท่าเทียม อย่าให้ประชาชนไปคิดได้ว่านโยบายออกมาเพื่อช่วยคนรวยเท่านั้น ควรจะคิดใหม่ว่าจะทำอย่างไรให้คนจน ไม่ใช่แค่ให้ได้สวัสดิการเท่านั้น แต่เขาต้องมีโอกาสในการเพิ่มรายได้ และทำให้ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนลดลง”

นายจุติ กล่าวว่า เกรงว่าจีดีพีที่เพิ่มขึ้นจะให้โอกาสคนรวย เพราะคนรวยมีความสามารถมากกว่า มีเครือข่ายที่ดีกว่า มีความพร้อมมากกว่า ก็จะไปได้ก่อนส่วนคนจนจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง อยากจะบอกกับหัวหน้าทีมเศรษฐกิจว่า อย่าทิ้งคนจนไว้ข้างหลังแต่ให้แบกไปด้วย ลากไปด้วยกัน ตัวเลขจีดีพีที่ดีขึ้นมาจากการส่งออก ท่องเที่ยวซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ ซึ่งนโยบายรัฐบาลทำถูกแล้วที่มีการท่องเที่ยวระดับจังหวัดรอง แต่ยังไม่เน้นคุณภาพของการเข้าถึงเท่าที่ควร เช่น การกระจายอาชีพ และสายงาน เป็นต้น


พท.ไม่กลัวพรรคลุงกำนัน ท้าพิสูจน์วัดกันที่ผลเลือกตั้ง

28 ก.พ.61 นายสามารถ แก้วมีชัย อดีต ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย (มปท.) เตรียมตั้งพรรคการเมืองว่า จากข่าวก็เห็นว่าเขาบอกว่าเขาไม่ใช่เป็นคนไปยื่น ถ้ามีก็เป็นคนอื่นที่เป็นกปปส. เชื่อว่าเขาจะออกมาแนวนี้ ทั้งที่จริงๆแล้วก็คือเขานั่นแหละ

อย่างไรก็ตาม หากจะเข้ามาในเส้นทางประชาธิปไตย มีการตั้งพรรคการเมือง แล้วนำเสนอนโยบายให้ประชาชนตัดสินใจเลือก แบบนี้เราก็ยอมรับ ที่ผ่านมาที่ท่านเคยพูดอะไรไว้ ประชาชนเขาจะเห็นเอง การจะเป็นเครื่องมือของใคร หรือสนับสนุนใคร ผลการเลือกตั้งที่ออกมาจะเป็นพิสูจน์เองว่าคนของพรรคที่จะเกิดขึ้นนี้เป็นที่ยอมรับของประชาชนหรือไม่ แต่สำหรับตนยินดีต้อนรับทุกคนทุกพรรคที่จะตั้งขึ้น


ชายญี่ปุ่นอุ้มบุญ 13 คนโนเนมในบ้านเกิด

สำนักข่าวเอพีรายงานระบุว่า นายชิเกตะวัย 28 ปี เป็นบุตรชายคนโตจากทั้งหมดสามคนของนายยาสุมิตสุ ชิเกตะ ผู้ก่อตั้งฮิการิ ซือชิน บริษัทโทรคมนาคมและประกันภัยของญี่ปุ่น มีรายได้ปีละหลายล้านดอลลาร์สหรัฐจากเงินปันผลในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ หนังสือพิมพ์หัวสีพากันรายงานข่าวอย่างครึกโครมหลังจากทางการไทยพบสตรีและเด็กหลายสิบคนที่ห้องชุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯเมื่อปี 2557 และพบว่าเด็กทั้งหมดเกิดจากการอุ้มบุญให้นายชิเกตะ หลังจากนั้นข่าวก็เงียบหายไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งศาลไทยมีคำตัดสินเมื่อวันอังคารให้เขาเป็นบิดาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเด็กทั้งหมดก็ไม่ช่วยให้ความกระจ่างเกี่ยวกับเขามากนัก

หนังสือพิมพ์หัวสีในญี่ปุ่นรายงานในปี 2557 ว่า นายชิเกตะเผยว่าอยากมีลูกให้ได้ 100-1,000 คน เพื่อช่วยดูแลกิจการในครอบครัว เพราะไว้วางใจได้มากกว่าคนนอก และกำลังหาซื้ออุปกรณ์เก็บรักษาเชื้ออสุจิไว้ที่บ้านเพื่อให้มีลูกได้ต่อไปแม้เข้าสู่วัยชรา บริษัทบิดามีบริษัทในเครือกว่า 180 แห่ง ขณะที่เขาเองมีธุรกิจในไทยและกัมพูชา และได้จ้างสตรีอุ้มบุญทั้งสองประเทศ เจ้าของคลินิกในไทยที่หาสตรีอุ้มบุญบางคนให้เขาเผยกับเอพีในปี 2557 ว่า นายชิเกตะบอกว่าอยากมีลูกปีละ 10-15 คน และอยากมีไปเรื่อยๆ จนกว่าจะตาย เขาบอกเธอด้วยว่าอยากลงสมัครรับเลือกตั้งและจะชนะแน่นอนเพราะได้คะแนนเสียงจากครอบครัวที่ใหญ่มาก

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เปิดเผยเอกสารที่แสดงประวัติและสถานะทางการเงินของนายชิเกตะ ว่ามีทรัพย์สินกว่า 4,000 ล้านบาท และระบุว่าเขามีแผนการดูแลบุตรซึ่งระบุว่าเขาต้องการมีบุตรในประเทศไทยจำนวน 20 คน โดยเตรียมหลักทรัพย์ไว้ให้ลูกแต่ละคน เตรียมโอนหลักทรัพย์ให้ลูกคนละกว่า 1 ล้านเยน ในช่วงปี 2555-2557 เขาเดินทางเข้า-ออก ประเทศไทยมากกว่า 60 ครั้ง


รถนักท่องเที่ยวชนบรรทุกใน'กัมพูชา' เจ็บ 19 รายมีชาวไทยด้วย 3 คน

27 ก.พ.61 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน เกิดอุบัติเหตุรถโดยสารนักท่องเที่ยวชนเข้ากับรถบรรทุก ในจังหวัดกำปงจาม ประเทศกัมพูชา เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น ส่งผลให้คนขับรถชาวกัมพูชาเสียชีวิต นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้รับบาดเจ็บ 19 คน ในจำนวนนี้เป็นชาวไทย 3 คน

โดยรถนักท่องเทมี่ยวกำลังมุ่งหน้าจากจังหวัดเสียมราฐ ไปยังกรุงพนมเปญ ก่อนชนเข้ากับรถบรรทุกที่วิ่งมาทางเดียว แต่รถบรรทุกได้เลี้ยวกลับทำให้รถนักท่องเที่ยวชนเข้ากลางคัน สำหรับผู้ได้รับบาดเจ็บมีชาวเยอรมนี 4 คน อังกฤษ 3 คน ไทย 3 คน ฝรั่งเศส 2 คน อิสราเอล 2 คน จีน 1 คน และชาวกัมพูชา 4 คน ส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่มี 2 อาการสาหัส ทั้งหมดถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษาแล้ว

เฟซบุ๊กปิดเพจ'พระวีระธุ' พระสงฆ์หัวรุนแรงชื่อดังชาวเมียนมา

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 28 ก.พ. เฟซบุ๊กออกแถลงการณ์เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ว่าหนึ่งในมาตรฐานสำคัญของเฟซบุ๊กคือการไม่อนุญาตให้องค์กรและบุคคลใดก็ตาม ปลุกระดมความเกลียดชัง และกระตุ้นการใช้ความรุนแรงระหว่างบุคคลผ่านแพลตฟอร์มของเฟซบุ๊ก โดยหากพบว่ามีการฝ่าฝืน ขอบเขตการดำเนินการของเฟซบุ๊กมีตั้งแต่การระงับเข้าถึงบัญชีที่สร้างความแตกแยก หรือการปิดบัญชีนั้น "เป็นการถาวร"

ขณะที่แหล่งข่าวในเฟซบุ๊ก เปิดเผยว่า บัญชีผู้ใช้งานของพระวีระธุ พระสงฆ์ชื่อดังชาวเมียนมา ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกขนานนามว่า "บิน ลาเดน แห่งเมียนมา" จากการเคยโพสต์ข้อความเชิงต่อต้านชาวมุสลิมบนเพจของตัวเองหลายครั้ง ที่รวมถึงการเรียกร้องให้รัฐบาลเมียนมา "จำกัดจำนวนประชากรมุสลิม" ถูกปิดตั้งแต่ปลายเดือนม.ค. ที่ผ่านมา

ด้านพระวีระธุยังไม่แสดงท่าทีต่อรายงานดังกล่าว แต่เคยโพสต์คลิปบนเฟซบุ๊กเมื่อปลายปีที่แล้ว ว่าถูกระงับการใช้งานบัญชีเป็นเวลา 30 วัน ซึ่งเป็นผลจากการที่ "เพซบุ๊กถูกยึดครองโดยชาวมุสลิม"

ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวของเฟซบุ๊กที่มีต่อพระวีระธุในครั้งนี้ เกิดขึ้นเกือบ 1 ปีหลังมหาเถรสมาคมเมียนมามีมติเมื่อเดือนมี.ค. ปีที่แล้ว ห้ามพระวีระธุทำการเทศนาและปราศรัยทั่วประเทศเป็นเวลา 1 ปี และมีคำสั่งให้องค์กรพระสงฆ์ชาตินิยมสุดโต่ง "มะบะธะ" ที่พระวีระธุเป็นสมาชิก ยุติกิจกรรมภายในเดือน ก.ค. ปีเดียวกัน