ข่าว
ยึดอาวุธสงคราม โยง 6 คนไทยค้าอาวุธอเมริกา

เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 7 มิ.ย.พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผบก.ป. พ.ต.อ.อัครเดช พิมลศรี รองผบก.ป พ.ต.ท.โสจิรัตน์ โลหะเนตร สว.กก.2 บก.ป.พร้อมเจ้าหน้าที่บก.ป.นำหมายค้นศาลอาญารัชดาภิเษกเลขที่ 202/2556 ลงวันที่ 7 มิ.ย. 2556 เข้าค้นบ้านเลขที่ 123/316 ซอยสวิทช์ทาวน์ 1 หมู่บ้านบ้านกลางเมือง เกษตร-นวมินทร์ ซอยประเสริฐมนูกิจ 25 แขวงจรเข้บัว เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ หลังสืบทราบว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นของ นายนริศ เลขะกุล อายุ 42 ปี ซึ่งเป็นหัวหน้าแก๊งคนไทย 6 คนที่ถูกจับที่สหรัฐอเมริกา คดีร่วมกันค้าอาวุธปืน

ที่เกิดเหตุบ้านหลังดังกล่าวเนื้อที่ 22 ตารางวา สูง 3 ชั้น พบอาวุธสงคราม ทั้งปืนกล ปืนเล็กยาว ปืนโบราณรุ่นสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีทั้งปืนสไนเปอร์ซึ่งมีทะเบียนเป็นของไทย เจ้าหน้าที่จะได้ตรวจสอบว่ามีการสวมทะเบียนหรือไม่ ปืนทราโว่ และเครื่องกระสุนปืน อุปกรณ์อะไหล่ปืนที่ถูกออกเป็นชิ้น ๆ จำนวนมาก โดยพบที่ชั้น 2 ชั้น 3 ของบ้าน และตามชั้นต่าง ๆ พร้อมกันนี้เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวคนใช้ของบ้านซึ่งเป็นคนต่างด้าว 2 คนจากการสอบปากคำ พบว่าตัวนายนริศไม่ได้พักที่บ้านหลังนี้นานแล้ว

พล.ต.ต.สุพิศาลกล่าวว่า ทางผบ.ตร.สั่งการให้กองปราบเข้ามาดูแลคดีดังกล่าว โดยได้รับการประสานงานจากทางสหรัฐอเมริกา หลังจากหน่วยไอซ์ กรมไปรษณีย์และผู้ตรวจการแผ่นดินของอเมริกาจับกุม 6 คนไทยได้ โดยมีนายนริศ เลขะกุล เป็นหัวหน้าแก๊ง ซึ่งถูกจับกุมได้ที่สนามบินเมืองซีเอตเติ้ล เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.ที่ผ่านมา ทางกองปราบจึงออกหาข่าวตรวจสอบบ้านของนายนริศและบ้านแม่ของคนไทยที่ถูกจับกุมทั้งหมด

พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวต่อว่า วันนี้เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบบริษัทของนายนริศที่ส่งออกและนำเข้าโคมไฟย่านบึงกุ่ม จากการตรวจค้นไม่พบอาวุธปืน แต่มีเหตุต้องสงสัย คือมีการเคลื่อนย้ายซีพียูคอมพิวเตอร์ และมีร่องรอยการถ่ายเทเคลื่อนย้ายวัตถุ เจ้าหน้าที่จึงสืบสวนพบบ้านของนายนริศ จึงไปขออำนาจศาลอาญาเพื่อเข้าค้น พบอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนเป็นจำนวนมาก บางส่วนเป็นปืนประกอบจากอะไหล่ มีการนำเข้าส่งออกในลักษณะเป็นพัสดุแยกเป็นชิ้นส่วน โดยมีทั้งวัสดุเครื่องกระสุนปืน ลำกล้อง ปิดบังอำพรางมาในพัสดุอ้างว่าเป็นที่เปิดขวด ปากกาเลเซอร์ อยู่บริเวณชั้น 2 และชั้น 3 ของบ้าน

ผบก.ป.เปิดเผยอีกว่า เจ้าหน้าที่ตรวจสอบว่าของกลางดังกล่าวนายนริศสะสมไว้เหตุใด เอามาใช้ทำไม และมีการซื้อขายหรือไม่ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่พบคอมพิวเตอร์ในบ้านหลังดังกล่าว เจ้าหน้าที่จะยึดไปตรวจสอบหาเส้นทางการเงิน ตรวจสอบเว็บไซต์ www.gun.in.th ซึ่งเป็นเว็บที่ขายอาวุธปืน เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบว่านายนริศเกี่ยวข้องกับการซื้อขายอาวุธปืนหรือไม่ และขยายผลว่ามีเครือข่ายอยู่อีกหรือไม่ รวมถึงตรวจสอบฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์หาหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้

“บ้านหลังดังกล่าวเป็นที่เก็บของมา 3 ปี เจ้าหน้าที่พบว่าแม็กกาซีนและลำกล้องที่พบตรงกับของกลางที่อเมริกายึดมาได้ ซึ่งของกลางทั้งหมดมีการทยอยนำเข้าจากอเมริกา เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหานำเข้าอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตและจะส่งรายละเอียดของคดีนี้ให้กับทางสหรัฐอเมริกาต่อไป” พล.ต.ต.สุพิศาลกล่าว

นอกจากนี้ผบก.ป.ยังกล่าวอีกว่า เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบแปลนบ้านหลังพบว่าที่ชั้น 3 มีการทำฝ้าใหม่ จะได้ประสานอีโอดีและเจ้าหน้าที่พฐ.มาตรวจสอบว่ามีการซุกซ่อนอาวุธปืนอีกหรือไม่ และจะตรวจสอบหลังพบว่านายนริศยังมีน้องชื่อนายนเรศ เลขะกุล อายุ 36 ปี อีกว่ามีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่อย่างไร

ยึดมายบัค50ล้าน บิ๊กไบก์หรูคิวต่อไป

ค้น 4 จุดทั่วกรุงโยงคดีเผารถหรู ดีเอสไอจัดทีมลงมือแต่เช้ามืดทั้งบ้านเศรษฐินี เจ้าของบริษัทจดประกอบรถยนต์นำเข้า และโรงงานนำเข้าอะไหล่อีก 3 แห่ง ยึดเบนซ์ 3 คัน มายบัคอีก 2 คัน โดยรถมายบัคไม่มีใครมาแสดงตัวเป็นเจ้าของทั้งๆ ที่ราคาคันละหลายสิบล้านบาท เศรษฐินีแจงวุ่นไม่เกี่ยวลัมโบร์กินีที่ถูกไฟเผา แต่รับเคยมีคนนำเอกสารและโครงรถมาจ้างทำ แต่ปฏิเสธไป "ธาริต"ถก 5 หน่วยงานลุยตรวจสอบรถหรูกว่า 10,000 คัน ทั้งที่ผ่านมาจดทะเบียนแล้ว และรอจดอยู่ เรียกเจ้าของรถนำเอกสารมาชี้แจง และตรวจสภาพซ้ำว่าทำถูกต้องหรือไม่ เตรียมลุยต่อจยย.บิ๊กไบก์ ที่ตอนนี้กำลังฮิตจดประกอบ พบมีวิธีการซิกแซ็กเลี่ยงภาษีคล้ายๆ กัน

ความคืบหน้าตรวจสอบรถหรูเลี่ยงภาษี เมื่อเวลา 05.00 น. วันที่ 6 มิ.ย. พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผู้บัญชาการสำนักปฏิบัติการคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เรียกประชุมชุดปฏิบัติการพิเศษ วางแผนเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายซึ่งใช้เป็นสถานที่ประกอบรถยนต์หรู จำนวน 4 จุด เพื่อหาหลักฐานเกี่ยวกับกรณีเหตุไฟไหม้รถหรูที่จ.นคร ราชสีมา ใช้เวลาประมาณ 20 นาที

โดยเป้าหมาย 4 จุดซึ่งเกี่ยวข้องกับรถ ลัมโบร์กินี สีขาว ประกอบด้วย บริษัท เจเอ็ม ดับบลิว มอเตอร์ส ย่านลำปลาทิว, บริษัท ทีเอเอ็น เอ็กซ์เพรส ย่านลำปลาทิว, บริษัท พอใจ ออโต้พาร์ท จำกัด ย่านโชคชัย 4 และ บ้านพักของนางพรพิมล เคหะฐาน กรรมการผู้จัดการบริษัท ธรรมะมอเตอร์ริช จำกัด ย่านลำผักชี

ต่อมาเจ้าหน้าที่แยกย้ายออกตรวจค้น จุดแรก พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ ดีเอสไอ นำหมายค้นศาลอาญา เข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 58/249 หมู่ 3 แขวง ลำผักชี เขตหนองจอก กทม. ของนางพรพิมล หลังพบหลักฐานว่าบริษัทดังกล่าวอาจจะมีส่วนในการนำเข้าและจดประกอบรถลัมโบร์กินี สีขาว มีนางพรพิมลพาเข้าตรวจค้น พบเอกสารที่เกี่ยวกับการซื้อขายรถยนต์จำนวนมาก แผ่นป้ายทะเบียน 4 แผ่น คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก 2 เครื่อง จึงยึดไว้ และตรวจยึดรถเบนซ์สปอร์ต สีขาว ทะเบียน ฐบ 35 กทม. 1 คัน ของนางพรพิมล เพื่อนำมาตรวจสอบ นอกจากนี้ยังพบรถจักรยานยนต์หรูขนาดใหญ่ หรือบิ๊กไบก์ ยี่ห้อดูคาติ และฮอนด้า ซีบีอาร์ 1,000 ซีซี แต่นางพรพิมลนำเอกสารมาชี้แจงว่าเป็นรถของลูกชายซื้อมาอย่างถูกต้อง มีเอกสารการจดประกอบชัดเจน

จากนั้นนางพรพิมลพาเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบเอกสารภายในบริษัท ธรรมะมอเตอร์ริช จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม ลาดกระบัง ซึ่งเป็นสถานที่รับจดทะเบียนรถยนต์ขนาดเล็ก โดยกล่าวว่าสำหรับรถลัมโบร์กินี สีขาว มีนายเป้ ที่ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว นำเอกสารมายื่นให้ช่วยจดทะเบียน แต่เมื่อ ตรวจสอบเอกสารแล้วไม่สามารถทำได้ เนื่องจากเครื่องมือไม่พร้อม และไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะจดทะเบียนรถซูเปอร์คาร์ ทางบริษัทจึงได้ส่งเอกสารคืนไปตั้งแต่เดือนต.ค. พ.ศ.2555

"บริษัทไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประกอบ รถลัมโบร์กินี สีขาว และตามข้อเท็จจริงแล้วการจดประกอบรถลัมโบร์กินีนั้นไม่มีบริษัทใดในประเทศไทย จะมีเครื่องมือพอที่จะสามารถจดประกอบรถประเภทนี้ได้ ที่ผ่านมาบริษัทรับจดประกอบเฉพาะรถขนาดเล็กเท่านั้น อาทิ นิสสันคิวบ์ โฟล์ก และแลนด์โรเวอร์ เท่านั้น ขั้นตอนการจดประกอบ จะนำอะไหล่จาก 3 บริษัท ประกอบด้วย เจเอ็มดับบลิว มอเตอร์ส, ทีเอเอ็น เอ็กซ์เพรส และบริษัท พอใจ ออโต้พาร์ท จำกัด มาจดประกอบ ก่อนส่งเรื่องไปยังกรมสรรพสามิตเพื่อเสียภาษี ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายทุกคัน" นางพรพิมลกล่าว

จุดที่ 2 พ.ต.ท.วิจิตร์ ชาติกิจเจริญ รองผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ นำกำลังเข้าตรวจค้น บริษัท เจเอ็มดับบลิว มอเตอร์ส ภายในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง พบรถต้องสงสัย ยี่ห้อเบนซ์ รุ่นอี 250 ประกอบเสร็จเรียบร้อย 2 คัน โครงรถยนต์ยี่ห้อ เฟอร์รารี่, บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7 และรถหรูอีกจำนวนมาก นอกจากนี้ยังพบซากรถและอะไหล่ จึงตรวจยึดไว้ โดยไม่มีผู้ใดมาแสดงตัวเป็นเจ้าของโรงงาน พบเพียงแรงงานต่างด้าวทำหน้าที่เฝ้าโรงงานเพียง 1 คน

จุดที่ 3 เข้าตรวจค้น บริษัท ทีเอเอ็น เอ็กซ์เพรส จำกัด บริษัทนำเข้าเครื่องยนต์ ย่านถนนพระราม 5 และมีโกดังอยู่ย่านกระบัง ภายในโกดังพบซากรถเบนซ์ หมายเลขทะเบียน น 8640 กทม. ที่ถูกไฟไหม้ ชิ้นส่วนและอะไหล่รถจำนวนมาก นอกจากนี้พบรถหรูแพงระยับ ยี่ห้อ "มายบัค" ที่ประกอบเสร็จเรียบร้อย 2 คัน ราคาคันละไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท สุราและไวน์ต่างประเทศกว่า 2,000 ลัง และจุดที่ 4 บริษัท พอใจ ออโต้พาร์ท ย่านโชคชัย 4 พบเพียงชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ และเครื่องมือ เท่านั้น

ต่อมานายธาริต แถลงผลการเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 4 จุดว่า พนักงานสอบสวนกระจายกำลังตรวจค้นเพื่อหาความเชื่อมโยงของรถลัมโบร์กินีที่ถูกไฟไหม้ว่าเป็นรถจดประกอบจริงหรือไม่ ซึ่งได้ข้อเท็จจริงชัดเจนว่าเป็นรถที่นำเข้ามาทั้งคัน เพราะหากเป็นการนำอะไหล่เข้ามาประกอบใหม่สถานที่ประกอบรถคงไม่มีสภาพเป็นเพียงโกดักเล็กๆ ซึ่งไม่สามารถประกอบรถยนต์ที่มีความเร็วสูงอย่างลัมโบร์กินีได้ พร้อมกันนี้พนักงานสอบสวนนำนางพรพิมล และนายกนกวิน แก้วทิ้ง เจ้าของบริษัท พอใจ ออโต้ฯ ที่เป็นผู้จำหน่ายเครื่องยนต์รถจดประกอบมาสอบปากคำในฐานะพยาน ก่อนพิจารณาแจ้งข้อหาต่อไป

"ผลการตรวจค้นถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะพบว่าโกดังที่อยู่บริเวณบ้านนางพรพิมล ไม่มีสภาพเป็นที่จดประกอบรถหรูได้ นอกจาก นี้ยังพบเอกสารเป็นรายการสั่งซื้อรถหรูอีกหลายรายการอาทิ ลัมโบร์กินี โรลสรอยซ์ เฟอร์รารี่ บีเอ็มดับเบิลยู ซึ่งดีเอสไอจะขยายผลต่อไป"อธิบดีดีเอสไอ กล่าวและว่า การตรวจค้นทั้ง 4 จุดยึดรถต้องสงสัยได้อีก 5 คัน แบ่งเป็นรถเบนซ์ 3 คัน มายบัคอีก 2 คัน รวมถึงสุราต่างประเทศยี่ห้อเรดกว่า 2,000 ลัง หรือกว่า 24,000 ขวด พร้อมไวน์อีกจำนวนหนึ่ง ผู้ที่เฝ้าสินค้าอ้างว่าเป็นสินค้าถูกต้องเตรียมนำส่งออกต่างประเทศ แต่พบว่าอากรแสตมป์เป็นของประเทศมาเลเซีย จึงต้องสงสัยว่าน่าจะเป็นสินค้าเลี่ยงภาษี

พร้อมกันนี้นายธาริต ร่วมประชุมกับ 5 หน่วยงาน ประกอบด้วย กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กรมการขนส่งทางบก และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เพื่อดำเนินคดีกับรถหรูเลี่ยงภาษีศุลกากรและภาษีสรรพสามิต ทำให้รัฐสูญเสียผลประโยชน์ไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท

นายธาริตกล่าวว่า ที่ประชุมหารือเกี่ยวกับรถหรูที่ถูกไฟไหม้ทั้ง 6 คัน ที่ จ.นครราชสีมา และรถที่ยื่นจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกมีจำนวนทั้งสิ้น 6,862 คัน และอยู่ระหว่างรอจดทะเบียนอีกกว่า 3,000 คัน รวมเป็นยอดรถที่หลบเลี่ยงภาษีกว่า 10,000 คัน ซึ่งหลังจากนี้ดีเอสไอจะสนธิกำลังร่วมกับอีก 5 หน่วยงานเข้าตรวจสอบ นอกจากนี้ยังมีมติดำเนินคดีกับรถจดประกอบที่เข้าข่ายผิดกฎหมายซึ่งจดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 53-31 พ.ค. 56 สำหรับเหตุที่ต้องเริ่มตรวจสอบรถตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่มีตัวรถจดประกอบที่ชัดเจนเพิ่งตรวจสอบพบว่ามีการกระทำผิดเมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา จึงตั้งต้นตรวจสอบในเฉพาะช่วงดังกล่าว

"การตรวจสอบจะแบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะแรกตรวจสอบรถจดประกอบที่มีมูลค่า 4 ล้านบาทขึ้นไป กรมการขนส่งทางบกจะจำแนกว่ามีการจดทะเบียนที่ไหน ใครเป็นผู้ครอบครองคนปัจจุบัน ซึ่งในจำนวนนี้คือกลุ่ม 6,862 คัน ส่วนระยะที่สองคือการตรวจสอบรถจด ประกอบกว่า 3,000 คัน ที่อยู่ระหว่างยื่นการขอเสียภาษีกับสรรพสามิต ซึ่งจะได้ตัวเลขที่ชัดเจนในวันที่ 10 มิ.ย.นี้ หลังจากนั้นดีเอสไอจะออกหมายเรียกผู้ครอบครองคนสุดท้ายให้นำรถมาตรวจสอบเอกสารและสภาพรถควบคู่กันไป หากพบการกระทำความผิดผู้ครอบครองจะต้องถูกดำเนินคดี" อธิบดีดีเอสไอกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า รถหรูซึ่งนำไปติดแก๊สเพื่อเลี่ยงภาษีจะดำเนินการอย่างไร นายธาริตกล่าว ว่า กฎหมายอนุญาตให้ทำได้ แต่มีระเบียบรัดกุมมาก กรณีที่หากเกิดความผิดพลาดจะถือเป็นเรื่องความผิดของเจ้าหน้าที่ซึ่งต้องตรวจสอบต่อไป ส่วนกรณีที่ตรวจสอบพบความผิดปกติของรถหรูเลี่ยงภาษีจำนวนมาก ขอชี้แจงการทำงานของระบบศุลกากรว่าต้องเน้นความรวดเร็ว คล่องตัวตามหลักมาตรฐานสากล แต่หากตรวจสอบแล้วพบว่าไม่ตรง มีการสำแดงเท็จ ผู้ประกอบการต้องรับผิดชอบด้วยการจ่ายภาษีคืน และหากมีเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องจะส่งเรื่องต่อให้ป.ป.ช.ดำเนินการตามขั้นตอน

ด้านนายราฆพ ศรีศุภอรรถ รองอธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่าการตรวจสอบสินค้าของเจ้าหน้าที่ศุลกากร ปกติจะตรวจสอบสินค้าทั้งหมดทุกตู้คอนเทนเนอร์ไม่ได้ ที่ผ่านมาเคยตรวจรถนำเข้าจำนวนมากส่วนใหญ่พบว่าถอดชิ้นส่วนเข้ามา แต่บางส่วนก็นำเข้ามาทั้งคัน ตำรวจและศุลกากรเคยจับรถที่นำเข้ามาปีละ 200-300 คัน และหากพบว่ารถที่นำเข้ามาเลี่ยงภาษี ทางศุลกากรเรียกภาษีคืนก็มี ส่วนการเรียกเก็บภาษีย้อนหลังยังอยู่ระหว่างติดตามและแก้ไขปัญหา

ด้านพ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร กล่าวว่าหลังจากเสร็จสิ้นการตรวจสอบรถหรูทั้งหมดแล้วก็จะดำเนินการต่อเกี่ยวกับการนำเข้า จดประกอบรถจักรยานยนต์กลุ่มนี้ต่อ เนื่องจากพบว่ารูปแบบการนำเข้าและจดประกอบเหมือนกับรถหรู และกำลังเป็นที่นิยมมากในขณะนี้

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมต.คมนาคม กล่าวว่าให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งตรวจสอบเอกสาร หลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับรถ ซูเปอร์คาร์ ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้เกิดความชอบธรรม หากพบเจ้าหน้าที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีผลประโยชน์แอบแฝง จะต้องถูกดำเนินสอบสวนเอาผิดทางวินัย และอาญาอย่างเด็ดขาด ในส่วนนี้เป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงของอธิบดีกรมขนส่งทางบก อย่างเช่นที่กรณีจังหวัดศรีสะเกษ นำเรื่องทั้งหมดเข้ามาไว้ที่ส่วนกลางเพื่อดำเนินงานจะได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ยืนยันว่าหากจังหวัดใดที่มีปัญหาเดียวกันกับจังหวัดศรีสะเกษ จะถูกดำเนินการเช่นกัน

นายชัชชาติกล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันที่ 7 มิ.ย. จะลงนามในร่างประกาศกฎกระทรวงงดรับจดทะเบียนรถที่ประกอบจากชิ้นส่วนของรถที่ใช้แล้วนำเข้ามาจากต่างประเทศ ภายหลังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ส่งร่างดังกล่าวกลับมายังกระทรวงคมนาคมแล้ว จากนั้นจึงจะส่งกลับไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาบังคับใช้ตามกฎหมายต่อไปเร็วๆ นี้

นายสมชัย ศิริวัฒนโชค อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กล่าวว่า เมื่อประกาศกฎกระทรวงฯ มีผลบังคับใช้ ผู้นำเข้าชิ้นส่วนเพื่อขอยื่นเป็นรถจดประกอบ ต้องเร่งดำเนินการให้ถูกต้องภายใน 1 ปี หากพ้นจากระยะเวลาที่กำหนดจะไม่รับจดทะเบียนรถจดประกอบอีกต่อไป

นายอัษฌไธค์ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า สาระสำคัญของร่างประกาศดังกล่าว จะมีผลบังคับใช้กับรถ 4 ประเภท คือ 1.รถยนต์นั่งขนาดไม่เกิน 7 ที่นั่ง (รถยนต์) 2.รถยนต์นั่งเกิน 7 ที่นั่ง (รถตู้) 3.รถบรรทุกส่วนบุคคล (รถปิกอัพ) และ 4.รถจักรยานยนต์ ในส่วนของการนำอุปกรณ์รถเก่าที่นำเข้าเป็นชิ้นส่วนจดประกอบนั้น ทางกระทรวงพาณิชย์ได้ออกประกาศกำหนดให้ตัวถังรถยนต์ใช้แล้ว และรถจักรยานยนต์ใช้แล้ว ห้ามนำเข้าในราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 27 มิ.ย. 2555 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย. 2555 ดังนั้นส่วนที่นำเข้ามาก่อนหน้านี้จะต้องเร่งดำเนินการเพื่อยื่นขอจดทะเบียนให้เรียบร้อยตามกรอบเวลาที่กำหนด

“ประสงค์”ปัดอยู่แก๊งค์ล้มรัฐบาล แต่อยู่ข้างกลุ่มต้านระบอบทักษิณ

(7 มิ.ย.) ที่ท้องสนามหลวง น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ให้สัมภาษณ์ตอบโต้กรณีที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่ามีกลุ่มจ้องล้มรัฐบาล ซึ่งมีคนมือสั่นอยู่ในขบวนการด้วย ว่า ร.ต.อเฉลิม ยังไม่ได้กล่าวถึงชื่อตน จึงไม่อยากชี้แจงอะไร นอกจากอยากให้สำนึกว่าการชี้นิ้วด่าคนอื่น ต้องย้อนดูตัวเองว่าเป็นอย่างไร และการชี้นิ้วว่าคนอื่นโดยใช้อักษรย่อหรือระบุว่ามือสั่นบ้างนั้น จะเป็นการทำให้สังคมสับสน แต่คนที่เป็นนักการเมืองต้องคำนึงหลายอย่าง และในใจต้องมีคุณธรรมจริยธรรมบ้าง

"การพูดจาเลอะเทอะจะสร้างปัญหาให้บ้านเมือง ถือเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ผมอยากพูดเท่านี้ แต่ถ้าเอ่ยชื่อผมเมื่อไหร่ จะพูดมากกว่านี้”น.ต.ประสงค์ กล่าวและว่า กรณีที่นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ผู้อำนวยการสำนักข่าวทีนิวส์ ชี้แจงว่าเคยพบกับตนเพียง 2 ครั้งนั้น ตนยืนยันว่าเป็นความจริง และตนก็ไม่เคยไปกินข้าวที่ถนนสุขุมวิท เพราะตนไม่มีเงินขนาดนั้น

เมื่อถามว่ามองการทำงานของรัฐบาลเป็นอย่างไร น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้เป็นขี้ข้าของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งตนไม่ได้พูด แต่คนในรัฐบาลเป็นคนพูดเอง และหัวหน้าฝ่ายบริหารเป็นใคร ก็รู้กันอยู่ บริหารงานมา 2 ปี ทำเรื่องขัดรัฐธรรมนูญหลายอย่าง เช่น ตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 75 ระบุไว้ให้รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว ยังต้องแถลงผลงานหรือความคืบหน้าของนโยบายด้วย ซึ่งผ่านมา 2 ปีแล้วยังไม่มีการแถลงเลยสักครั้ง

ต่อข้อถามว่ามีขบวนการจ้องล้มรัฐบาลหรือไม่ น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า ตนมองว่าไม่ใช่การจ้องล้มรัฐบาล แต่เป็นการลุกขึ้นสู้ของประชาชนหลายกลุ่ม แต่เป้าหมายเดียวกันที่ไม่ต้องการให้รัฐบาลชุดนี้บริหารต่อไป เพราะมองว่าการบริหารที่ผ่านมาเป็นการทำเพื่อพวกพ้อง ไม่เคารพกฎหมาย และมีการทุจริตคอรัปชั่น ทั้งโครงการรับจำนำข้าว หรือกระทั่งโครงการบริหารจัดการน้ำ ตนยังมีเรี่ยวแรงมีความคิด และทำงานเพื่อประเทศมาตลอด หากมีโอกาสทำอะไรให้ประชาชนได้ตนก็พร้อม ส่วนที่ระบุว่าพวกตนจะล้มรัฐบาลนั้น ตนขอบอกว่ารัฐบาลทำลายตัวเองไม่ต้องไม่ใครไปล้ม และตนจะอยู่เคียงข้างกับประชาชนที่ต่อต้านระบอบทักษิณ ส่วนจะดำเนินการอย่างไรก็ต้องดำเนินการต่อไป โดยตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย.นี้ ก็จะเห็นพลังมวลชนออกมาเคลื่อนไหวในหลายแห่งต่อเนื่องมากขึ้น ตนไม่ใช่หมอดู แต่จากการวิเคราะห์เวลาของรัฐบาลหมดแล้ว

เมื่อถามว่าถ้ามีมวลชนฝ่ายตรงข้ามออกมาเคลื่อนไหวอาจเกิดการปะทะกัน น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบ เพราะเป็นผู้ที่สร้างมวลชนขึ้นมาก่อกวน ทำให้กลุ่มที่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญได้รับความเสียหาย เมื่อถามย้ำว่าอาจเป็นชนวนให้ทหารออกมา น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า อย่ามองเช่นนั้น เพราะเป็นเพียงเหตุผลของผู้ที่ต้องการว่าทหาร ตนเคยเป็นทหารและยังมีเพื่อนทั้งปลดประจำการแล้ว และยังประจำการอยู่ ซึ่งเรามีจิตสำนึกตรงกันว่า หน้าที่ของทหารที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 77 ระบุว่าทหารมีหน้าที่รักษาอธิปไตย ดินแดน และปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และปกป้องผลประโยชน์ประเทศชาติและประชาชน.