ข่าว
ยิ่งลักษณ์ ขำก๊าก ถูกเด็กถาม ชอบนายกฯประยุทธ์รึเปล่า?

"ปู" เหวอ-หัวเราะลั่น หลังถูกเด็กชายถาม "ชอบนายกฯประยุทธ์หรือเปล่า" กลางงานเลี้ยง "5 ล้านไลค์" เพจเฟซบุ๊ก "Yingluck Shinawatra" พร้อมตอบกลับ "ช่วงนี้ท่านเป็นผู้นำ เราไม่มาเทียบกัน"

วันนี้ (31 มี.ค.) มีการเผยแพร่คลิปเหตุการณ์ในงานเลี้ยง "5 ล้านไลค์" แฟนเพจเฟซบุ๊ก "Yingluck Shinawatra" ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีขึ้นเมื่อวานนี้ (30 มี.ค.) โดยมีเด็กรายหนึ่งถาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่า "อยากถามว่านายกฯปู ชอบ-ไม่ชอบ นายกฯประยุทธ์ หรือเปล่าครับ" ทำให้อดีตนายกฯมีอาการเหวอแล้วก็หัวเราะลั่น พร้อมกับตอบว่า "เป็นคำถามที่ยากที่สุด คืออย่างงี้ลูก พอดีช่วงนี้ท่านทำงานอยู่ ท่านเป็นผู้นำ เราไม่มาเทียบกัน" ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวสร้างเสียงหัวเราะให้คนในงานเป็นอย่างมาก

ตรวจซากเบนซ์ สมรรถนะสมบูรณ์ ยันไร้กล่องดำ-รอผลเลือด 'เจนภพ'

ตำรวจพระนครศรีอยุธยา ร่วม พฐ. จนท.ฮ่องกง ตรวจซากเบนซ์ชนฟอร์ด พบสมรรถนะสมบูรณ์ ยัน ไม่มีกล่องดำในรถ ขณะยังชี้ไม่ได้ใช้ความเร็วเท่าใด ด้านผลเลือด "เจนภพ" รออีก 2-3 วัน เผย ส่งฟ้องทันสิ้นเดือนนี้แน่

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 1 เม.ย. 59 ที่ สภ.พระอินทร์ราชา ต.เชียงรากน้อย อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา พ.ต.อ.สุรินทร์ ทับพันบุบผา รอง ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา ในฐานะหัวหน้าชุดสอบสวนคดีที่ นายเจนภพ วีรพร เสี่ยนำเข้ารถหรู ซิ่งรถเบนซ์สีดำ ทะเบียน ษง 3333 กรุงเทพมหานคร พุ่งชนท้ายรถยนต์ฟอร์ด เฟียสต้า ทะเบียน ฆย 6911 กรุงเทพมหานคร จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย พร้อมด้วย พ.ต.อ.เอกราช อุ่นเจริญ รรท.ผกก.สภ.พระอินทร์ราชา, เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเบนซ์จากประเทศฮ่องกง และเจ้าหน้าที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 1 จ.ปทุมธานี ลงพื้นที่ตรวจสอบซากรถเบนซ์ โดยมีมูลนิธิร่วมกตัญญู นำเครื่องตัดถ่างร่วมเก็บและตรวจข้อมูลตามจุดต่างๆ กว่า 50 จุด ใช้เวลากว่า 3 ชม.

พ.ต.อ.เอกราช กล่าวภายหลังการตรวจสอบว่า ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศฮ่องกง ตรวจสอบแล้วผลปรากฏว่า อุปกรณ์ในรถใช้ได้ดีทุกอย่าง สมรรถนะของรถสมบูรณ์ไม่สึกหรอ ทุกอย่างปกติ ไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่ารถวิ่งด้วยความเร็วเท่าใด และในรถเบนซ์ไม่มีกล่องดำตามที่เป็นกระแสในโซเชียล ส่วนกรณีอื่นๆ ให้พนักงานสอบสวนว่าไปตามกฎหมาย

สำหรับผลการตรวจเลือด รพ.สมิติเวช แจ้งว่าจะทราบผลในวันที่ 3 หรือ 4 เม.ย. นี้ ขณะทางด้านคดี พนักงานสอบสวนจะรวบรวมพยานหลักฐานส่งฟ้องทันภายในสิ้นเดือน เม.ย. นี้แน่นอน.


สื่อนอกรุมตอม นักข่าวขันแดง อยากรู้ทหารเรียก ไปทำอะไร

กลายเป็นคนดังไปแล้ว นักข่าวขันแดง เชียงใหม่ หลังทหารเชิญไปเข้าค่าย สื่อนอกส่อในรุมตอม อยากรู้ถูกเรียกไปทำอะไร เจ้าตัวยืนยันรายงานตามข้อเท็จจริง ประเด็นเป็นเรื่องเล่นน้ำสงกรานต์อย่างประหยัด ไม่เกี่ยวกับการเมือง...

กรณี ‘ข่าวขันแดง’ และแผ่นกระดาษอวยพรปีใหม่เมือง 2559 ที่มีข้อความและรูปถ่ายของอดีตนายกรัฐมนตรี นายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งต่อมามีการนำรูปสาวเชียงใหม่ถือขันแดงมาลงในเฟซบุ๊ก และกลายเป็นข่าว ทำให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเห็นเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงภายในประเทศ จึงได้มีคำสั่งให้มีการดำเนินคดีกับสาวเชียงใหม่ที่ถือขันแดงและแผ่นคำอวยพรโดยใช้มาตรา 116 ดำเนินคดีทางศาลทหาร ต้องใช้หลักทรัพย์เงินสดจำนวน 100,000 บาทประกันตัวไป พร้อมกันนี้ ได้ให้ทางตำรวจดำเนินการกับผู้สื่อข่าวที่นำเสนอข่าวนี้ โดยเรียกตัวมาทำประวัติ และสอบถามที่มาขอรูปภาพที่เกิดขึ้น ก่อนที่จะปล่อยตัวออกมา โดยกำชับไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวในการทำข่าวที่ล่อแหลมละเอียดอ่อน ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองอีก

ความคืบหน้าในเรื่องนี้ ที่กลายเป็นหัวข้อ มีการพูดถึง และวิพากษ์วิจารณ์กันในโซเชียล จนตลอดทั้งวันที่ 31 มี.ค.นี้มีผู้สื่อข่าวทั้งสำนักภายในประเทศและต่างประเทศได้ติดต่อสัมภาษณ์ นายชัยพินธ์ ขัติยะ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ประจำจังหวัดเชียงใหม่ ที่ถูกฝ่ายตำรวจนำตัวไปสอบสวนร่วมกับฝ่ายทหาร ในมณฑลทหารบกที่ 33 ค่ายกาวิละ อ.เมืองเชียงใหม่ ถึงขั้นตอนต่างๆในการดำเนินการของฝ่ายทหาร และตำรวจ

ทั้งนี้ นายชัยพินธ์ ได้ให้สัมภาษณ์ความรู้สึกที่ถูกเชิญหรือนำตัวเข้าไปในค่ายทหารว่า ตกใจที่เห็นมีสารวัตรทหารมากันหลายนาย ไม่นึกว่าจะเป็นเรื่องราวที่ใหญ่โต เพราะตำรวจระบุว่าเชิญตัวไปสอบในฐานะพยาน และตามกฎระเบียบใหม่ ทหารมีอำนาจเป็นพนักงานสอบสวนร่วมอยู่แล้ว ซึ่งตนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจริง และระบุว่าข่าวที่รายงานไปทางต้นสังกัดที่กรุงเทพฯ เป็นเพียงข่าวเกี่ยวกับการเล่นน้ำอย่างประหยัดในเทศกาลสงกรานต์เชียงใหม่ เนื้อหาต่างๆ ไม่ได้เป็นการชักจูงในเรื่องการเมือง ซึ่งทางฝ่ายทหารก็เข้าใจ และขอให้ยืนยันว่าไม่ได้เป็นคนถ่ายภาพ ทางนายชัยพินธ์ ก็ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องใดๆ ในการถ่ายภาพ และฝ่ายเจ้าหน้าที่ได้โทรศัพท์ถึงหญิงชาวเชียงใหม่ที่ตกเป็นผู้ต้องหา ซึ่งก็ยืนยันว่านายชัยพินธ์ ไม่ได้ถ่ายภาพ ทางฝ่ายทหารจึงปล่อยตัวออกมา

ขณะเดียวกัน สำนักข่าวต่างประเทศแห่งหนึ่ง ได้ขอสัมภาษณ์ความรู้สึกที่ถูกนำตัวเข้าค่ายทหาร นายชัยพินธ์ บอกว่า ทุกอย่างตนบริสุทธิ์ใจ จึงไม่กลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตัวเอง แต่เสียความรู้สึกในช่วงที่ลงจากรถ เห็นทหารจำนวนมากมารออยู่ และให้ยืนถ่ายรูปทำประวัติ แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี ด้วยเหตุและผล อย่างไรก็ตาม จะทำหน้าที่รายงานข่าวต่อไป ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง

ทางด้าน สาวเชียงใหม่ที่ตกเป็นผู้ต้องหาในมาตรา 116 ทางผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปขอสัมภาษณ์ แต่นางจีรวรรณ ซึ่งอยู่ในช่วงประกันตัวสู้คดี ไม่ขอให้สัมภาษณ์ หรือพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีก บอกเพียงว่า ทางตำรวจให้ไปหาขันแดงและรูปภาพที่ถือในวันเกิดเหตุมาประกอบคดี แต่ตนไม่รู้จะไปหาที่ไหน เพราะหลังที่มีข่าวขันแดงเกิดขึ้น ก็ไม่ใครนำขันอออกมาอีก คงจะนำไปทิ้งหรือซ่อนหมดแล้ว ตนจึงไม่รู้จะไปหาขันที่ไหน ซึ่งก็อยากให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี.


“น้องไบรท์” เอาไม่อยู่ รายการเรื่องเล่าเช้านี้

อาจจะไม่ใช่คนแรก แต่ต้องยอมรับว่า "สรยุทธ สุทัศนะจินดา" คือผู้ที่ทำให้รายการประเภท "เล่าข่าว" ได้รับความนิยมในบ้านเรากระทั่งหลายๆ ช่องต้องนำรูปแบบดังกล่าวมาปรับใช้ตาม

ตลอดระยะเวลากว่า 13 ปีกับการทำรายการ "เรื่องเล่าเช้านี้" ผ่านหน้าจอชนิดที่แทบจะไม่เคยลาป่วย ลากิจ ไม่มีวันหยุดนักขัตฤกษ์ ผลที่ตามมาก็คือตัวเลขเรตติ้งที่ขึ้นไปอยู่ในอันดับต้นๆ และจากเวลายามเช้าที่แทบจะหามูลค่าไม่ได้ กลายเป็นช่วงเวลาเงินเวลาทองของช่อง 3 ชนิดเป็นรองก็แค่ช่วงไพรม์ไทม์ (prime time) มีเจ้าของสินค้าอยากให้สินค้าตัวเองมาโผล่ในรายการแม้จะต้องยอมเสียเงินในหลักแสนก็ตาม

อย่างไรก็ตาม พลันที่ผู้ดำเนินรายการคนดังได้ประกาศยุติบทบาทการทำหน้าที่ผู้ดำเนินรายการ "เรื่องเล่าเช้านี้" มาตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 มีนาคม หลังถูกกระแสกดดันอย่างหนักจากรณีที่ตนเองถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 13 ปี 4 เดือน ในคดีทุจริตเงินค่าโฆษณาจาก อสมท เป็นจำนวนกว่า 138 ล้านบาท โดยไม่รอลงอาญา หลายคนต่างพากันจับตาว่ารายการที่ปราศจากผู้ดำเนินรายการคนดังคนนี้ทำหน้าที่จะเป็นไปในทิศทางใด?

และมันก็เป็นไปตามที่หลายคนคาดหมาย เพราะทันทีที่เจ้าตัวไม่อยู่รายการ "เรื่องเล่าเช้านี้" ก็มีตัวเลขเรตติ้งที่ตกลงทันที โดยมี "เช้านี้ที่หมอชิต" ของช่อง 7 ซึ่งตัวเลขเรตติ้งสูสีกันอยู่ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งแทน (ข่าวช่อง 3 ไร้ “สรยุทธ” เรตติ้งหล่นฮวบ-คนดูหายหลักล้าน)

เบื้องต้นตัวเลขคนดูที่หายไปร่วมล้านแง่หนึ่งอาจจะมองได้ว่าเป็นเพราะผู้ดำเนินรายการร่วมอย่าง "ไบรท์" น.ส.พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ บังเอิญมามีอาการป่วยเป็นไข้เลือดร่วมด้วยพอดี แต่กระนั้นเมื่อเจ้าตัวหายป่วยและกลับมาทำรายการแล้วทว่าเรตติ้งของ "เรื่องเล่าเช้านี้" เองก็หาได้กระเตื้องขึ้นมาแต่อย่างใดและมีทีท่าว่าจะถูกช่อง 7 ทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ อีกต่างหาก

จะด้วยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจแต่ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาด้วยรูปแบบและวิธีการนำเสนอของรายการนั้นสามารถนิยามได้ว่า "สรยุทธ" นั้นคือรายการ "เรื่องเล่าเช้านี้" และ รายการ "เรื่องเล่าเช้านี้" ก็คือตัว "สรยุทธ" เอง

ความนิยมในตัวบุคคล แง่หนึ่งมันคือจุดแข็งโป๊กที่คู่แข่งยากจะเลียนแบบ หากแต่ในทางกลับกันมันก็ได้กลายเป็นจุดอ่อนของรายการนั้นๆ ไปด้วยเช่นกัน

ในขณะที่ช่อง 3 กับ "เรื่องเล่าเช้านี้" ขายความเป็นซูเปอร์สตาร์ของ "สรยุทธ" เหลียวไปมองช่องคู่แข่งอย่างช่อง 7 กับ "เช้านี้ที่หมอชิต" เราจะพบถึงความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากวิกหมอชิตนั้นมีรูปแบบของข่าวในการนำเสนอที่มีไสตล์เป็นของตนเอง มีบรรยากาศที่เป็น "เช้านี้ที่หมอชิต" ไม่ว่าตัวตนคนที่มานั่งเก้าอี้ดำเนินรายการนั้นจะเป็นใคร

ที่สำคัญคือผู้ดำเนินรายการของ "เช้านี้ที่หมอชิต" แต่ละคนที่เข้ามาทำหน้าที่นั้นไม่มีใครพยายามแสดงความเป็นซูเปอร์สตาร์เพื่อให้ตัวเองดูเด่นดูดังกว่าเพื่อนๆ และมีความสามารถที่ใกล้เคียงกันสามารถทำหน้าที่ทดแทนกันได้อย่างไม่รู้สึกถึงความแตกต่างยามเมื่ออีกคนไม่อยู่

เปรียบเทียบให้เห็นภาพ ก็คงจะเหมือนทีมฟุตบอลสองทีมที่ทีมหนึ่งเล่นบอลโดยฝากความหวังเอาไว้กับตัวซูเปอร์สตาร์ แต่กับอีกทีมนั้นเล่นบอลด้วยระบบทีมเวิร์คนั่นเอง

อันที่จริงคนข่าวของช่อง 3 เองที่มีอยู่ หลายต่อหลายคนรวมไปถึงที่ถูกดึงมาอุดรอยรั่ว "สรยุทธ" ในตอนนี้ ทั้ง กุ๊ก กฤติกา, ปิยณี เทียมอัมพร, เจก รัตนตั้งตระกูล ฯ แต่ละคนทั้งชื่อและชั้นก็หาได้ขี้เหร่ เพียงแต่ถึงตอนนี้แต่ละคนไม่สามารถที่จะทำให้รายการนั้นน่าสนใจขึ้นมาแต่อย่างใด

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ ณ วันนี้ช่อง 3 ยังคงเล่นในระบบรูปแบบเดิมโดยการดันผู้ประกาศหญิง "ไบรท์ พิชญทัฬห์" ขึ้นมานั่งทำหน้าที่เป็นลีดเดอร์แทน "สรยุทธ" มีหน้าที่คอยพูด คอยเกริ่น คอยส่ง คอยเลือกประเด็นข่าวแล้วโยนให้กับผู้ดำเนินรายการคนอื่นๆ แต่เนื่องด้วยความต่างกันเหลือเกินของวัยวุฒิ ประสบการณ์ อารมณ์ น้ำเสียง ความเก๋า ความเชื่อมั่น ผลที่ออกมานอกจากจะไม่ลื่นไหล ไม่น่าดูเหมือนกับที่ผู้ดำเนินรายการคนดังทำแล้ว ในทางกลับกันยังทำให้รายการพังราบอย่างไม่เป็นท่าอีกต่างหาก

วันนี้เชื่อว่าใครก็ตามที่ได้ดู "เรื่องเล่าเช้านี้" จะสัมผัสได้ถึงความน่ารำคาญ ทั้งจากการอ่านข่าวแบบทอดน้ำเสียงของผู้ดำเนินรายการหญิงบางคน ผู้ดำเนินรายการที่แย่งกันพูด พูดซ้ำกัน รวมถึงบางทีก็ไม่รู้ว่าจะโยนข่าวไปให้อีกคนทำไมในเมื่อตนเองพูดไปเกือบจะหมดข่าวนั้นอยู่แล้ว ฯ

แน่นอนว่าเรื่องนี้จะไปโทษผู้ประกาศสาวโดยตรงก็คงไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาบทบาทของเธอหรือจะว่าไปแล้วก็คือทุกคนที่มาจัดรายการ "เรื่องเล่าเช้านี้" ล้วนแล้วแต่มีสถานะเป็น "ลูกคู่" ของ "สรยุทธ" หาใช่ "ผู้ดำเนินรายการร่วม" แต่อย่างไร

ถึงตรงนี้เองช่อง 3 หรือผู้ผลิตอย่างบีอีเซี เทโรฯ เองคงจะต้องพิจารณาแล้วว่าจะเอาอย่างไรกับ "เรื่องเล่าเช้านี้"

จะปรับเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอมั้ย? หรือจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบของเนื้อหาของข่าว? หรือจะเปลี่ยนคนใหม่? หรือจะยังคงใช้รูปแบบเดิมแต่หาซูเปอร์สตาร์คนใหม่เข้ามานั่งประจำหัวโต๊ะ? หรือจะยอมทนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ด้วยการกลับไปดึงซูเปอร์สตาร์คนเดิมกลับมา?

เอาเป็นว่าจะทำอะไรก็ต้องรีบทำ เพราะขืนทิ้งไว้เนิ่นนานวันรับรองโดนช่อง 7 ทิ้งไม่เห็นฝุ่นแน่นอน...


“พุทธะอิสระ”ฟ้องศาลแพ่ง เรียก10 ล้าน“เจ้าคุณพิพิธ”

เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 1 เมษายน ที่ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก ทนายพระพุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม มอบหมายให้นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความ ยื่นฟ้องพระราชวิจิตรปฏิภาณ หรือเจ้าคุณพิพิธ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม ฐานละเมิดด้วยการกล่าวไขข่าวให้เสียหายด้วยข้อความอันทำให้ประชาชนรู้สึกดูหมิ่นพระพุทธะอิสระ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 พร้อมเรียกค่าเสียหาย 10 ล้านบาท

นายธีรยุทธ ทนายความ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ เจ้าคุณพิพิธให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ภายหลังเหตุการณ์ชุมนุมของพระสงฆ์ที่พุทธมณฑล จ.นครปฐม คำให้สัมภาษณ์เปรียบเทียบพระพุทธะอิสระมีลักษณะครึ่งคนครึ่งพระ จากการเปรียบเทียบดังกล่าวทำให้มีการนำไปเผยแพร่กันทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก เช่น เฟซบุ๊ก ยูทูบ และวิพากษ์วิจารณ์จนได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ทั้งนี้คณะทำงานของพระพุทธะอิสระ ได้ติดตามเก็บรวบรวมข้อมูลการให้สัมภาษณ์ของเจ้าคุณพิพิธหลายครั้ง ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2558 และในวันนี้จะยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน10ล้านบาท หลังจากนี้จะต้องปรึกษาหารือกับพระพุทธะอิสระเกี่ยวกับการดำเนินคดีทางอาญาต่อไป

อย่างไรก็ตามภายหลังทนายความยื่นฟ้องแล้ว ศาลจึงรับคำฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำที่ 1547/2559 โดยจะนัดพร้อมเพื่อชี้สองสถาน ในวันที่ 30 พฤษภาคม เวลา 13.30 น


นายกฯ รับรางวัล ส่งเสริมความมั่นคง และความปลอดภัยนิวเคลียร์ ที่สหรัฐฯ

นายกฯ ร่วมงานเลี้ยงอาหารกลางวัน และรับรางวัล Nuclear Industry Summit Awards การประชุมระดับผู้นำ ในฐานะที่ไทยมีบทบาทเข้มข้น ส่งเสริมความมั่นคงและความปลอดภัยนิวเคลียร์ ที่กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา

เมื่อวันที่ 31 มี.ค.59 ที่ผ่านมา เวลา 12.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ที่ศูนย์การประชุม Walter E. Washington Convention Center กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ร่วมงานเลี้ยงอาหารกลางวัน และรับรางวัล Nuclear Industry Summit Awards เพื่อเป็นการยอมรับ (recognition) ในฐานะที่ประเทศไทยมีบทบาทอย่างเข้มข้นในระดับโลก ในการส่งเสริมความมั่นคงและความปลอดภัยนิวเคลียร์ ระหว่างการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ ครั้งที่ 4 ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา

พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศไทยได้รับเกียรติและยอมรับในระดับโลก โดยนายกรัฐมนตรีจะเข้ารับรางวัล Nuclear Industry Summit Awards ในฐานะประเทศที่มีบทบาทนำในระดับโลก ในการกำจัด highly enriched uranium ไม่ให้มีอยู่ในประเทศไทย ร่วมกับ 17 ประเทศทั่วโลก อาทิ บราซิล ชิลี เดนมาร์ก เกาหลีใต้ เป็นต้น โดยไทย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม เป็นสามชาติอาเซียนที่ได้รับรางวัลดังกล่าวนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีย้ำว่า นอกจากจะเป็นเกียรติแก่ประเทศไทยแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นว่าไทยยึดมั่น และปฏิบัติต่อพันธกรณีที่มีแก่ต่างประเทศด้วย

ทั้งนี้ Nuclear Industry Summit จัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 มีนาคม - 1 เมษายน 2559 ซึ่งเป็นการจัดงานของภาคเอกชน ที่มีบริษัทชั้นนำของโลกที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับวัตถุดิบและเทคโนโลยีนิวเคลียร์ร่วมงาน โดยดำเนินการคู่ขนานไปกับการประชุมระดับผู้นำ และมีผู้ร่วมงานกว่า 400 คน ทั้งผู้เข้าร่วมการประชุมระดับผู้นำฯ จาก 52 ประเทศ 4 องค์การระหว่างประเทศ คือ สหประชาชาติ ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ องค์การตำรวจสากล และสหภาพยุโรป และผู้แทนระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา

"ทรัมป์"โดนจวกยับ ลงโทษผู้หญิงทำแท้ง

เมื่อวันที่ 31 มี.ค. เอเอฟพีรายงานว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ มหาเศรษฐีจอมสร้างข่าว กล่าวถอนคำพูดระหว่างหาเสียงชิงตำแหน่งตัวแทนพรรครีพับลิกันไปสู้ศึกประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่ว่า สตรีที่ทำแท้งอย่างผิดกฎหมายต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย ส่วนผู้ชายไม่ต้องรับผิดชอบอะไร

คำพูดดังกล่าวส่งผลให้บรรดากลุ่มสิทธิสตรีพากันออกมาโจมตีอย่างรุนแรง รวมไปถึงนางฮิลลารี คลินตัน ตัวเต็งผู้ลงแข่งขันชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐ จากฝั่งพรรคเดโมแครต ที่ออกมาระบุว่า ความคิดเห็นของนายทรัมป์นั้นเป็นสิ่งที่ "สะเทือนขวัญ" และชาวอเมริกันไม่ควรเลือกนายทรัมป์ ซึ่งมีแนวคิดข่มเหงและกีดกันสิทธิสตรีอย่างนายทรัมป์มาเป็นผู้นำสหรัฐ

กระแสโจมตีที่เกิดขึ้นอย่างร้อนแรงจากรายการของของสถานีโทรทัศน์ เอ็มเอสเอ็นบีซี เมื่อนายคริส แมตธิว พิธีกรตั้งคำถามถึงประเด็นสิทธิในการมีชีวิต การทำแท้งเป็นสิ่งผิดกฎหมาย รวมไปถึงบทลงโทษควรเป็นอย่างไร นายทรัมป์กล่าวว่า ยังไม่ได้คิดถึงบทลงโทษไว้ แต่มองว่าก็ควรจะมีบทลงโทษไว้บ้าง เมื่อนายแมตธิวถามต่อว่า แล้วผู้ชายคนที่มีส่วนร่วมทำให้สตรีบุคคลนั้นตั้งครรภ์สมควรถูกลงโทษด้วยหรือไม่ นายทรัมป์ตอบว่า ไม่สมควรต้องถูกลงโทษใดๆ

ด้านคณะผู้ดำเนินงานรณรงค์หาเสียงของของนายทรัมป์ เผยแพร่แถลงการณ์ชี้แจงว่า กรณีดังกล่าวนายทรัมป์หมายถึง คนเป็นแพทย์ที่ลงมือทำแท้งควรต้องเป็นผุ้รับผิดชอบ และว่า สตรีที่ไปทำแท้ง รวมทั้งชีวิตของเด็กนั้นถือเป็นเหยื่อ ส่วนเรื่องการสิทธิในการมีชีวิตนั้น นายทรัมป์สนับสนุนอยู่แล้วแต่เห็นว่า ควรมีข้อยกเว้น

ด้านนางคลินตันเขียนในทวิตเตอร์ส่วนตัวว่า ชาวอเมริกันไม่ควรปล่อยให้บุคคลที่มีแนวคิดเหยียดหยามสิทธิสตรีเข้ามาใกล้ทำเนียบขาว พร้อมตัดพ้อว่า ไม่คิดว่านายทรัมป์จะแสดงความคิดเห็นได้เลวร้ายไปกว่าเท่าที่เคยทำมาแต่ก็เป็นไปแล้ว