ข่าว
'ในหลวง'เสด็จฯทอดพระเนตร 'อุทยานฯสมเด็จย่า' พสกนิกรปีติ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ไปยังอุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ "อุทยานสมเด็จย่า" เขตคลองสาน กทม. ทรงมีพระพักตร์แจ่มใส พสกนิกรปลื้มปีติเฝ้าฯ รับเสด็จเนืองแน่น พร้อมเปล่งเสียง "ทรงพระเจริญ" กึกก้อง...

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 7 ธ.ค. 2555 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับรถเข็นพระที่นั่งเสด็จลงจากอาคารที่ประทับ ชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อประทับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปยังอุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ "อุทยานสมเด็จย่า" ตั้งอยู่ใกล้วัดอนงคารามวรวิหาร เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร ท่ามกลางพสกนิกรที่มารอเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จอย่างเนืองแน่น

ทันทีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จลงมาถึงบริเวณห้องโถงอาคารเฉลิมพระเกียรติได้ทอดพระเนตรพสกนิกรที่มารอเฝ้าฯ รับเสด็จด้วยพระพักตร์ที่แจ่มใส ขณะที่ประชาชนต่างเปล่งเสียง "ทรงพระเจริญ" ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับรถยนต์พระที่นั่งออกจากโรงพยาบาลศิริราช เสด็จพระราชดำเนินไปยังอุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

สำหรับอุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เปรียบประดุจพระราชอนุสรณ์สถานที่รำลึกถึงความรัก ความผูกพัน และความกตัญญู ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสร้างถวายสมเด็จพระราชมารดา และยังเป็นสถานที่ศึกษาความเป็นมาของชุมชนเก่าแก่ในฝั่งธนบุรี รวมทั้งเป็นสถานที่พักผ่อนของชุมชนใกล้เคียง ตลอดจนเป็นสถานที่ศึกษาพระราชประวัติสมเด็จย่า โดยเฉพาะด้านการอนุรักษ์ต้นไม้ใหญ่ที่มีมาแต่เดิม อายุกว่า 100 ปี เช่น ต้นโพธิ์ ต้นชงโค และต้นไทร ท่ามกลางหมู่อาคารโบราณและศิลปะร่วมสมัย ทั้งยังเป็นสถานที่จัดงานรำลึกถึงสมเด็จย่า พระผู้เป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย ในช่วงเดือน ต.ค. ซึ่งเป็นเดือนพระราชสมภพ ทุกปี

รัฐบาลจัดงานสโมสรสันนิบาต พระเทพฯเสด็จฯแทนพระองค์

เมื่อ 7 ธ.ค. ที่สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในนามรัฐบาล เป็นเจ้าภาพจัดงานสโมสรสันนิบาตเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2555 ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ในงานสโมสรสันนิบาตฯ และรัฐบาลยังได้ทูลเชิญพระบรมวงศานุวงศ์ เชิญองคมนตรี คณะรัฐมนตรี และแขกผู้มีเกียรติทั้งชาวไทยและต่างประเทศร่วมงานอย่างสมเกียรติ

เวลา 19.00 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินถึงทำเนียบรัฐบาล กองทหารเกียรติยศถวายความเคารพ แตรวงบรรเลงเพลงมหาชัย จากนั้นนายกรัฐมนตรีทูลเกล้าฯ ถวายมาลัยพระกร และกราบบังคมทูลเชิญเสด็จตามลาดพระบาท ผ่านแถวผู้รอเฝ้าฯ รับเสด็จไปจนถึงที่ประทับ นายกรัฐมนตรีกราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล และเชิญชวนผู้มีเกียรติดื่มถวายพระพรชัยมงคลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดนตรีบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี นายกรัฐมนตรีกล่าว ทรงพระเจริญŽ 3 ครั้ง แล้วดื่มถวายพระพร

จากนั้นสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทอดพระเนตรการแสดงเฉลิมพระเกียรติ ชุด มหาปีติแห่งปวงประชา คือ พระราชาของแผ่นดินŽ ซึ่งนำเสนอเรื่องราวมหาปีติของปวงชนชาวไทยตลอด 66 ปี ที่มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดิน โดยเล่าเรื่องตั้งแต่มหาปีติแรกที่ชาวไทยได้ร่วมชื่นชมพระบารมีผ่านพระราชประวัติของพระองค์ ซึ่งมีพระบรมฉายาลักษณ์และภาพยนตร์ส่วนพระองค์ตั้งแต่ทรงพระเยาว์จนถึงปัจจุบัน ซึ่งบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ช่วงต่างๆ ของพระองค์ โดยภาพแห่งความประทับใจของปวงชนชาวไทยจะถ่ายทอดผ่านทางจอกลางขนาด 4 x 12 เมตร จอด้านข้างขนาด 4 x 4 เมตร สรรค์สร้างด้วยเทคนิคประกอบแสง สี เสียง เพื่อเฉลิมฉลองในพระราชวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 85 พรรษา

ทั้งนี้ แบ่งการแสดงออกเป็น 4 องก์ ประกอบด้วย องก์ที่ 1 ภูมิพลมหาราชา ทรงเป็นดั่งแสงทองส่องไทยŽ เป็นองค์ที่บอกเล่าพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยภาพส่วนพระองค์ตั้งแต่เสด็จพระบรมราชสมภพถึงทรงพระเยาว์ องก์ที่ 2 เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยามŽ เป็นช่วงตั้งแต่เสด็จขึ้นครองราชย์ วันที่ 9 มิถุนายน 2489, พระราชพิธีบรมราชาภิเษก วันที่ 5 พฤษภาคม 2493, พระราชพิธีอภิเษกสมรส วันที่ 28 เมษายน 2493 และพระราชพิธีทรงพระผนวช วันที่ 22 ตุลาคม 2499

องก์ที่ 3 66 ปีแห่งการครองสิริราชสมบัติ คือ 66 ปีแห่งประโยชน์สุขของแผ่นดินŽ เป็นช่วงที่แสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติพระราชกรณียกิจในสถานที่ต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดระยะเวลาอันยาวนาน แห่งการดำรงสิริราชสมบัติตลอด 66 ปี

องก์ที่ 4 พระอัจฉริยภาพเกริกฟ้า พระเกียรติคุณก้องหล้า ปวงประชามหาปีติ เป็นช่วงที่แสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ซึ่งเป็นดั่งมหาปราชญ์ในด้านต่างๆ ทั้ง 9 ด้าน ได้แก่ ด้านศิลปะ ศาสนา ถ่ายภาพ เกษตรกรรม(ชลประทาน) วรรณกรรม กีฬา วิทยาศาสตร์(ฝนหลวง) การศึกษา สิ่งประดิษฐ์(กังหันน้ำชัยพัฒนา) ซึ่งพระอัจฉริยภาพของพระองค์ทั้งหมดนี้นับเป็นพระเกียรติคุณที่ทั่วโลกต่างแซ่ซ้องและให้การยอมรับในระดับสากล โดยปวงชนชาวไทยใต้ร่มพระบารมีล้วนเปี่ยมด้วยมหาปีติต่อพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระอัจฉริยภาพและน้ำพระทัยอันงดงามต่อพสกนิกรตลอดการครองสิริราชสมบัติ 66 ปี

ภายหลังทอดพระเนตรการแสดงเฉลิมพระเกียรติจบแล้ว ดนตรีบรรเลงเพลงสดุดีมหาราชา 2 จบ นายกรัฐมนตรีและคู่สมรสส่งเสด็จ ณ รถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินกลับ กองทหารเกียรติยศถวายความเคารพ แตรวงบรรเลงเพลงมหาชัย

เฉลิม สาบาน ปัดตั้งธง บีบมาร์ค รับปรองดอง

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ปัดรัฐตั้งธงเล่นงาน “มาร์ค-เทือก” โยนเป็นเรื่องอัยการ-ดีเอสไอ ซัดฝ่ายค้านคิดเองหวังดึงเข้าปรองดอง เผยคดีนี้เป็นคดีพิเศษสมัย “สุเทพ” เป็นประธานแล้ว...

วันที่ 7 ธ.ค. 55 เวลา 13.15 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ออกมาระบุว่าการถูกแจ้งข้อหาร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนา กำลังถูกรัฐบาลเล่นงานอยู่ ว่า ไม่ใช่รัฐบาลเล่นงาน แต่เป็นไปตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย พนักงานสอบสวนไม่ได้มีเฉพาะกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แต่มีตำรวจและอัยการร่วมด้วย อัยการเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญใครก็ไปสั่งไม่ได้ ยืนยันรัฐบาลไม่มีการตั้งธงใดๆ และยืนยันต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในสากลโลก ตนไม่เคยไปกลั่นแกล้งและไม่เคยไปเอาหลักฐานที่เป็นเท็จเพื่อให้ถูกดีเอสไอสอบ รัฐบาลชุดนี้กำลังทำให้ความจริงปรากฏ

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีพิเศษตอนสมัยที่ นายสุเทพ เป็นประธานคณะกรรมการ ไม่ได้มารับเป็นคดีพิเศษในสมัยตน พูดให้ชัด พูดให้หมด และเมื่ออีกฝ่ายถูกดำเนินคดีไปแล้ว 286 คดี แล้วจะเกี่ยวอะไรกับตน ความจริงมีว่า เมื่อเกิดเหตุใหม่ๆ เอาสำนวนชันสูตรพลิกศพไปเก็บไว้ที่ดีเอสไอ และไม่ดำเนินการเรื่องเลยเงียบ เมื่อตนมารับผิดชอบ ก็ให้สอบสวน เมื่อศาลสั่งชื่อ นายพัน คำกอง ตายโดยการกระทำของเจ้าหน้าที่ทหาร โดยปฏิบัติตามคำสั่งศอฉ. ศาลก็ไม่ได้สั่งว่าใครเป็นคนทำให้ตาย เพราะคนเยอะ แล้วใครจะแกล้ง แกล้งยังไงลองบอกตน

เมื่อถามว่า นายอภิสิทธิ์ ตั้งข้อสังเกตว่าถ้อยคำแถลงของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เหมือนคำพูดของท่าน และดูเหมือนกับมีการตั้งธงไว้แล้ว ร.ต.อ.เฉลิม ตอบว่า คนเรียนกฎหมายมาด้วยกันจะพูดไม่ต่างกัน เมื่ออ่านคำสั่งศาลแล้วจะพูดเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร ตนไม่ได้พูดก่อนศาลวินิจฉัยคำสั่ง ใครทำผิดต้องรับผิดชอบไม่มีอย่างอื่น

เมื่อถามว่า เป็นเหตุผลหนึ่งหรือไม่ที่ฝ่ายค้าน ออกมาระบุว่าเป็นการบีบเพื่อให้เข้าสู่การปรองดองนิรโทษกรรมได้ง่ายขึ้น ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ก็คิดไปเอง คดีนี้เป็นคดีรุนแรง ถ้าใครผิดโทษหนัก ตนจะไม่บอกว่าใครผิดใครถูก แกล้งกันไม่ได้ ถ้าเป็นยาเสพติดยังเอาไปยัดกันได้ ส่วนที่นายสุเทพ ระบุว่าหากจะบีบเรื่อง พ.ร.บ.ปรองดองจะยอมติดคุกดีกว่านั้น ขั้นตอนอีกนาน ดีเอสไอ หรืออัยการอาจจะสั่งไม่ฟ้องก็ได้ ไปศาลก็อีกตั้ง 3 ศาล อีกยาว ตนไม่ขอแสดงความเห็น ไม่ทะเลาะด้วย ตอนที่สั่งให้ชันสูตรพลิกศพก็ไม่รู้ ตนไม่รู้ว่าศาลจะวินิจฉัยอย่างไร ส่วนกรณีที่นายอภิสิทธิ์ ยืนยันว่าจะต่อสู้ทุกกระบวนการหากเรื่องนี้เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวพร้อมหัวเราะว่า ไม่มี จะไปกลั่นแกล้งได้อย่างไร เป็นคดีอาญาแผ่นดิน ไม่ใช่เรื่องการเมือง เมื่อถามว่า นายธาริต เป็นหนึ่งในคณะกรรมการใน ศอฉ.จะต้องร่วมรับผิดชอบด้วยหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า นายธาริตและอัยการสูงสุดก็เป็นคณะกรรมการ ไม่ได้ออกคำสั่ง แต่ประชาธิปัตย์มีหลักฐานก็แจ้งจับนายธาริตได้