ข่าว
รวบแล้วหนุ่มคลั่งกราดยิง 8 ศพในเซอร์เบีย หลังตำรวจระดมกำลังล่าข้ามคืน

วันที่ 5 พฤษภาคม 2566 ความคืบหน้าคนร้ายเป็นชายวัย 21 ปี ก่อเหตุใช้อาวุธปืนไรเฟิลอัตโนมัติกราดยิงในพื้นที่เทศบาลมลาเดโนวัค (Mladenovac) กรุงเบลเกรด ประเทศเซอร์เบีย เมื่อช่วงค่ำวันที่ 4 พ.ค. 2566 ซึ่งทางการได้ระดมกำลังตำรวจเข้าปิดล้อมพื้นที่โดยรอบเพื่อจับกุมคนร้ายรายนี้ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา ล่าสุดมีรายงานว่าตำรวจสามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้แล้ว

โดยสำนักข่าว Tanjug สื่อของทางการเซอร์เบีย รายงานข่าว Man arrested after killing eight, wounding 13 people near Mladenovac ระบุว่า ผู้ก่อเหตุซึ่งถูกระบุชื่อว่า อูรอส บี (Uros B) ถูกจับกุมในบริเวณหมู่บ้านวินจิสเต ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับเมืองครากูเยวัช (Kragujevac) หลังตำรวจกว่า 600 นายปูพรมไล่ล่าข้ามคืน ขณะที่ผู้บาดเจ็บจากเหตุกราดยิงดังกล่าวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในกรุงเบลเกรด และเมืองสเมเดเรโว โดยสรุปยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 8 ราย

เว็บไซต์ นสพ. Daily Mirror ของอังกฤษ เสนอข่าว Serbia mass shooter, 21, called himself 'fierce guy' before killing 8 including sister ระบุว่า ผู้ก่อเหตุมีชื่อว่า อูรอส บลาซิซ (Uros Blazic) วัย 21 ปี ขับรถไปด้วยขณะก่อเหตุกราดยิง ก่อนจะถูกจับกุมเมื่อช่วงเช้าวันที่ 5 พ.ค. 2566 ตามเวลาท้องถิ่น ขณะที่ผู้ซึ่งรู้จักกับผู้ก่อเหตุ ให้ข้อมูลว่า บลาซิซมีพฤติกรรมไม่ปกติ เช่นเดียวกับคนในครอบครัว มีครั้งหนึ่งที่ถูกตำรวจเรียกให้หยุด บลาซิซได้ลงจากรถและทำร้ายตำรวจ รวมถึงยังเคยถูกจับกุมในข้อหาครอบครองเครื่องกระสุนปืน

นอกจากนั้น บลาซิซยังชอบการล่องแพ มีบุคคลที่ชื่นชมคือ คริสติจัน โกลูโบวิซ (Kristijan Golubovic) นักเลงอันธพาลชาวเซอร์เบีย และเคยขี่มอเตอร์ไซค์ในหมู่บ้านด้วยความเร็ว 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะที่เมื่อตรวจสอบบัญชีอินสตาแกรม พบว่า บลาซิซ เป็นเพื่อนกับ นิโคลา ดอร์เดวิซ (Nikola Dordevic) ดาราชาวเซอร์เบีย โดยภาพล่าสุดที่ทั้งคู่ถ่ายร่วมกันถูกเผยแพร่เมื่อ 6 วันก่อนถึงวันก่อเหตุกราดยิง นอกจากนั้น บลาซิซ ยังเคยโพสต์ข้อความบอกว่าตนเองเป็นผู้ชายที่ดุร้าย (Fierce Guy) แต่ล่าสุดบัญชีอินสตาแกรมของบลาซิซได้ถูกปิดไปแล้ว

สำนักข่าวรอยเตอร์ เสนอข่าว Eight dead in second Serbia mass shooting, suspect arrested อ้างรายงานจากกระทรวงมหาดไทยเซอร์เบีย ที่ระบุว่า ผู้ต้องหาที่มีชื่อย่อว่า ยู.บี. (U.B.) เกิดปี 2545 ถูกจับกุมในบริเวณใกล้เคียงเมืองครากูเยวัช หลังจากลงมือกราดยิงจนมีผู้เสียชีวิต 8 ราย และบาดเจ็บ 14 คน ขณะที่รายงานจาก RTS สื่อของทางการเซอร์เบีย ระบุว่า ผู้ก่อเหตุเป็นชายหนุ่มมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทะเลาะวิวาทในสนามของโรงเรียน ก่อนจะจากไปและกลับมาพร้อมกับปืนไรเฟิลจู่โจมและปืนพก แล้วเปิดฉากกราดยิงผู้คนอย่างต่อเนื่องโดยสุ่มจากรถที่กำลังแล่นอยู่

อเล็กซานดาร์ วูซิซ (Aleksandar Vucic) ประธานาธิบดีเซอร์เบีย ประกาศยกระดับมาตรการควบคุมอาวุธปืน โดยระงับการขออนุญาตครอบครองอาวุธปืนโดยไม่จำกัดชนิดของอาวุธ รวมถึงจะตรวจสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ที่ได้รับอนุญาตแล้วให้ถี่ขึ้นด้วย นอกจากนั้นยังจะเปิดรับสมัครเจ้าหน้าที่ตำรวจใหม่ 1,200 นาย เพื่อดูแลความปลอดภัยบริเวณสถานศึกษา หลังเกิดเหตุเด็กชายวัย 13 ปี ใช้อาวุธปืนกราดยิงเพื่อนร่วมชั้นเรียน เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2566 ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 9 ราย และบาดเจ็บ 7 คน ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงเบลเกรด

ทั้งนี้ ชาวเซอร์เบียมีวัฒนธรรมการใช้ปืนที่เข้มข้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชนบท แต่ก็มีกฎหมายควบคุมอาวุธปืนที่เข้มงวดเช่นกัน โดยอาวุธปืนอัตโนมัติเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทางการได้เสนอการนิรโทษกรรมหลายครั้งแก่ผู้ที่ยอมนำอาวุธมาส่งมอบ ถึงกระนั้น เซอร์เบียและประเทศอื่นๆ ในพื้นที่คาบสมุทรบอลข่านตะวันตก ยังคงมีอาวุธปืนที่เป็นอาวุธสงครามจำนวนมากอยู่ในมือของเอกชน โดยเป็นของที่เหลือค้างมาจากยุคสงครามในทศวรรษ 1990 (ปี 2533-2542)

ขอบคุณเรื่องจาก https://www.tanjug.rs/english/society/28613/man-a

WHO ประกาศยุติสถานการณ์ฉุกเฉิน ‘โควิด-19’ หลังระบาด 3 ปี ตาย 7 ล้านศพ

องค์การอนามัยโลกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน โรคโควิด-19 ระบาดสิ้นสุดลงแล้ว หลังระบาดใหญ่ทั่วโลก 3 ปี ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 7 ล้านศพ

วันศุกร์ที่ 5 พ.ค. 2566 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินจากการระบาดของโรคโควิด-19 ได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยอธิบายว่า การระบาดของโรคโควิด-19 ‘ไม่ได้เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสุขภาพของโลกอีกต่อไป’

แถลงการณ์ดังกล่าวขององค์การอนามัยโลก ถือเป็นก้าวสำคัญเชิงสัญลักษณ์ในการจะนำไปสู่การประกาศว่าการระบาดของโรคโควิด-19 กำลังจะยุติลง หลังจากได้ระบาดใหญ่ทั่วโลกมานานนับ 3 ปี และทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 7 ล้านศพ

ขณะที่คณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์การอนามัยโลก กล่าวว่า ขณะนี้อัตราการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ได้ลดต่ำลงจากระดับสูงสุด กว่า 100,000 ศพต่อสัปดาห์ ในเดือนมกราคม 2564 มาอยู่ที่เพียงกว่า 3,500 ศพต่อสัปดาห์ เมื่อ 24 เมษายน ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้องค์การอนามัยโลกได้ประกาศสิ้นสุดสถานการณ์ฉุกเฉินโควิด-19 ทั่วโลกแล้ว แต่การระบาดของโรคโควิด-19 ยังไม่จบ เนื่องจากยังพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 พุ่งสูงขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคตะวันออกกลางในขณะนี้ อีกทั้งยังมีคนหลายพันคนยังคงเสียชีวิตจากเชื้อโควิด-19 ทุกสัปดาห์

นายเทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก กล่าวว่า นี่เป็นความหวังที่ยิ่งใหญ่จากการประกาศสิ้นสุดสถานการณ์ฉุกเฉินจากการะบาดของโรคโควิด-19 แต่ไม่ได้หมายความว่า โควิด-19 จบลงแล้ว และไม่ได้เป็นอันตรายต่อสุขภาพของชาวโลกอีกต่อไป


สุดประทับใจ เจ้าชายวิลเลียม เจ้าหญิงเคท เยือนผับดัง ย่านโซโห ในลอนดอน

เจ้าชายวิลเลียม เจ้าหญิงเคท เสด็จเยือนผับดัง ย่านโซโห ใจกลางกรุงลอนดอน เพื่อทรงมาให้กำลังใจพนักงานในภาคบริการที่ต้องทำงานหนักกันมากขึ้นในการต้อนรับผู้คนในช่วงมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน เจ้าชายวิลเลียม และพระชายา แคเธอรีน เจ้าหญิงแห่งเวลส์ เสด็จโดยรถไฟใต้ดิน เยือนผับดังย่านโซโห ‘ด็อกแอนด์ดัค ผับ’ (Dog and Duck Pub) ซึ่งเป็นผับชื่อดังเก่าแก่ ตั้งอยู่บริเวณใจกลางย่านโซโห ในกรุงลอนดอน เมื่อวันพฤหัสฯ ที่ 4 พ.ค. ที่ผ่านมา จนสร้างความปิติยินดีแก่ประชาชนอย่างยิ่งที่ได้เห็นทั้งสองพระองค์เสด็จมาเยือนผับแห่งนี้โดยไม่คาดคิดมาก่อน

เจ้าชายวิลเลียมตรัสว่า พระองค์เสด็จเยือนผับ เพื่อทรงให้กำลังใจประชาชนและเหล่าพนักงานในภาคบริการ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญหรือฝ่ายต้อนรับผู้เดินทางมาเยือนลอนดอนในช่วงพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ที่จะเริ่มขึ้นในวันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคมนี้ โดยจะมีการเฉลิมฉลองทั่วประเทศเป็นเวลา 3 วัน

บีบีซี รายงานว่า เจ้าชายวิลเลียม ซึ่งทรงมีจิตวิญญาณแห่งความทันสมัย และทรงเป็นสมาชิกราชวงศ์ชั้นสูงของอังกฤษที่ทรงบุกเบิกยุคสมัยที่สมาชิกราชวงศ์ไม่จำเป็นต้องผูกเนกไท ได้เสด็จมายังผับ ด็อกแอนด์ดัค โดยฉลองพระองค์แบบสบายๆ ทรงสวมเสื้อสูทลำลองสีดำ และเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน ไม่กลัดกระดุมเม็ดบน

ในขณะที่แคเธอรีน เจ้าหญิงแห่งเวลส์ สร้างความตะลึงงันให้แก่ผู้คนจากพระสิริโฉมที่งดงาม และได้ฉลองพระองค์ในชุดสีขาว เสื้อโค้ตยาวสีแดง ทำให้ดูสวยสดใสเป็นอย่างยิ่ง โดยทั้งเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าหญิง เคททรงได้รับการต้อนรับจากประชาชนเป็นจำนวนมาก ขณะที่ทั้งสองพระองค์ได้ทรงทักทายพูดคุยและถ่ายรูปเซลฟี่กับประชาชนอย่างเป็นกันเอง


ศาลสหรัฐฯ ตัดสินแกนนำ “พราวด์ บอยส์” และพวก มีความผิด ยุยงปลุกปั่นจลาจลรัฐสภา

แกนนำกลุ่ม “พราวด์ บอยส์” และพวกพ้อง ถูกคณะลูกขุนตัดสินมีความผิด ฐานยุยงปลุกปั่นบุกจลาจลก่อรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อ 2 ปีก่อน

เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2566 คณะลูกขุนของศาลรัฐบาลกลาง ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ของสหรัฐฯ มีคำตัดสินว่า นายเอนริเก ทาร์ริโอ อดีตประธานกลุ่ม “พราวด์ บอยส์” (Proud Boys) กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองฝ่ายขวาจัดของสหรัฐฯ รวมทั้งสมาชิกกลุ่มอีก 3 คนที่เคยมีตำแหน่งแกนนำส่วนภูมิภาคของกลุ่ม ได้แก่ นายโจ บิกส์ นายอีธาน นอร์ดีน และนายแซ็ค เรห์ล มีความผิด ในข้อหามีบทบาทในการสมรู้ร่วมคิด ยุยงปลุกปั่นที่นำไปสู่เหตุจลาจลบุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2564

ในส่วนของจำเลยรายที่ 5 ได้แก่ นายโดมินิค เพซโซลา อดีตนาวิกโยธินที่เข้าร่วมกลุ่มพราวด์ บอยส์ และร่วมบุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ แต่ไม่ได้มีบทบาทเป็นแกนนำ ทางคณะลูกขุนตัดสินว่า เขาไม่ได้มีความผิดในทั้ง 2 ข้อหาว่าด้วยการสมรู้ร่วมคิด แต่ร่วมมีความผิดในข้อหาสมรู้ร่วมคิดเพื่อขัดขวางสภาคองเกรสไม่ให้รับรองชัยชนะของ โจ ไบเดน ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี 2563 ถือเป็นครั้งที่ 3 แล้วที่สมาชิกกลุ่มหัวรุนแรงทางการเมืองซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการบุกอาคารรัฐสภา สหรัฐฯ “พราวด์ บอยส์” และกลุ่ม “โอธ คีปเปอร์ส” (Oath Keepers) ถูกตัดสินว่ามีความผิด หรือยอมรับผิดในข้อหาดังกล่าวซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุด 20 ปี

ทั้งนี้ นับเป็นกระบวนการสืบสวนทางอาญาครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ซึ่งคำตัดสินครั้งล่าสุดนี้ ถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่สำหรับกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ที่ยังเดินหน้าสอบสวนเหตุการณ์จลาจลรุนแรงที่รัฐสภา ซึ่งเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 5 ศพ และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บกว่า 100 นาย


จับตาฉลองพระองค์ ‘ควีนคามิลลา’ ในพิธีบรมราชาภิเษก ใช้ดีไซเนอร์เดียวกับเจ้าหญิงไดอานา

ฉลองพระองค์ที่สมเด็จพระราชินีคามิลลา จะทรงสวมในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของ สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 พระสวามี ณ มหาวิหารเวสต์มินเตอร์ กรุงลอนดอน อังกฤษ ในวันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคมนี้ กลายเป็นอีก ‘หนึ่งไฮไลต์’ ที่อยู่ในความสนใจของผู้คน โดยเฉพาะบรรดานักวิจารณ์แฟชั่น ที่มองว่า ฉลองพระองค์ที่รายละเอียดทุกอย่างยังถูกเก็บเป็น ‘ความลับ’ จะเป็นตัวบ่งบอกถึงความเป็น ควีนคามิลลา

“นี่จะเป็นชุดที่ถูกพูดถึงมากที่สุด และจะถูกวิเคราะห์ทุกรายละเอียด ” แคโรไลน์ ยังก์ นักเขียน ผู้เชี่ยวชาญแฟชั่น บอก

ส่วน มิแรนดา โฮลเดอร์ ผู้เชี่ยวชาญแฟชั่นและนักวิจารณ์ราชวงศ์ ฟันธงว่า ฉลองพระองค์ดังกล่าวจะบ่งบอกถึงความเป็นควีนคามิลลา และ “จะถูกบันทึกในประวัติศาสตร์”

สำนักข่าวเอเอฟพี อ้างสื่ออังกฤษรายงานว่า สมเด็จพระราชินีคามิลลา พระชนม์ 75 พรรษา ทรงวางพระทัยให้ “บรูซ โอลด์ฟิลด์” ดีไซเนอร์ชาวอังกฤษวัย 72 ปีที่เคยออกแบบชุดให้บุคคลมีชื่อเสียงมากมาย รวมทั้ง เจ้าหญิงไดอาน่า อดีตพระชายาสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 เมื่อครั้งยังดำรงพระอิสริยยศเป็น เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ มกุฎราชกุมารแห่งอังกฤษ เป็นผู้ออกแบบฉลองพระองค์ ที่จะทรงในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระสวามี แต่พระราชวังบักกิงแฮมยังปิดเงียบ

มิแรนดา โฮลเดอร์ เล่าว่า โอลด์ฟิลด์ เคยออกแบบชุดราตรีหลายสิบชุดให้แก่ เจ้าหญิงไดอาน่า และมีหลายชุดที่โดดเด่นเป็นที่จดจำ แต่หลังจากเจ้าหญิงไดอาน่า แยกทางกับเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ และออกห่างจากชีวิตราชวงศ์ ทำให้ทรงเหินห่างกับโอลด์ฟิลด์ไปด้วย

แต่ต่อมา โอลด์ฟิลด์ กลับกลายมาเป็น หนึ่งในดีไซเนอร์คนโปรดของสมเด็จพระราชินีคามิลลา และรู้จักคุ้นเคยกันมานาน และดีไซเนอร์ชาวอังกฤษผู้นี้ ยังเป็นผู้ออกแบบชุดราตรีสีดำงดงาม ที่สมเด็จพระราชินีคามิลลา ทรงสวมระะหว่างเสด็จเยือนประเทศเยอรมนีอย่างเป็นทางการกับพระสวามี เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาด้วย

โอลด์ฟิลด์ เคยพูดไว้เมื่อปี 2557 ถึงเจ้าหญิงไดอาน่า และ ควีนคามิลลา ว่า “ผมให้เจ้าหญิงไดอาน่าเรื่องความมีเสน่ห์ ดึงดูดใจ และ คามิลลาเรื่องความมั่นใจ ”

แคโรไลน์ ยังก์ คาดเดาถึงฉลองพระองค์สมเด็จพระราชินีคามิลลาว่า “ฉันไม่คิดว่า ผู้คนเห็นแล้วจะร้องว้าว ดูชุดที่เธอใส่สิ แต่ฉันคิดว่า พระองค์รู้ดีว่าอะไรเหมาะกับโอกาสอันสำคัญนี้ ” และว่า ฉลองพระองค์ต้องไม่ดูฉูดฉาด ไม่ดูหรูหรา แพงเกินไป เนื่องจากตอนนี้คนในประเทศอังกฤษกำลังเผชิญปัญหาค่าครองชีพสูง

ขณะที่โฮลเดอร์ บอกว่า สมเด็จพระราชินีคามิลลา ทรงโปรดสีพาสเทล แต่ชอบเครื่องประดับที่โดดเด่น สะดุดตา เธอยังเดาว่า พระมเหสีของสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 จะทรงฉลองพระองค์สีน้ำเงิน หรือ สีพาสเทล แต่ไม่ใช่สี ดำแน่นอน

อนึ่งเมื่อขบวนเสด็จมาถึงมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ สมเด็จพระราชินีคามิลลา จะทรงฉลองพระองค์คลุม “Robe of State”กำมะหยี่สีแดงเข้ม ที่ทำขึ้นเพื่อควีนเอลิซาเบธที่ 2 เมื่อ 70 ปีที่แล้ว และจะทรงสวมพระมหามงกุฎพระราชินีแมรี (Queen Mary’s Crown) พระมเหสีในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 สร้างขึ้นในปีค.ศ.1911 โดยพระมหามงกุฎนี้มีการปรับแต่งเพิ่มเติมด้วยอัญมณีจากของสะสมส่วนพระองค์ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เพื่อเป็นการแสดงความระลึกถึงพระองค์

“บิ๊กโจ๊ก”ลั่นไม่หนักใจคดี “แอม ไซยาไนด์” คาดมีคนใกล้ชิดอีก1-2 คน ที่มีเอี่ยว

รอง ผบ.ตร. ไม่หนักใจแม้ “แอม ไซยาไนด์” ไม่ขอให้ปากคำ 6 พ.ค. มั่นใจในพยานหลักฐานที่มีสามารถเอาผิดได้ คาดมีคนใกล้ชิดผู้ต้องหาอีก 1-2 คน มีเอี่ยว

จากกรณีเมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 5 พ.ค. ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัฒน์ ทนายความ ซึ่งเป็นคนที่ นางสรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์ หรือ “แอม ไซยาไนด์” ขอพบ และเปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า แอมยังคงปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และเจ้าตัวประสงค์จะขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น พร้อมบอกว่าไม่ต้องให้ใครมารบกวนเข้าเยี่ยมอีกนอกจากทนายความ เพราะกลัวแท้งลูก เนื่องจากต้องเดินลงมาบ่อย รอเจอในชั้นศาลทีเดียว ส่วนในวันพรุ่งนี้ (6 พ.ค.) ที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. จะเข้าสอบปากคำนั้น ก็ยืนยันยังจะไม่ให้การใดๆ เว้นแต่จะให้การในชั้นศาล...

คืบหน้าล่าสุด เมื่อเวลา 18.23 น. วันที่ 5 พ.ค. ที่สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เปิดเผยว่า เมื่อวาน (4 พ.ค.) แอมให้การปฏิเสธไม่ขอพูดอะไรทั้งสิ้น และขอพูดกับทนายความ ซึ่งเป็นคนใกล้ชิดที่ไว้วางใจและเป็นเพื่อนมานาน ตนให้สิทธิเขาคุย การที่ทนายไปพบแอมแล้วออกมาเปิดเผยว่า แอมจะให้การในชั้นศาลก็เป็นสิทธิของเขาที่จะให้การ ตนได้บอกชุดทำงานไปแล้วว่าเราไม่รอ วันนี้พยานหลักฐานที่มีมาไกลมากแล้ว พยานหลักฐานมีความเพียงพอที่จะดำเนินคดีกับแอม เหลือเพียงแค่คนรอบข้างที่ต้องหาหลักฐานมาดำเนินคดี ส่วนแอม ตนไม่กังวลใจ วันนี้มีพยานสำคัญมาสอบปากคำสองปาก แต่ไม่ขอเอ่ยว่าเกี่ยวข้องอย่างไร

รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า เรื่องนี้มันเหมือนเรื่องนิยาย คนหนึ่งคนฆ่าคนได้ 14 คน ถือว่าเลวร้ายมาก เมื่อตนลงไปในพื้นที่มากขึ้น มันเจอพยานหลักฐานมากขึ้น การฆ่าคน 14 คน มันไม่มีทางที่จะไม่ทิ้งร่องรอยไว้ การก่ออาชญากรรมก็เหมือนการเล่นเกม เช่น ให้เวลา 15 นาที ยังไงก็ต้องทิ้งร่องรอยเอาไว้ ทุกอย่างเราสามารถไล่ความเชื่อมโยงได้หมด เพราะฉะนั้นคนที่แนะนำแอมรู้วิชาสอบสวนแต่ไม่รู้วิชาสืบสวน ยังไงก็ไม่รอดมือตำรวจ ที่แอมรอดมาได้นักต่อนัก เพราะการไม่ได้ชันสูตรพลิกศพ ส่วนสามีแอมไม่ต้องกังวล ตอนนี้กำลังไล่พยานหลักฐานอยู่ อะไรก็ตามที่เคยทำไป ชุดสืบสวนรู้ทั้งหมด เพียงแต่กำลังรวบรวมพยานหลักฐานอยู่ คดีแบบนี้แอมทำไม่ได้ ถ้าไม่มีคนแนะนำ ตนไม่รู้สึกหนักใจเรื่องที่ไม่ยอมรับสารภาพ การพูดคุยส่วนหนึ่งการสืบสวนสอบสวนก็ส่วนหนึ่ง ตนมั่นใจในพยานหลักฐานมีเพียงพอที่จะดำเนินคดีกับแอมทุกข้อหา ต้องทำให้จำนนต่อหลักฐาน และให้เขายอมรับสารภาพเอง

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ในวันจันทร์ที่ 8 พ.ค. นี้ ตนจะเรียก ผอ.กรมโรงงานฯ มาสอบสวนถึงปัญหาไซยาไนด์ เพราะการนำเข้าสารไซยาไนด์ กรมโรงงานฯ กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นผู้อนุญาตให้นำเข้ามา กรมโรงงานฯ เอาเข้ามาต้องควบคุม ไม่ใช่ปล่อยแบบนี้ การเอาไซยาไนด์เข้ามาตามกฎหมาย ให้เอาเข้ามาเพื่อใช้ในโรงงานเพื่อศึกษาวิจัย การขายไปให้ใครต่อใครทางออนไลน์ มันต้องดูคนที่จะซื้อว่ามีวัตถุประสงค์อย่างไร ถึงแม้ว่ากฎหมายจะไม่ได้เขียนว่า ห้ามจำหน่าย แต่คุณจะเอาสารควบคุมที่มีพิษรุนแรง ทำให้คนเสียชีวิตได้ภายใน 10 วินาที ไปจำหน่ายให้ใครง่ายๆ ไม่ได้

รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า เรื่องการชันสูตรพลิกศพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องหารือกระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข ในการชันสูตรพลิกศพ จะต้องไม่ใช้ดุลพินิจของพนักงานสอบสวนแล้ว ทุกวันนี้การชันสูตรพลิกศพพนักงานสอบสวนจะใช้ดุลพินิจ แต่ต่อไปจะต้องเป็นการวางระเบียบเพื่อไม่ให้ล้าสมัย ไม่ใช่เรื่องญาติติดใจหรือไม่ติดใจสาเหตุการตาย ถ้าหากมีการเสียชีวิตที่ดูผิดธรรมชาติ จะไม่ปล่อยสภาพศพลักษณะไหนจะต้องตรวจหาสารพิษในร่างกาย หมอที่ตรวจได้จะต้องเป็นหมอเฉพาะทาง ต้องมีประจำอยู่ที่โรงพยาบาล เพราะฉะนั้น จะต้องวางแนวทางร่วมกัน ต้องแก้ปัญหาในเชิงก้าวหน้าต่อไป