ข่าว
'มาร์ค'ฟันธงมีปัญหาแน่ หากรัฐดันนิรโทษกรรม

อภิสิทธิ์ ชี้ หากรัฐดึงดันเลื่อนวาระพิจารณา พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเข้าสภา วุ่นทั้งในและนอกสภาแน่ แนะ "ยิ่งลักษณ์" ทำหน้าที่นายกฯ ลดความขัดแย้งและเงื่อนไข อย่าเป็นแค่น้องสาวทักษิณ...

"อภิสิทธิ์" ฟันธง ดันก.ม.ล้างผิด วุ่นทั้งใน-นอกสภา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่านายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาฯ บรรจุร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับ 42 ส.ส.แกนนำแดง เข้าสู่วาระการประชุมสภาในวันที่ 20 มี.ค.ว่า

ตนยังไม่ทราบว่า จะบรรจุเป็นเรื่องด่วนหรือไม่ ส่วนการเสนอเลื่อนนั้นก็เป็นสิทธิของสมาชิก ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์จะคัดค้านในสภาฯ ส่วนกรณีที่คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) อ้างว่าจะให้เป็นเอกสิทธิ์ของส.ส.ในการเสนอเลื่อนวาระนั้น ตนยืนยันว่าหากมีการเสนอเลื่อนวาระนี้ขึ้นมาพิจารณา ไม่เพียงทำให้สภาฯเกิดความวุ่นวายเท่านั้น ยังจะเป็นความวุ่นวายในสังคม ซึ่งคนจำนวนมากไม่ยอมรับแนวคิดที่จะเป็นอันตรายต่อระบบนิติรัฐ เพราะต้องการให้ความถูกต้องในสังคม และไม่ต้องการให้อนาคตเป็นเรื่อของคนที่มีอำนาจสามารถทำผิดให้เป็นถูกได้

ทั้งนี้ไม่อยากให้สังคมต้องเดินไปสู่จุดที่มีมวลชน 2 กลุ่มที่เห็นไม่ตรงกัน ออกมาเคลื่อนไหว จึงอยากให้รัฐบาลทำหน้าที่ตามความรับผิดชอบที่ต้องดูแลบ้านเมืองให้สงบ เรียบร้อย โดยการพูดกับผู้สนับสนุนตัวเองว่าอะไรที่สมควรทำ และขอเรียกร้องไปยังนายกรัฐมนตรี ว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องระงับความขัดแย้งทั้งหมด แต่คงไม่สามารถคาดเดาได้ว่านายกฯ จะทำหรือไม่

นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า อยากย้ำถึงนายกรัฐมนตรีว่า ต้องทำโดยอย่าไปฟังเสียงคนที่แนะนำเพื่อหวังผลทางการเมืองอย่างเดียว ขอให้คิดถึงบ้านเมืองเพราะอยู่ในฐานะนายกฯ ที่จะแก้ปัญหาและคลายปมความขัดแย้งได้ ขอให้วางความเป็นน้องสาว แล้วทำหน้าที่นายกฯของประเทศ รัฐบาลจะต้องแสดงบทบาทลดความขัดแย้ง ด้วยการลดเงื่อนไข โดยฝ่ายที่มีเสียงข้างมาก สามารถจบเงื่อนไขความขัดแย้งได้

แต่ถ้าสุดท้ายมีการเลื่อนกฎหมายนี้โดยใช้เสียงข้างมาก รัฐบาลก็ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะเป็นผู้กุมเสียงข้างมากและการขับเคลื่อนก็เป็นการขยับตามแนวทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร บางส่วนของพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง แต่หากรัฐบาลจริงใจที่จะไม่พิจารณาเรื่องนี้ ก็ควรคุยภายในพรรคว่ายังไม่เหมาะสมที่ไปหยิบเรื่องนี้มาพิจารณา เพราะมีปัญหาที่จะต้องแก้ไม่ว่าจะเป็นโครงการจำนำข้าว ปัญหาเงินกู้ เรื่องน้ำ ค่าแรง 300 ของแพง รวมถึงปัญหาภาคีใต้ ที่ยังต้องผลักดันให้การพูดคุยเกิดประโยชน์อย่างแท้จริงได้อย่างไร รัฐบาลจึงควรเอาเวลาไปทำเรื่องเหล่านี้จะดีกว่า” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

'นายกฯ'ลงนาม โผทหารกลางปี

15 มี.ค.56 เมื่อเวลา 16.20น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวสั้นๆถึงกรณีที่ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้ลงนามในบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารกลางปีเพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯหรือยัง โดยนายกฯ กล่าวเพียงว่า "เซ็นแล้วค่ะ" แล้วจากนั้นนายกฯก็แหวกวงล้อมผู้สื่อข่าวออกไปทันที

"วลิต"นั่ง"มทน.1"จ่อขึ้น"มทภ.1"ปลายปี

รายงานข่าวแจ้งว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ลงนามในบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารกลางปี 2556 แล้ว โดยมอบหมายให้ นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ประสานไปยังสำนักราชเลขาธิการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เพื่อนำบัญชีปรับย้ายกราบบังคมทูลเกล้าฯ ต่อไป โดยบัญชีรายชื่อโยกย้ายปีนี้ ส่วนใหญ่เป็นการขยับนายพลในตำแหน่งหลักที่จะเกษียณอายุราชการในปลายเดือนก.ย.นี้ขึ้นมาได้อัตราพลเอกในตำแหน่งประจำ เช่น พล.ท.ชาญชัยณรงค์ ธนารุณ แม่ทัพภาคที่ 3 พล.ท. อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่4 พล.ท.ศุภรัตน์ พัฒนาวิสุทธิ์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (นสศ.)พล.ท.ณัฐชัย ใบเงิน รองเสนาธิการทหาร เป็นต้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบัญชีการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้มีตำแหน่งสำคัญประกอบด้วย พล.ท.สกล ชื่นตระกูล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก (ตท.13) ขยับเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 พล.ท.ปรีชา จันทร์โอชา (ตท.15) แม่ทัพน้อยที่ 3 ซึ่งเป็นน้องชายพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 พล.ต.สาธิต พิธรัตน์ (ตท.16) รองแม่ทัพภาคที่ 3 เป็นแม่ทัพน้อยที่ 3 พล.ต.พันธ์ศักดิ์ จันทร์ด้ง (ตท.14) รองแม่ทัพน้อยที่ 3 เป็นรองแม่ทัพภาคที่ 3 ขณะที่พล.ท.วลิต โรจนภักดี (ตท.15) ผู้ช่วยเสนาธิการทหารบกฝ่ายส่งกำลังบำรุง (ผช.เสธ.ทบ.ฝกบ.) ซึ่งเป็นนายทหารที่มีบทบาทสำคัญในการนำกำลังทหารเข้ามากระชับพื้นที่การชุมนุมเสื้อแดงเมื่อปี 2553 และเคยพลาดหวังจากตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 ได้ข้ามกลับมาเป็น แม่ทัพน้อยที่ 1 เพื่อจ่อขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ในเดือนตุลาคมนี้

พล.ต.ศุภกร สงวนชาติศรไกร (ตท.15) จก.กบ.ทบ. ขยับขึ้นเป็น ผช.เสธ.ทบ.ฝกบ. พล.ท.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ (ตท.14) ผู้ช่วยเสนาธิการทหารบกฝ่ายกิจการพลเรือน (ผช.เสธ.ฝกร.) ขยับขึ้นเป็น รองเสนาธิการทหารบก พล.ท.สถิต แจ่มจำรัส แม่ทัพน้อยที่ 1 (ตท.14) เป็น ผช.เสธ.ทบ.ฝกร. พล.ต.เฉลิมชัย สิทธิสารท รองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (รองผบ.นสศ.) ตท.16 เป็น ผบ.นสศ. พล.ต.ตุลา ประเสริฐสุข ผู้บัญชาการศูนย์สงครามพิเศษ (ตท.16)เป็น รอง ผบ.นสศ. พ.อ.ธนะศักดิ์ เก่งถนอมม้า รองผู้บัญชาการศูนย์สงครามพิเศษ (ตท.16)เป็น รองผู้บัญชาการศูนย์สงครามพิเศษ พล.ต.สมชาย ฤกษ์พิชัย(ตท.15) ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก เป็น ผู้บัญชาการกองพลทหารปืนใหญ่(ผบ.พล.ป.) พล.ต.ศักดา สาลีพันธ์(ตท.13) ผบ.พล.ป.เป็นผู้ทรงคุณวุฒิทบ.(อัตราพลโท)พล.ต.สุรศักดิ์ บุญศิริ ผู้บัญชาการกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.)เป็น ผู้ทรงคุณวุฒิ ทบ. (อัตราพลโท)พ.อ.สมโภชน์ วังแก้ว รองผบ.พล.ม.2 รอ.(ตท.17) เป็น ผบ.พล.ม 2 รอ.

ร่วมฉลองครบ 1 ปีสมาคมสตรีของ "เยาวเรศ"

เมื่อเวลา 19.00 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดงานสถาปนาสมาคมสตรีไทยดีเด่นแห่งชาติ ครบรอบ 1 ปี ภายใต้ชื่องาน “สมาคมสตรีไทยดีเด่นแห่งชาติ ร่วมสานสายใยผ้าไทยเทิดพระเกียรติ” และมอบโลห์แก่ผู้สนับสนุน ซึ่งได้จัดกิจกรรมประกวดผ้าไทยชุด “ผ้าไหมไทย มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ” และแฟชั่นโชว์ผ้าไทยผ้าบาติกผลงานออกแบบโดย Mr. Milo Migliavacca ดีไซน์เนอร์ผ้าบาติกชื่อดังของอินโดนีเซีย

นอกจากนี้ ยังมีการแสดงนิทรรศการผ้าไทยจากมูลนิธิศูนย์ศิลปาชีพตัวอย่างผ้าชั้นนำที่ออกแบบและตัดเย็บโดยสมาชิกสมาคมจากทั่วประเทศหวังที่จะส่งเสริมสตรีให้หันมาใช้ผ้าไทยมากขึ้น ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังเป็นประธานมอบรางวัลแก้ผู้ชนะการประกวดผ้าไทยในงานครั้งนี้ด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ สวมใส่ชุดราตรีที่ทำจากผ้าไหมไทยลูกไม้สีเหลืองเทา โดยมีสตรีที่มีชื่อเสียงในสังคมมาร่วมงาน อาทิ นางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช ภริยาของนายเสริมศักดิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนางเยาวเรศ ชินวัตร พี่สาวของนายกฯที่เดินทางมาพร้อมกับลูกสาว ในฐานะนายกสมาคมสตรีไทยดีเด่นแห่งชาติ เจ้าของงานดังกล่าว โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เข้าทักทายสวมกอดกับนางเยาวเรศด้วยบรรยากาศชื่นมื่น

โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมงานท่ามกลางสตรีไทยและขอแสดงความยินดีที่ครบรอบวันสถาปนาครบ 1 ปี ซึ่งตั้งแต่รัฐบาลเริ่มเข้ามาบริหารประเทศก็กำหนดให้การพัฒนาสตรีเป็นนโยบายหลัก และเป็นนโบายเร่งด่วน เพราะถึงแม้สตรีจะเปรียบเสมือนหลังบ้านแต่ก็มีความสำคัญ และขณะนี้สตรีก็เริ่มมีบทบาทมากขึ้นทั้งในด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ดังนั้นรัฐบาลจึงมีกองทุนบทบาทสตรีเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต โอกาสและรายได้ให้ดีขึ้นเพื่อส่งเสริมสตรีต่อไป

ศาลอุทธรณ์ยืน คุก 5 ปี "เสี่ยอู๊ด"

อุทธรณ์ยืน จำคุก 5 ปี ปรับ บริษัทไดมอนด์ ฮิลล์ ของ "เสี่ยอู๊ด" เซียนพระเครื่อง ฐานฉ้อโกงประชาชน หลอกขาย "พระสมเด็จเหนือหัว" ให้ชาวบ้าน คืนเงินให้เหยื่อ 921 รายกว่า 4 ล้าน

เมื่อเวลา 10.15 น. วันที่ 15 มี.ค. ที่ห้องพิจารณา 804 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลได้อ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสิทธิกร บุญฉิม หรือ "เสี่ยอู๊ด" อายุ 41 ปี และบริษัทไดมอนด์ ฮิลล์ จำกัด โดยมีนายสิทธิกร เป็นกรรมการผู้จัดการ เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันโฆษณาโดยใช้ข้อความที่จะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับสินค้า และโดยใช้ข้อความที่ใช้หรืออ้างอิงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์โดยไม่ได้รับพระบรมราชานุญาต ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคหรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสังคมส่วนรวม,ร่วมกันใช้เครื่องหมายราชการโดยไม่ได้รับอนุญาต และเลียนเครื่องหมายราชการให้ปรากฏที่วัตถุหรือสินค้าใด ๆ

โดยอัยการโจทก์ระบุฟ้องสรุปว่า เมื่อเดือน พ.ย.-ธ.ค. 2550 จำเลยทั้งสองร่วมกันแสดงข้อความอันเป็นเท็จ โดยโฆษณาเผยแพร่ว่าจัดสร้างพระเครื่องที่ใช้ชื่อว่า "พระสมเด็จเหนือหัว" สร้างจากมวลสารดอกไม้พระราชทานและผ้าไตรพระ ราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อจัดสร้างพระคราวนี้เป็นการเฉพาะ และยังนำตราเครื่องหมายพระมหามงกุฎที่เป็นเครื่องหมายราชการของสำนักราชเลขาธิการ สำนักพระราชวัง และเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้าแผ่นดินมาพิมพ์ประทับไว้ที่ด้านหลังพระสมเด็จเหนือหัว ซึ่งล้วนเป็นเท็จ ขอให้ลงโทษจำเลยตามความผิดด้วย จำเลยให้การปฏิเสธ

คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 1 เม.ย.2553 โดยพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายที่นำสืบหักล้างกันแล้วเห็นว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดจริง จึงพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 มาตรา 47, 48 และ 59 และพ.ร.บ.เครื่องหมายราชการ พ.ศ.2484 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 343 และ 83 อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้เรียงลงกระทงลงโทษ โดยให้จำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 4 ปี และปรับบริษัท จำเลยที่ 2 จำนวน 10,000 บาท ฐานฉ้อโกงประชาชนอันเป็นบทหนักสุด และให้จำคุกจำเลยที่ 1 อีกเป็นเวลา 1 ปี และปรับบริษัท จำเลยที่ 2 จำนวน 2,000 บาท ฐานใช้และเลียนแบบเครื่องหมายราชการโดยไม่ได้รับอนุญาต คงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 รวม 5 ปี และปรับบริษัท จำเลยที่ 2 จำนวน 12,000 บาท โดยให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินกับผู้เสียหายทั้ง 921 คนที่เช่าพระสมเด็จเหนือหัว แต่ไม่ให้เกิน 4,055,916 บาท จำเลยอุทธรณ์ ขอให้พักการลงโทษและลงโทษสถานเบา

ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า ที่จำเลยขอพักการลงโทษมานั้น เนื่องจากจะต้องเป็นคดีที่ศาลพิพากษาเด็ดขาดก่อน ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบานั้น เห็นว่า การกระทำ และพฤติการณ์ของจำเลยทำให้ประชาชนจำนวนมากหลงเชื่อจนเกิดความเสียหายโดยทั่วไป ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้นเหมาะสมกับความผิดแล้ว อุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังฟังคำพิพากษานายสิทธิกร มีสีหน้ายิ้มแย้ม และกล่าวสั้น ๆ ว่า ให้คุยกับทนายความแล้ว ส่วนทนายความของนายสิทธิกร กล่าวว่า เบื้องต้นต้องขอคัดคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มาศึกษาก่อนว่าจะมีช่องทางยื่นฎีกาได้หรือไม่.