ข่าว
พรรคการเมืองร่วมใจ ไม่เอานายกฯ"คนนอก"

เมื่อวันที่ 27 ก.พ. นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าคณะกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมาธิการ(กมธ.)ยกร่างรัฐธรรมนูญกำหนดให้นายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องเป็น ส.ส. ว่า โดยหลักแล้วผู้มีอำนาจหน้าที่ในการเลือกนายกฯคือรัฐสภา โดยการการโหวตในสภาฯ ซึ่งในโลกคนจะเป็นนายกฯ ต้องมาจากส.ส.เท่านั้น แต่รัฐธรรมนูญที่กำลังร่างขึ้นกลับกำหนดให้นายกฯ มาจากคนนอกได้ แต่ส่วนตัวเห็นว่านายกฯ ต้องมาจาก ส.ส. และหากไม่ได้มาจาก ส.ส.รัฐธรรมนูญต้องเขียนข้องดเว้นไว้ว่า เกิดอุปสรรค ข้อขัดข้องหรือวิกฤติของชาติ ไม่ใช่เปิดช่องให้ใครก็ได้มาเป็นนายกฯ เพราะการเปิดช่องดังกล่าวจะทำให้เป็นการเปิดช่องให้กลุ่มทุนเข้ามาครอบงำ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ส่วนวาระการทำงานจะเขียนกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่ก็ได้ เพราะไม่มีผลในทางปฏิบัติ เนื่องจากนายกฯ ส่วนใหญ่อยู่ในวาระแค่ 2 ปี ก็คานอำนาจแล้ว ดังนั้นเรื่องนี้จึงไมน่ากลัว ทางด้านนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา แสดงความเห็นคัดค้านเรื่องนายกฯ ไม่จำเป็นต้องเป็น ส.ส.เช่นกัน ว่า คงเป็นความต้องการที่มองมาจากปัญหาที่เกิดขึ้นในยามที่บ้านเมืองเกิดวิกฤติ จนหาทางออกไม่ได้เป็นตัวตั้ง ซึ่งหาก กมธ.ยกร่างฯ ต้องการเขียนเพื่อเปิดช่องให้มีนายกฯ คนนอกได้ในยามเกิดวิกฤติทางการเมืองจริง ๆ ก็ควรกำหนดให้มีบทบัญญัติอย่างใดอย่างหนึ่งในวรรคถัดมา เพื่อระบุถ้อยคำไว้ให้ชัดเจนเฉพาะในกรณีที่บ้านเมืองเกิดวิกฤติเท่านั้น โดยในวรรคแรกยังกำหนดให้นายกฯ ต้องมาจาก ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน กมธ.ยกร่างฯ จะต้องไม่ลืมเจตนารมณ์พื้นฐานที่ว่านายกฯ ต้องมีความยึดโยงกับประชาชนเป็นอันดับแรก ไม่ใช่เสนอชื่อคนนอกแล้วให้สภาฯ เป็นผู้เลือก ซึ่งก็จะขาดการมีส่วนร่วม ขาดความยึดโยงกับประชาชนไป

ขณะที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ จากพรรคเพื่อไทย แสดงความไม่เห็นด้วยเช่นกัน โดยระบุว่า แม้ว่าที่ผ่านมาประเทศไทยจะเคยมีนายกฯ ที่มาจากคนนอกแล้วก็ตาม แต่เมื่อเราเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตย ผ่านการพัฒนามาโดยลำดับ กระทั่งรัฐธรรมนูญปี 2540 ก็ระบุให้นายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน แม้แต่รัฐธรรมนูญปี 2550 ก็ยังคงกำหนดให้นายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้งเหมือนเดิม ถือว่าได้นายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนนั้นดีอยู่แล้ว เพราะจะมีความยึดโยงและเชื่อมโยงกับประชาชนมากกว่าบุคคลภายนอก อยากถามว่าประเทศไทยควรถอยหลังกลับไป โดยให้นายกฯ มาจากคนนอกอีกหรือ ถอยเข้าถอยออกกันอยู่แบบนี้ไม่ไปไหนกันเสียที.

มส.ยืนยัน ไม่มีมติ"ธัมมชโย"วันที่ 20 ก.พ. รื้อใหม่ต้องชงเรื่องที่"เจ้าคณะจ.ปทุมฯ"

พระพรหมเมธี โฆษกมหาเถรสมาคม หรือ มส. กล่าวภายหลังการประชุม มส. ว่า ที่ประชุมมีการหารือถึงกรณี พระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย พ้นสถานะปาราชิกตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช เมื่อปี 2542 โดยย้ำว่า การประชุม มส. เมื่อวันที่ 20 ก.พ. มีเพียงวาระรับทราบการไปชี้แจงของตัวแทนสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ต่อคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา ในประเด็นพระลิขิตของสมเด็จพระญานสังวรณ์ สมเด็จพระสังฆราช สกลสังฆปรินายก กรณีเจ้าอาวาสวัดธรรมกายต้องอาบัติปาราชิกและความคืบหน้าในการดำเนินการตามพระลิขิตของ มส.

ไม่มีการนำพระลิขิตเมื่อปี 2542 และไม่มีการพิจารณาคำสั่งของเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ที่มีคำสั่งให้พระธัมมชโยกลับดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายดังเดิมเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2549

ทั้งนี้ พระพรมเมธี กล่าวอีกว่า ทางพระวินัย ถ้าคณะสงฆ์มีการพิจารณาการลงโทษตามนิคหกรรมในคดีใดจนถึงที่สุดแล้ว ตามกระบวนการขั้นตอนอย่างถูกต้อง องค์คณะใดที่จะทำการรื้อฟื้นมติ ถือเป็นอาบัติต้องโทษ ดังนั้น หากจะร้องเรียนพระสงฆ์อีกครั้งจะต้องมีโจทก์ร้องเป็นลายลักษณ์อักษรตามขั้นตอนใหม่อีกครั้ง และต้องเป็นคดีใหม่ อย่างกรณีสหกรณ์ยูเนียนคลองจั่น ก็ต้องมีการร้องเรียนหรือฟ้องร้องในทางโลก

สำหรับประเด็นข้อเสนอขอให้มีการตรวจสอบทรัพย์สินของกรรมการมหาเถรสมาคมและวัดต่างๆนั้นส่วนตัวเห็นว่าการตรวจสอบทรัพย์สินของกรรมการมหาเถรเหมือนเป็นการตรวจสอบศรัทธาของประชาชน ซึ่งแต่ละรูปมีลูกศิษย์จำนวนต่างกัน ส่วนการตรวจสอบสาธารณสมบัติของวัดสามารถกระทำได้

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติแต่งตั้งคณะทำงานติดตามข้อมูลข่าวสาร เพื่อตรวจสอบ สรุป รวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารที่มีผลกระทบต่อพุทธศาสนา เรื่องการปฏิรูปแนวทาลและการปกป้องกิจการพระพุทธศาสนาตามที่สภาปฏิรูปเป็นผู้ริเริ่ม เพื่อเสนอต่อมหาเถรสมาคม โดยคณะทำงาน ประกอบด้วย พระพรหมเมธี วัดสัมพันธวงศาราม พรัพรหมสิทธิ วัดสระเกศ พระพรหมบัณฑิต วัดประบูรวงศาวาส พระธรรมบัณฑิต วัดพระราม 9 กาญจนาภิเสก นายจำนง สวมประคำ และนายพิสิฐ เจริญสุข


พ่อแม่"ศรีรัศมิ์"คอตกนอนเรือนจำหลังศาลไม่ให้ประกัน

บิดาและมารดาของท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี ที่ถูกดำเนินคดีฐานหมิ่นเบื้องสูง คอตกเข้าเรือนจำ หลังญาติหอบเงินประกันคนละ 1 ล้านบาทเพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราว แต่ศาลไม่อนุมัติ เนื่องจากเกรงว่าจะไปยุ่งเหยิงกับพยาน และอาจมีพฤติการณ์หลบหนีออกนอกประเทศ

เมื่อวันที่ 27 ก.พ. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ กลุ่มงานสอบสวน บก.ป. ได้นำตัว นางวันทนีย์ สุวะดี อายุ 66 ปี และ นายอภิรุธ สุวะดี อายุ 72 ปี สองสามีภรรยา ผู้ต้องหาคดีหมิ่นเบื้องสูง มายื่นคำร้องขอฝากขังต่อศาลครั้งแรก โดยระบุในคำร้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 46 ผู้ต้องหาทั้งสองซึ่งเป็นบิดามารดาของท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี ได้แอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการข่มขู่ น.ส.ศวิตา หรือแสงระวี มณีจันทร์ กับครอบครัวให้เกิดความเกรงกลัว เนื่องจากผู้ต้องหาทั้งสองโกรธเคือง น.ส.ศวิตา ที่ได้ไปเที่ยวพูดกับบุคคลอื่นว่ารู้จักกับ นายอภิรุธ ผู้ต้องหาที่ 2 จนทำให้เกิดข่าวลือว่า น.ส.ศวิตา กับ นายอภิรุธ มีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาว ทั้งนี้ผู้ต้องหาทั้งสองต้องการให้ น.ส.ศวิตา ต้องโทษจำคุกเพื่อให้หลาบจำ ซึ่งการข่มขู่ของผู้ต้องหาทั้งสองทำให้บุคคลที่เกี่ยวข้องเกิดความเกรงกลัว จนมีการแจ้งความดำเนินคดี น.ส.ศวิตา ฐานฉ้อโกง ถึงแม้ น.ส.ศวิตาจะไม่ได้กระทำผิดก็ตาม แต่ด้วยความหวาดกลัวการข่มขู่ของผู้ต้องหาทั้งสอง จึงต้องรับสารภาพไม่กล้าโต้แย้ง เป็นเหตุให้ น.ส.ศวิตา ต้องถูกศาลพิพากษาจำคุก 24 เดือน และเมื่อจำคุกไปแล้ว 1 ปี 6 เดือน จึงได้รับอภัยโทษ

การกระทำของผู้ต้องหาทั้งสอง ทำให้ น.ส.ศวิตา และครอบครัวได้รับความเดือดร้อน ไม่สามารถใช้ชีวิตตามปกติ เพราะเกรงจะได้รับอันตราย จนเวลาผ่านมา 10 ปีเศษ น.ส.ศวิตา เห็นว่า ครอบครัวผู้ต้องหาทั้งสองถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับการแอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ไปแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบหลายคดี จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ประกอบมาตรา 83 ซึ่งเมื่อผู้ต้องหาทั้งสองเข้ามอบตัวแล้วให้การปฏิเสธ อ้างว่า ไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นตาม ที่ น.ส.ศวิตา เข้าร้องทุกข์ จากนั้นผู้ต้องหาก็ได้รับการปล่อยตัวไป พนักงานสอบสวนเห็นว่าการกระทำของผู้ต้องหาก่อให้เกิดความเกรงกลัวต่อบุคคลอื่น และไปข่มขู่ยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการรวบรวมพยานหลักฐาน จึงขออำนาจศาลฝากขังผู้ต้องหาทั้งสองไว้ 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 27 ก.พ.–10 มี.ค. นี้ ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนขอคัดค้านการประกัน เนื่องจากคดีมีความร้ายแรง มีอัตราโทษสูง และเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีออกนอกราชอาณาจักร ศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้านจึงอนุญาตให้ฝากขังได้

ต่อมาญาติได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ เป็นเงินสดคนละ 1 ล้านบาท ขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาทั้งสอง ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าข้อหาความผิดมีความร้ายแรง แม้ผู้ต้องหาทั้งสองจะเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา แต่ปรากฏพยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนเสนอศาลเพียงพอมีเหตุอันควรเชื่อว่า หลังรับทราบข้อกล่าวหาผู้ต้องหาเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน และมีพฤติการณ์จะหลบหนีออกนอกราชอาณาจักร ดังนั้นจึงมีเหตุอันควรไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ให้ยกคำร้อง จากนั้นในเวลา 17.00 น. เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ จึงนำตัว นายอภิรุธ ขึ้นรถไปควบคุมไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ส่วน นางวันทนีย์ ถูกแยกไปควบคุมไว้ที่ทัณฑสถานหญิงกลางบางเขน.


'สรยุทธ-เบนซ์'งานเข้า หมิ่น'สาวประเภทสอง'

เมื่อวันที่ 27 ก.พ. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายดากานดา สอนประเสริฐ สาวประเภทสองผู้จัดทำโครงการ “เรามีเรา” เพื่อหารายได้ช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็ง ได้เดินทางมาพร้อม นายสาคร ศิริชัย ทนายความ เพื่อเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ดำเนินรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 อ.ส.ม.ท. และ น.ส.พรชิตา หรือเบนซ์ ณ สงขลา นักแสดงและผู้ร่วมดำเนินรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐาน ร่วมกันหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 , 328 , 332 โดยโจทก์บรรยายฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 57 จำเลยทั้งสองร่วมกันกล่าวในรายการใส่ความโจทก์ทำนองว่า น.ส.ปนัดดา หรือบุ๋ม วงศ์ผู้ดี ดารานักแสดงชื่อดัง ได้ถูกสาวประเภทสอง ชื่อ "ดากานดา" อ้างชื่อ "บุ๋ม" ไปขอรับบริจาคเงิน เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน และข้อความอื่นๆ ซึ่งจำเลยทั้งสองได้สนทนากันในรายการว่า โจทก์มีพฤติการณ์แอบอ้างชื่อ บุ๋ม-ปนัดดา ไปขอรับบริจาคจากผู้มีชื่อเสียงต่างๆ เพื่อหาทุนให้มูลนิธิสถาบันมะเร็งแห่งชาติ โดยไปติดต่อนักแสดงดารา หลายคนมาถ่ายภาพยนตร์ และถ่ายปฏิทินฟรีไมมีค่าตอบแทน อ้างว่าเป็นงานการกุศลและเงินบริจาค ทั้ง 2 ปีที่ผ่านมา รวม 3.4 ล้านบาท ซึ่งสถาบันมะเร็งฯก็ไม่เคยได้รับเลย การใส่ความดังกล่าวทำให้ผู้ชมรายการเข้าใจว่า โจทก์มีความประพฤติเป็นคนโกหก คดโกง หลอกลวง โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลย และให้จำเลยทั้งสองโฆษณาคำพิพากษาทั้งหมดในรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้ ” หรือรายการอื่นที่ออกอากาศช่วงเวลาเดียวกันทางสถานีโทรทัศน์ฯ ช่อง 3 รวมทั้งลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เดลินิวส์ มติชน คมชัด ลึก และข่าวสด เป็นเวลา 7 วันติดต่อกัน ศาลรับคำฟ้องไว้ในสารบบ หมายเลขดำ อ.621/2558 เพื่อไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ ในวันที่ 25 พ.ค.นี้ เวลา 13.30 น.

นายดากานดา กล่าวว่า ที่มายื่นฟ้องเนื่องจากเป็นการรายงานข่าวที่ผิดพลาด จากการนำข่าวที่ น.ส.ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ให้สัมภาษณ์ว่าถูกหลอกเงินไปมากล่าวในรายการ "เรื่องเล่าเช้านี้" แต่ข่าวสัมภาษณ์ "บุ๋ม-ปนัดดา" นั้นไม่มีการระบุถึงตัวเงิน แต่พิธีกรในรายการกลับกล่าวถึงเงินจำนวน 3.4 ล้านบาท ซึ่งไม่เป็นความจริง โดยการเปิดโครงการ “เรามีเรา” ตั้งแต่วันที่ 3 ต.ค. 56 – 31 ธ.ค.57 "บุ๋ม-ปนัดดา" ได้สนับสนุนเครื่องสำอางที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์ แต่การถ่ายนั้นก็ไม่แล้วเสร็จ พร้อมทั้งการหาช่างแต่งหน้ามาช่วยในงานเปิดตัวโครงการ เมื่อวันที่ 3 ต.ค.56 โดยไม่มีตัวเงินตามที่มีการเล่าข่าว ขณะที่โครงการดังกล่าวได้รับบริจาคเป็นหมวกไหมพรม เต้านมเทียม นำไปให้ผู้ป่วยโรคมะเร็ง ส่วนเงินบริจาคมีแค่ 50,000 บาทเศษ ที่ถูกหักค่าใช้จ่าย ค่าพรีเซ็นเตอร์แล้ว จึงเหลือเพียง 20,000 บาทเศษ โดยหลังจากที่ "บุ๋ม-ปนัดดา" แถลงข่าว ตนก็ไปถอนเงินในวันที่ 28 ธ.ค.57 ก่อนจะปิดโครงการวันที่ 31 ธ.ค.57 เพื่อนำไปมอบให้สถาบันมะเร็งฯ แต่สถาบันไม่ประสงค์จะรับ โดยช่วงนั้นมีการให้สัมภาษณ์เรื่องเงินบริจาคเข้าโครงการฯ จากเว็บไซต์เทใจ จำนวน 3.4 ล้านบาท แต่จริงๆแล้วยอดเงินดังกล่าว เป็นยอดรวมในหลายโครงการ ซึ่งโครงการของตนได้รับเพียง 40,000 บาท โดยถูกเว็บไซต์เทใจหัก 10 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นข้อเท็จจริงที่มีการนำเสนอจึงคลาดเคลื่อน ส่วน นายสาคร ทนายความ กล่าวว่า เหตุที่ต้องมาฟ้องเพราะรายการนี้มีผู้ชมมาก พิธีกรเป็นบุคคลน่าเชื่อถือ เมื่อพูดถึงกรณีนี้ที่ยังไม่ได้ทำการตรวจสอบ และมีการกล่าวชื่อ-นามสกุลจริงอย่างชัดเจน จึงทำให้โจทก์เสียหาย เหมือนการันตีว่าโจทก์เป็นคนคบไม่ได้ และหลังจากนี้จะยื่นหนังสือถึงช่อง 3 ให้จัดการนำเทปรายการที่เคยออกวันที่ 23 ธ.ค 57 เอาออกจากเว็บไซต์ด้วย.


ทหารนำกำลังจู่โจม ทลาย บ่อนเตาปูน

วันนี้ 27 ก.พ.58 เวลาประมาณ 14.00 น. พันเอกบุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ สังกัดพล.ม.2 รอ. พันเอกนพสิทธิ์ สิทธิพงศ์โสภณ รองผู้บังคับการกรมทหาร ม.1 รอ. นำกำลังเจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายปฏิบัติการคณะทำงานพิเศษ คสช. โดยมีพลโทกัมปนาท รุดดิษฐ์ เป็น ผบ.กองกำลัง ร่วมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.เตาปูน และเจ้าหน้าที่เทศกิจเขตบางซื่อ นำกำลังบุกตรวจค้นบ่อนการพนันชื่อดัง ย่านเตาปูน ชุมชนตรอกข้าวสาร แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร

โดยการตรวจค้นดังกล่าว เจ้าหน้าที่ทหารได้ใช้เครื่องตัดประตูเหล็ก ค้อนปอนด์ และแก๊ซตัดเหล็ก เพื่อเข้าไปตรวจสอบภายในอาคารที่มีลักษณะดัดแปลงเป็น 3 ชั้น ด้านนอกมีประตูเหล็กหนากั้นไว้อย่างหนาแน่น และด้านในมีประตูเหล็กหนา 3 ชั้นกั้นไว้อีกชั้นหนึ่ง

ทั้งนี้ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ใช้กำลังทลายบ่อนดังกล่าว ปรากฏว่าชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง ต่างพากันโวยวาย แสดงความไม่พอใจ และต่อว่าเจ้าหน้าที่ทหาร ที่ใช้กำลังทำลายทรัพย์สินประชาชน

ซึ่งสถานการณ์ในขณะนี้ เจ้าสามารถเข้าไปบริเวณชั้น 2 ด้านในได้ แต่ไม่พบนักพนันและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด พบเพียงชุดอุปกรณ์สำหรับเล่นการพนันหลายรายการ ตั๋วไพ่ โต๊ะบาร์คาร่า โพยบอล หวยใต้ดิน อุปกรณ์เสพยาเสพติด อาวุธปืน 6 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุน และเอกสารสำคัญต่างๆ โดยเฉพาะเอกสารบันทึกการนำรถเข้าออกจำนวนหลายคัน

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเจ้าหน้าที่ทหารพยายามเข้าไปบริเวณชั้น 3 แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าไปได้ เนื่องจากมีประตูเหล็กหนากั้นไว้หนาแน่น

ทั้งนี้ภายหลังจากการตรวจค้น และไม่มีบุคคลใดแสดงตัวเป็นเจ้าของอาคาร ดังนั้นทหารจะให้ทางสำนักเขตบางซื่อตรวจสอบว่ามีชื่อบุคคลใดเป็นเจ้าของ เพื่อติดตามตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่หากตรวจสอบไม่พบ ก็จะให้เจ้าดำเนินการทุบทำลายอาคารดังกล่าวต่อไป

ส่วนของกลางที่ยึดได้จะนำไปตรวจสอบลิขสิทธิ์ พร้อมกับนำไปเก็บไว้ที่ กองพลทหารปืนใหญ่ ที่ 1 รักษาพระองค์ ซึ่งเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ จะแจ้งข้อกล่าวหากับเจ้าของอาคารในฐานความผิดฝ่าฝืนค่ำสั่งของ คสช. ลักลอบให้มีการเล่นพนัน

ศิลปินสาวใจกล้าเดินเปลือย อุ้มทารกทั่วพิพิธภัณฑ์ศิลป์

เว็บไซต์ข่าวสหรัฐ “นิวยอร์ก เดลินิวส์” รายงานจากเมืองมึนสเตอร์ ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 26 ก.พ.ว่า “มิโล มัวร์” ศิลปินสาวชาวสวิตเซอร์แลนด์ วัย 32 ปี ใจกล้า เปลือยกาย ไม่ใส่เสื้อผ้าสักชิ้น อุ้มทารกน้อยเดินไปทั่วบริเวณที่จัดแสดงนิทรรศการศิลปะในพิพิธภัณฑ์ศิลป์ “แอลดับเบิ้ลยูแอล มิวเซียม ฟอร์ อาร์ต แอนด์ คัลเจอร์”ของเมืองมึนสเตอร์ ทางเหนือของรัฐนอร์ดไรน์-เวสท์ฟาเลิน ประเทศเยอรมนี โดยที่มีตากล้องคอยถ่ายวิดีโอติดตามเธอตลอดเวลา สร้างความฮือฮาให้กับผู้ชมที่เข้ามาดูงานศิลปะทั้งเด็กและผู้ใหญ่

ผู้ชมที่พบเห็นสภาพดังกล่าวต่างก็มีกระแสตอบรับทั้งดีและไม่ดี บางคนกล่าวว่า สาวเปลือยรายนี้ได้รับความสนใจมากกว่าภาพวาดทั้งพิพิธภัณฑ์รวมกันเสียอีก มิโลกล่าวว่า เธอต้องการแสดงภาพทารกน้อยปลอดภัยอยู่ในอ้อมอกของหญิงเปลือย และต้องการให้ผู้ชมสัมผัสว่า ศิลปะแบบนู้ดนี้จะสามารถเข้าใกล้ชีวิตจริงของคนได้แค่ไหน


ดารารุ่นเก๋าจากสตาร์เทรค 'เลโอนาร์ด นิมอย' ลาโลก

นักแสดงฮอลลีวูดรุ่นอาวุโส เลโอนาร์ด นิมอย ผู้ที่โด่งดังและเป็นที่จดจำ จากบท 'สป็อก' ต้นเรือของยานเอ็นเทอร์ไพรส์ ในภาพยนตร์ สตาร์เทรค (STARTREK) เสียชีวิตแล้วในวัย 83 ปีจากโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง...

เมื่อวันที่ 27 ก.พ.2558 นักแสดงฮอลลีวูดรุ่นอาวุโส เลโอนาร์ด นิมอย (Leonard Nimoy) ได้เสียชีวิตลงแล้วในวัย 83 ปี โดยเขาเสียชีวิตที่บ้านพักในลอสแองเจลลิส ด้วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังระยะสุดท้าย Chronic obstructive pulmonary disease (COPD) ตามที่ ซูซาน นิมอย ภรรยาของเขา ได้ให้สัมภาษณ์กับ นิวยอร์ก ไทม์ส

นักแสดงผู้ที่โด่งดังและเป็นที่จดจำจากบทบาทของ "สป็อก" (Spock) ลูกครึ่งมนุษย์ต่างดาววัลแคน ต้นเรือของยานเอ็นเทอร์ไพรส์ จากภาพยนตร์ และ ซีรีย์ทางโทรทัศน์ เรื่อง สตาร์เทรค (STARTREK) โดยเขาได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเมื่อ 2 วันที่แล้วด้วยอาการเจ็บหน้าอก ก่อนจะเสียชีวิตจากโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง เนื่องจากในอดีตเขาเคยเป็นคนที่สูบบุหรี่จัด

ก่อนหน้านี้้เขาได้ร่วมแสดงในซีรีย์ทางโทรทัศน์ เรื่อง Fringe โดยรับบทเป็น วิลเลียม เบลล์ นักวิทยาศาสตร์ และแสดงเป็นสป็อก ไพรม์ ในภาพยนตร์ Star Trek Into Darkness ในปี 2013 นอกจากนี้ นีมอย ยังเคยเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ Star Trek III: The Search for Spock และ Star Trek IV: The Voyage Home and 3 Men and a Baby

LLAP - Live long and prosper

นอกจากนี้ ตัวละคร สป็อก ที่นิมอยแสดงนั้นยังมีท่าที่เป็นเอกลักษณ์ คือ การยกมือแล้ว นิ้วชี้กับนิ้วกลาง และ นิ้วนางและนิ้วก้อยติดกัน หรือ Live long and prosper : LLAP ที่เขาใช้ในการทวิตครั้งสุดท้ายในชีวิตของเขาด้วย.