สุขภาพและการบำบัด
สดศรี สุริยะฉาย
ขี้ผึ้งสีปาก

สมัยที่เรา (คนรุ่นเบบี้บูมเมอร์) ยังเป็นเด็ก คงจะเคยเห็นคุณยายเปิดร่วมหมาก ควักตลับขี้ผึ้งลงรักสีแดงมาเปิด แล้วเอานิ้วลูบขี้ผึ้งไปสีที่ปาก แล้วบรรจงปิดอย่างมิดชิด เราไม่เคยสนว่ามันคืออะไร ทำอะไรต่อผิวของปาก แต่คนกินหมากรู้ดีว่า ขาดขี้ผึ้งสีปากไม่ได้ เพราะว่าหมากมีรสฝาด มีความเป็นด่างทำให้ปากแห้ง ถ้าไม่ใช้ขี้ผึ้งสีปากก็จะปรากฏชัดว่าปากแตกระแหงเพราะผิวหนัง

มาถึงสมัยนี้ ขี้ผึ้งสีปากวัฒนาการไปถึงขั้นป้องกันมะเร็งที่ปากได้ มะเร็งที่ปากทำให้คนต้องสูญเสียส่วนหนึ่งของปากไปเพราะการผ่าตัดเอาเนื้อร้ายออก เพื่อให้ปากมีความปลอดภัยในการใช้พูดต่อไปได้ มิฉะนั้นอาจไม่เหลือปากเลย เรื่องนี้เราพูดในแง่ของการบำบัดทางการแพทย์ ที่ต้องทำการผ่าตัด เพื่อกำจัดมะเร็งของปาก คนเป็นมะเร็งที่ปากกันมาก เราอาจจะไม่เคยรู้ข่าวนี้ เพราะคนไทยทานอาหารที่ประกอบด้วยสมุนไพรเป็นส่วนใหญ่เช่นหอม กระเทียม ข่า ตะไคร้ ขมิ้น ไม่ค่อยได้ทานไขมันปิ้งจนไหม้เหมือนคนทั่วไปที่ทำบาบีคิว

มะเร็งที่ปาก ฟังแล้วน่ากลัว มีอะไรไหมที่จะป้องกันได้ มีซิ ถ้าคุณสีปากด้วยขี้ผึ้ง เดี๋ยวนี้ขี้ผึ้งสีปากไม่ได้ทำด้วยครีมไขมันจากหมูน้อยธรรมดา (Lard) หรือขี้ผึ้ง (Wax) ขี้ผึ้งสีปากที่สามารถป้องกันมะเร็งได้ ควรประกอบด้วยสารที่จะป้องกันมะเร็ง เรารู้อยู่แล้วว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดมะเร็งมีมากมาย เกิดจากเชื้อรา ไวรัส แสงแดด และสารเคมี เช่นปุ๋ย ยาฆ่าแมลง สารกันบูด และสารป้องกันสารเคมีในผลิตภัณฑ์ (เช่นแชมพู) เปลี่ยนสภาพ เป็นต้น ที่เราไม่รู้สาเหตุก็มีอีกมากเพราะเราไม่รู้ว่าเราไปรับ (Exposed) เอาอะไรเข้าไว้ในตัว ตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็เลยยกประโยชน์ให้จำเลยไปว่าไม่รู้ว่าทำผิดที่ตรงไหน ที่เราได้ยินเป็นประจำว่า Beyond the Doubt

ถ้าเรามาทำความเข้าใจถึงการก่อตัวมะเร็ง เราก็มองออกว่าจะป้องกันอย่างไร ก่อนอื่นเราจะแยกประเด็นของมะเร็งเป็นมะเร็งภายนอกที่ผิว กับมะเร็งภายในตามเนื้อเยื่อและอวัยวะส่วนต่างๆ ภายในร่างกาย รวมไปถึงกระดูก เซลล์มะเร็งก่อตัวแล้วเจริญเติบโตเร็วมาก ทำให้ต้องสร้างทางลัดนำกระแสโลหิตไปเลี้ยงเซลล์มะเร็งเพิ่มขึ้นโดยตรง เรียกว่า Angiogenesis (การสร้างกระแสโลหิตใหม่) การป้องกันมะเร็งรายงานโดย นายแพทย์ จูด้าร์ โฟล์คแมน นักวิทยาศาสตร์จากฮาร์วาร์ด และเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลเด็กที่ ชิคาโก ร่วมกับ ดอกเตอร์ เจมส์ ดี. วัดสัน ผู้ได้รับรางวัลโนเบลและเป็นผู้ร่วมค้นพบ DNA ที่ก้องโลก สามารถป้องกันการสร้างทางเดินของโลหิตไปเลี้ยงเซลล์มะเร็งได้โดยกระบวนการเรียกว่า Angiogenic หรือการใช้วิธีการ Angiostatins และ Endostins ซึ่งเป็นการตัดต้นลมโดยใช้สาร Genesteins หรือผลิตผลของ Genesteins เช่นสารเรียกว่า Dismutase ที่ทำมาจากการเพาะถั่วเหลืองให้งอกในสภาวะของโอโซน ทำให้ถั่งเหลือง สร้างโปรตีนสูงสุดเพื่อความอยู่รอดชีวิตจากโอโซนที่จะฆ่าพืช การทานอาหารเสริมประกอบด้วย Dismutase จากถั่วเหลืองจึงช่วยป้องกันการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้

นอกจากนี้ สารอื่นๆ ที่จะช่วยลดการก่อตัว และป้องกันการสร้างทางเดินของเลือดไปเลี้ยงมะเร็งก็มีเช่น Omega-6 ผลิตจากน้ำมันกุหลาบ (Primrose Oil) และ Omega-3 ผลิตจากน้ำมันปลา (Fish Oil) ทั้งสองอย่างนี้มีกรดไขมันซึ่งเป็นไขมันที่ดี ช่วยลดไขมันโคเลสเตอรอล และลดการเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยการสร้างสารชื่อ PGE2 ซึ่งเป็นสารตัดต้นลม Angioenic ที่ได้ผลและทรงพลังในการรักษามะเร็ง

นอกจากนั้น สาร N-acetyl cysteine (NAC) สามารถสร้าง Glutathione ที่จะตัดกระแสทางลัดของเลือดไปสู่เซลล์มะเร็งได้ เช่นเดียวกับสารสกัดจากผักมีสีสด เช่นกะหล่ำปลีสีม่วง และผลไม้สีต่างๆ สารเหล่านี้จะเป็นส่วนประกอบอยู่ในผลิตภัณฑ์อาหารเสริมคุณภาพสูง นอกเหนือไปจากไวตามินซี และดี ซึ่งมีส่วนในการทำลายสารอณูอิสระ (Free Radicals) ทำให้เซลล์ขาดน้ำเป็นอันตรายต่อการทำงานตามปกติ

ถ้าเราต้องการป้องกันมะเร็งภายนอก เราก็ควรใช้สารทาภายนอก เพื่อป้องกันมะเร็งมิให้ก่อตัวไว้ก่อนล่วงหน้า เช่นทาครีมป้องกันแดดที่จะมาทำอันตรายต่อผิว แสงอุลต้าไวโอเลตเป็นรังสีที่เราป้องกันการแทรกซึมยากมาก เนื่องจากผิวยอมรับ ตรงที่มันก็มีส่วนดีช่วยสังเคราะห์ไวตามินดี ทำให้กระดูกแข็งแรง ร่างกายก็มีส่วนต้องการอยู่ แต่ตราบใดที่เราไม่มีการไหม้แดด ก็พอจะได้ประโยชน์ ถ้าแดดแผดแรงมากความสามารถของผิวที่จะสร้างเซลล์สีดำมาป้องกัน ก็เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะถ้าสตรีมีเอสโตรเจนหรือฮอร์โมนเพศหญิงในตัวสูงเกินควร มักจะเป็นฝ้า เพราะผิวป้องกันตัวเองโดยการรวมตัวเซลล์สีดำมาเป็นจุดๆ การป้องกันมะเร็งที่ผิวมิให้ก่อตัว นอกจากจะเลี่ยงแดดร้อนจัดเป็นเวลานานแล้ว ยังต้องทาครีมกันแดดเพื่อลดการแทรกซึมด้วย

มะเร็งที่ผิวก่อตัวเป็นลำดับขั้น เริ่มสังเกตได้ด้วยจุดสีจางๆ ที่แลเห็นเส้นเลือดเป็นกระจุกเรียกว่า Basal Cell Carcinoma แล้วพัฒนาในระยะเวลานานเป็นสีคล้ำแดงนูนขึ้น มีสะเก็ดลอก ไม่เห็นสายเลือดเรียกว่า Squamouse Cell Carcinoma ถ้าปล่อยไว้หรือไม่สังเกตเห็นโดยแพทย์เสียก่อน จะก่อตัวเป็นขั้นอันตรายลุกลามไปสู่ส่วนอื่น เรียกว่า Malignant Melanoma มีสีน้ำตาล หรือสีดำ หรือสีแปลกไปจากสีผิว จำเป็นต้องกำจัดโดยการผ่าตัดออก ส่วนก้อนเนื้อทูเมอร์ อาจเป็นก้อนที่ไม่มีอันตรายต่อเซลล์ส่วนอื่น เพียงแต่กำจัดทิ้งไปก็หมดการคุกคามต่อเนื้อเยื่อรอบๆ แต่เซลล์มะเร็งจะแย่งอาหารจากเลือดที่ไปเลี้ยงส่วนอื่นๆ ทำให้เกิดความเจ็บปวดเพราะเซลล์โหยหิว อย่างไรก็ตาม ถ้ากินอยู่อย่างสมบูรณ์ถูกต้อง อาหารอาจช่วยเลี่ยงปัญหาไม่มากก็น้อย

กลับมาที่การใช้สีผึ้งทาปากที่สามารถป้องกันมะเร็งได้ ไหนๆ ก็จะทาให้เกิดประโยชน์ต่อปากทั้งทีก็หาประโยชน์หลายๆ อย่างก็คุ้มสตางค์ที่ต้องเสียไป ดีไหม

ขี้ผึ้งสีปากที่ว่านี้สามารถใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เป็นต้นว่า

1.ทาปากก่อนทาลิปสติค ทำให้ปากนุ่ม ชวนชนปากด้วย

2.ทาปากก่อนนอน ทำให้ปากเต็มอิ่ม ไม่ต้องไปเสียเงินทำศัลยกรรมปากราคาสี่พันเหรียญ เพราะมีโปรตีนผสมอยู่ เรียกว่า Enzyme Protein Emollient และ Collagen กับ Elastin

3.ทาปากป้องกันไวรัส และแบคทีเรีย เพราะมีส่วนผสมของ Tea Tree Oil น้ำมันจากต้นทีทรี

4.ทาปากป้องกันมะเร็ง โดยการคุ้มกันจากแสงอุลตร้าไวโอเลต ทั้งสามความถี่ ที่เรียกว่า UV-A UV-B และ UV-C เพราะมีสารกันแดด SPF 15 ซึ่งเป็นอัตราในการป้องกันสูงกว่าปกติ (8 ถึง 12)

5.ทาปากป้องกันสารอณูอิสระไม่ให้ทำอันตรายต่อผิว เพราะประกอบด้วย Antioxidants ไวตามินเอ และ ไวตามินอี

6.ทาปากด้วยสารที่ทำให้ผิวปลอดภัยจากการติดเชื้อโรค เพราะประกอบด้วย Aloe Vera

7.นอกจากใช้ทาปากแล้ว ก็ใช้นวดหนังหุ้มเล็บไปด้วยในตัว สตรีสูงอายุ หรือทำงานกับน้ำมากๆ มักจะมีหนังมือและหนังหุ้มเล็บแห้ง ขี้ผึ้งทาปากทำงานได้ผลดีมาก

8.หลังจากนวดหนังหุ้มเล็บก่อนออกจากบ้าน กำลังหวีผม ก็ใช้มือที่มีความชุ่มจากขี้ผึ้งทาปากไปเลยผมตรงกลางกระหม่อม ทำให้ผมได้สไตล์ที่แยกตัวดูทันสมัย ไม่เป็นก้อนซึ่งดูโบราณ หลังจากนั้นก็ใช้ฝ่ามือที่มีขี้ผึ้งทาปากอยู่ลูบผมอย่างบางเบา จะทำให้ผมอยู่ทรงตัวเป็นเงาด้วย ไม่ต้องฉีดสเปรย์ผม ซึ่งมีส่วนก่อให้เกิดปัญหาทางเดินหายใจ และมะเร็งจากสารเคมีบางตัว

เรื่องของขี้ผึ้งสีปาก ยังมีอีกมาก เช่นหน้าหนาว มือแห้งถึงขั้นแตกระแหง เลือดออก แสบถูกน้ำไม่ได้ ถ้าทาขี้ผึ้งสีปากที่มีส่วนผสมข้างต้น รอยแตกแยกของผิวจะค่อยๆ สมานปิดสนิทภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง มหัศจรรย์เกิดจาก Aloe Vera ซึ่งมีคุณสมบัติในการรักษาแผลสด หรือแผลไฟไหม้ได้ชะงัดรวดเร็ว ถ้าคุณมีใบว่านหางจระเข้นี้ไว้ในห้องครัว เวลาน้ำมันร้อนกระเด็นใส่ผิวก็ทาเจลจากว่านหางจระเข้ จะไม่ปวดแสบปวดร้อน และไม่เป็นแผลเป็น และแผลหายเร็วขึ้น เจลจากว่านนี้ยังช่วยปลูกผมด้วย แต่ว่านนี้ไม่ควรผสมอยู่ในครีมทามือ หรือคอนดิชั่นเนอร์สำหรับผม เพราะไม่ช่วยสร้างความชุ่มชื้นแต่ประการใด กลับทำให้ผิวแห้ง ผมแห้งมากขึ้น

การใช้ขี้ผึ้งสีปากนี้ให้ได้ผลคุ้มเงินที่เสียไปอีกอย่างหนึ่งก็คือ เวลาแมวข่วนซิบๆ ลองทาดูแผลหายเร็วขึ้นโดยเฉพาะถ้าทาว่านหางจระเข้ด้วย

ขี้ผึ้งสีปากมีความสำคัญไม่เฉพาะแต่เพศหญิง เพศชายทุกคนก็ขาดขี้ผึ้งสีปากไม่ได้ โดยเฉพาะไม่ทาลิปสติค ปากแห้งกว่าใครๆ ที่ทาลิปสติค ก็ใช้แค่ขี้ผึ้งสีปากก็พอ นอกจากจะทำให้ปากน่าประทับด้วยแล้ว ถ้าวาทะน่าฟังด้วย ก็เป็นเสน่ห์อย่างยิ่ง ไม่ต้องหาพระอาจารย์เสกหรอก

ขี้ผึ้งสีปากนี้ผลิตจากการค้นคว้าสูตรพิเศษของนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่ไม่มีส่วนผสมของไขมันขี้โล้ ผลพลอยได้จากการกลั่นน้ำมัน (Petrolatum) หรือ วาสลีน ซึ่งผลิตจากไขมันสัตว์ ที่ทำให้เกิดการอุดตันของผิว และยังประกอบด้วยโปรตีนสายใยอีลาสติน และคอลลาเจน ทำให้ผิวแต่งตึง ริมฝีปากเต็มอิ่ม นอกจากนี้ยังมีการป้องกันจากแสงแดดระหว่างการเล่นเทนนิส กอล์ฟ หรือการออกกำลัง เล่นกีฬากลางแจ้งอื่นๆ เรียกว่า ผู้หญิงมีลิปสติคกับขี้ผึ้งสีปากติดกระเป๋า ผู้ชายก็มีขี้ผึ้งสีปากติดตัว