เมื่อคุณขาดน้ำ หัวใจสั่นพาลจะหยุดเต้นเอาเชียวนา อย่างตอนที่มีไวรัสเมอร์ส หรือ ชาร์ส ระบาด ผู้เขียนถึงกับอาเจียนและท้องเดินพร้อมกัน เล่นเอาน้ำในร่างกายหมดต้องมีรถหวอพาไปเติมน้ำเกลือ 3 ขวด 3 วันก็กลับบ้านได้ เรียกว่าหัวใจเกือบหยุดเต้น เหลือแค่ 57 ครั้งต่อนาที และยังจำบิลโรงพยาบาลได้จนบัดนี้ 3 วัน 38,400 เหรียญ เป็นค่าเติมน้ำสู่ร่างกาย ฉะนั้นอย่าคิดว่าน้ำไม่สำคัญ
น้ำมีสูตรวัดค่าได้เป็นกรดหรือด่าง ตามตารางตั้งแต่ 0-14 ตรงจุดกลางที่ 7 เรียกว่าไม่เป็นกรดหรือด่าง คือ น้ำกลั่น หมายถึงไม่มีโลหะ เพราะน้ำระเหยเป็นไอแล้วกลั่นเป็นน้ำ ผู้เขียนบริโภคน้ำกลั่น ไม่ว่าจะหุงต้มหรือล้างผัก อะไรก็ตามที่จะพาน้ำเข้าสู่ร่างกาย ก็ใช้น้ำกลั่น เพราะน้ำก๊อกเขาเติมตะกั่วเพื่อป้องกันท่อแตก
ทีนี้ มาพิจารณาความสำคัญของน้ำ เซลล์ในร่างกายของสิ่งมีชีวิตต้องประกอบด้วยน้ำ การเจริญเติบโตของเซลล์มาจากการหมุนเวียนและสื่อสารระหว่างเซลล์โดยใช้น้ำเป็นพาหะ ทารกจะเปลี่ยนเซลล์ในระยะ 14 วัน วัยรุ่นใช้เวลาพัฒนาเซลล์ประมาณ 21-28 วัน วัยกลางคนก็เปลี่ยนเซลล์ใหม่ในราว 28-42 วัน พออายุเกิน 50 ปี เซลล์ใช้เวลานานขึ้นกว่าจะพัฒนาเกิดเซลล์ใหม่ 42-84 วัน ฉะนั้น ผู้สูงอายุต้องกินอาหาร และดื่มน้ำให้สมบูรณ์ เพื่อให้แน่ใจว่าเซลล์สามารถพัฒนาสร้างเซลล์ใหม่ได้ มิฉะนั้นจะมีรอยย่นที่ผิวเพราะเซลล์ร่วงโรยไม่สร้างใหม่ ถึงต้องสเปรย์โกรทฮอร์โมนเพื่อช่วยงานที่หัวใจของเซลล์คือ DNA และการสื่อสารระหว่างเซลล์โดย RNA ตามหลักการดำรงชีวิต ประกอบด้วย 4 อ. คือ อาหาร อากาศ อารมณ์ อาศัย
อาหาร เป็นตัวพัฒนาค่าของน้ำ ที่เขาเรียกว่า pH (Potential Hydrogen) ที่จะเป็นตัววัดว่าน้ำมีค่าความเป็นกรดหรือด่างเท่าไหร่ จากตาราง pH ระหว่าง 0-14 มีจุดกลางคือความสมดุลที่ 7 คือไม่เป็นกรดหรือด่าง ได้แก่ Distilled Water ค่า pH ระหว่าง 0-7 เรียกว่า กรด (Acid) ระหว่าง 7-14 เรียกว่าด่าง (Alkaline) การจะบริโภคน้ำชนิดไหน ก็เลือกที่ความเป็นกรดหรือด่าง อย่างผู้เขียนเลือกบริโภคน้ำที่มีค่าเป็นกลาง คือน้ำกลั่น เพราะปลอดภัยที่สุดต่อ ระบบน้ำในร่างกาย คือโลหิตและน้ำเหลือง ที่ได้รับผลมาจากอาหารและเครื่องดื่มที่ใส่เข้าสู่ระบบร่างกาย และร่างกายสร้างเองเพื่อระบบการทำงานย่อยอาหาร
ยกตัวอย่าง ทานส้ม เรียกว่า มีไวตามินซี เป็น ascorbic acid เพื่อหวังผลในการป้องกันมิให้เซลล์เสียน้ำ (anti-oxidant) เป็นสารที่ละลายในน้ำง่ายเพื่อให้ร่างกายนำไปเป็นประโยชน์ต่อระบบการทำหน้าที่ป้องกันเซลล์มิให้เป็นเหยื่อของแบคทีเรียและไวรัสมาดูดกินน้ำในเซลล์
ในร่างกายของเรามีศัตรูเรียกว่า Fee radical เป็นตัวที่คอยทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ซึ่งทำให้เซลล์ส่งข่าวสารระหว่างกันไม่ได้ ส่งผลให้การทำงานภายในเซลล์ไม่สำเร็จ เพราะทำลายหน่วย DNA ซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจของเซลล์เพราะทำการสั่งให้เซลล์ทำงานและประสานงานกับเซลล์อื่นด้วย RNA หมายถึงว่าถ้าเกิด Free radicals ขึ้นภายในเซลล์ แล้วเซลล์สั่งการทำลายมันไม่ได้ เพราะขาดน้ำและการสื่อสารระหว่างเซลล์ เซลล์ก็ยุติชีวิตเรียกว่า เซลล์มะเร็ง ถ้าลามต่อไปเรื่อยๆ ก็ทำลายอวัยวะต่อไป ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเซลล์ผิวขาดน้ำ เกิดแห้งเรียกว่า hardening collagen ความชุ่มชื้นที่ผิวไม่มี ผิวแห้ง เพราะขาดคอลลาเจนที่จะสร้างเซลล์ผิวใหม่ ผิวก็ย่นเพราะเซลล์ผิวน้อยลง เรียกว่าผิวแก่ก่อนวัย
วิธีป้องกันก็โดยใช้ภาวะน้ำที่เป็นกรด allergic acid ออกมาจากผลไม้ เช่น สตรอเบอรี่ องุ่น ราสเบอรี่ กรดนี้ จะไปสร้างความเป็นกลางในภาวะน้ำในเซลล์ หรืออีกนัยหนึ่งทำให้สารเคมีที่ก่อมะเร็งเกิดความเป็นกลางก่อนที่จะเดินทางไปทำลายหัวใจของเซลล์คือ DNA นี่คือวิธีง่ายๆของการเลือกอาหารให้ทำหน้าที่ช่วยปรับภาวะของน้ำในเซลล์ให้เป็นประโยชน์โดยใช้ภาวะของน้ำ
หรือได้เคยกล่าวแล้วว่า สารเผ็ดในพริก เรียกว่า capsaicin สามารถป้องกันมิให้ตัวก่อมะเร็งไปเกาะติดกับหัวใจของเซลล์ หรือ DNA ยกตัวอย่างๆ แกงส้ม ประกอบด้วยพริกมีสารนี้ และมะขามมีสารรสเปรี้ยวที่เป็นกรด และเราใส่ผักที่เป็นหัวเช่น หัวไชเท้าดิบ หรือใส่กะหล่ำปลี หรือดอกกะหล่ำ ก็ได้คุณค่าพร้อมตามที่กล่าว
อาหารเครื่องเคียงที่เพื่อนบ้านทำมาแจกผู้เขียน ประกอบด้วยหัวไชเท้าดิบสีขาวกับแครอทปรุงด้วย น้ำมะนาว และน้ำตาลทราย เป็นอาหารครบคุณค่า ผู้เขียนใช้เติมในอาหารเช้าประกอบด้วยขนมปังครัวซองด์ โรยเนื้อ Barbacoa ฉีกฝอยทอดกรอบ และไข่ดาวทอด อาหารเช้าก็มีทุกคุณค่าที่ต้องการ เพราะมีพืชและกรดมะนาว ถ้าเป็นอาหารมื้อกลางวันหรือเย็น ก็ยังใช้เครื่องเคียงเดียวกันนี้อีก
น้ำมะนาว มีค่าความเป็นกรดอยู่ที่ 2 ซึ่งเป็นกรดสูง และใช้ประกอบอาหารได้หลายชนิด
น้ำส้มสายชู มีค่าความเป็นกรดอยู่ที่ 3
เมื่อเทียบกับน้ำยาเติมสีย้อมผมเรียกว่า Hydrogen Peroxide มีความเป็นกรดที่ 4
ผิว และ ผม มีค่าความเป็นกรด ที่ 5
น้ำฝน มีค่าความเป็นกรด ที่ 5.6
น้ำกลั่น เป็นกลาง มีค่าที่ 7
Baking soda มีค่าความเป็นด่างที่ 8
สบู่มีค่าความเป็นด่างที่ 10
สารเคมีที่ใช้ทาผิวสำหรับดึงขนออกเรียกว่า depilatories มีค่าความเป็นด่างที่ 11
แอมโมเนีย มีค่าความเป็นด่างที่ 12
ยาย้อมสี มีค่าความเป็นด่างที่ 14 คือสูงสุดของตาราง pH scale
ฉะนั้น อย่าลืมพิจารณาดูว่า การดื่มน้ำด่างที่มีค่า 9.5 เข้าสู่ร่างกาย จะได้ผลต่อระบบร่างกายอย่างไรบ้าง
ความเป็นกรด เช่นกรดยูริค uric acid ถ้าเกาะที่หนังศีรษะ ก่อให้เกิดรังแค ผมร่วง
ถ้าเกาะที่ตา ก่อให้เกิด cataract ถ้าเกาะที่หู ทำให้เกิดปวดหู ถ้าเกาะที่ฟัน ก่อให้เกิดปวดฟัน
ถ้าเกาะที่ duodenum ก่อให้เกิด ปวดข้อ
ถ้าเกาะที่เส้นเลือดหัวใจหนึ่งเส้นก่อให้เจ็บหัวใจ เกาะสองเส้นหายใจติดขัด เกาะสามเส้นหัววาย
ถ้าเกาะที่ปลายประสาททำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ถ้าเกาะที่กระดูกสันหลัง ทำให้ปวดหลัง
ถ้าเกาะที่หัวเข่า ทำให้ปวดเข่า