ตอนนี้เขาว่าไวรัสโคโรน่าเริ่มเบาบางลง ไม่มีผู้ป่วยจากเข้าโรงพยาบาลมากเหมือนก่อน และไม่เคร่งครัดนักเรื่องการใส่หน้ากาก โดยทั่วไป เราก็ไม่ควรวางใจมันมากนัก เพราะมันเล็กมาก ไวรัสอยู่ในอากาศ หายใจเอามันเข้าไปในร่างกายมนุษย์ก็ยุ่งแล้ว มันมีชีวิตอยู่ได้จากการแย่งน้ำจากเซลล์ ปอดสูญเสียน้ำ เซลล์ปอดก็ยุ่งแล้ว เซลล์ติดต่อกันไม่ได้ก็จบอีก ใครขี้เกียจใสหน้ากากเพราะยุ่งยาก ก็อย่าไว้วางใจ เราป้องกันตัวของเราไว้ก่อน เป็นการดีต่อชีวิตของเซลล์และของเราเอง เพราะโคโรน่าเป็นไวรัส ออกมาทางการจามการไอ และอยู่ในอากาศ เคยมีผู้รู้ที่นี่คนหนึ่งพูดทางข่าวประจำวันว่า โครงสร้างเซลล์ของโคโรน่าไวรัสคล้ายค้างคาว ผู้เขียนก็สงสัยว่าแล้วมันเข้าสู่วิถีชีวิตคน หรืออยู่ในอากาศได้อย่างไร จะว่าคนไปกินค้างคาวเลยมาแพร่ในคน ก็ไม่รู้ความเป็นจริง พูดไม่ได้ อเมริกากำลังค้นคว้าหาต้นตอของโคโรน่าไวรัสอยู่ เพื่อให้รู้ว่าต้นกำเนิดไวรัสโคโรน่ามาจากอะไร ตอนนี้ก็อย่างพึ่งปล่อยการ์ดการระวังตัวไว้ทุกทาง อย่างเช่นหลายคนเลิกใส่หน้ากาก จนกว่าจะรู้แน่นอนว่า ต้นกำเนิดไวรัสโคโรน่ามาจากไหน ที่แน่ๆ คือ มันอยู่ในอากาศ อาจทำให้การหายใจเป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้ โครงสร้างคล้ายค้างคาว มันมาอยู่ในอากาศได้อย่างไร คงอาจเป็นว่าค้างคาวเสียชีวิตแล้ว ก็เลยล่องลอยหาที่อยู่ในอากาศ จนกว่าจะพบแหล่งน้ำ เช่นร่างกายมนุษย์ มีความชื้นตั้งแต่ในโพรงจมูก คนเราพอเวลามีอะไรแปลกปลอมเข้าจมูก จึงมักจามออกทางจมูกเพื่อขับสารพิษนั้น ร่างกายของเราก็พยายามป้องกันตัวเองแล้ว เราก็ช่วยร่างกายป้องกันโดยการใส่หน้ากากไว้บ้างก็จะไม่ยุ่งยาก เพิ่มเติม ตอนนี้ก็ระวังไวรัสโคโรน่าไว้ทุกทาง ทั้งในอากาศ ในน้ำที่บริโภค และในอาหาร จะได้แน่ชัดว่า บ่อเกิดถึงตายอยู่ตรงไหน
เราเคยกลัวแบคทีเรีย เพราะรู้จักแค่แบคทีเรีย ว่าทำให้ร่างกายป่วยได้หลายทาง ยกตัวอย่างเช่น คนที่เคยช่วยงานดูแลผู้เขียนเขาไม่มาทำงาน 3 วัน เขาบอกว่าท้องเสีย หลังจากนั้น ผู้เขียนก็ท้องเสีย ไม่รู้ว่าติดเชื้อแบคทีเรียของเขาอย่างไร แค่เขาทำงานช่วยในบ้าน และหายใจในห้องของเราเท่านั้น ผู้เขียนก็มีอาการท้องเดิน ร่างกายเสียน้ำรวดเร็ว ถึงขนาดต้องเรียกฉุกเฉิน 911 นำหน้าด้วยรถหวอ ตามด้วยรถพยาบาล ใส่เตียงนอนเข็นไปโรงพยาบาล จะพาไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ผู้เขียนพูดได้คำเดียวคือชื่อโรงพยาบาลซีดาร์ไซนายที่เคยไป เขาก็พอไปถูกต้อง มีรอหวอนำหน้า โรงพยาบาลรีบให้น้ำเกลือ พยาบาลนั่งหน้าห้อง 24 ชั่วโมง 3 วันก็นึกอยากกลับบ้าน เพราะเป็นห่วงแมว เขาก็ให้กลับ บิลค่าโรงพยาบาล 38,400 เหรียญ ถ้าอยู่เมืองไทยก็เป็นล้าน นี่ดีว่าอเมริกามีระบบเมดิแคล
ท้องร่วงท้องเดินมีต้นตอจากแบคทีเรีย ซึ่งมี 3 ประเภท ตัวกลม ตัวยาว และตัวเกลียว ไม่ว่าชนิดใดก็ก่อให้เกิดการอักเสบในร่างกายได้ทั้งสิ้น ตั้งแต่ระบบการย่อย เพราะร่างกายต้องการกำจัดสารพิษออกจากทางเดินอาหารโดยการขับถ่ายทางอุจจาระ เพราะแบคทีเรียมีชีวิตโดยการแย่งอาหารจากเซลล์มีชีวิต จึงแฝงอยู่กับอาหาร ผัก ผลไม้ และน้ำ ทำให้สิ่งที่เราบริโภคติดเชื้อแบคทีเรียนั้นอยู่ เราก็ว่า ระมัดระวังในเรื่องอาหารการกิน และน้ำดื่มดีแล้วเขียวนา ก็ยังไม่วายโดนแบคทีเรียทำร้ายระบบเอาจนได้ เพราะยังมีไวรัสอยู่ในอากาศ ติดต่อทางการสัมผัสสิ่งของ ผู้เขียนตอนนี้ ล้างผักและปรุงอาหารด้วยน้ำกลั่น เพราะบางทีเขาใส่สารโลหะเพื่อป้องกันท่อน้ำประปาผุกร่อน เราไม่รู้ว่า ระบบร่างกายจะทำงานเป็นปกติไหม กับน้ำที่มาตามท่อ เพราะเราไม่รู้ว่า มันจะขัดขวางการทำงานของระบบร่างกายอย่างไร น้ำดื่มโดยมากก็เป็นน้ำมะพร้าว นอกจากเวลากินยา ก็กินน้ำขวด เพื่อเลี่ยงสารอะลูมิเนียมเพราะขัดขวางการสื่อสารระหว่างเซลล์ ถ้าระบบเซลล์คุยกันไม่ได้ก็ทำงานตามปกติวิสัยบกพร่อง ร่างกายจำเป็นต้องกำจัดออกโดยการขับถ่ายให้มากที่สุด ที่เรียกว่า ท้องเสียจนหมดแรง
เราจะเห็นได้ว่า อาการเจ็บป่วยมักมีต้นเหตุจากแบคทีเรีย ตั้งแต่ระบบย่อยอาหาร ไปจนถึงการสูญเสียน้ำในร่างกาย เช่น ระบบหล่อลื่นไขข้อไม่ดี ขาดน้ำหล่อลื่นที่เรียกว่า synovial fluid ทำให้เดินหรือพับเข่าแขนไม่คล่องแคล่ว ถึงแม้จะออกกำลังกายดีแล้ว นอนหลับพักผ่อนก็เต็มที่ ทำไมยังเพลียกล้ามเนื้อไม่มีแรง ความจำเสื่อม เป็นไปได้ไหมว่า มีส่วนจากการทำลายโดยแบคทีเรียและไวรัส เช่น ปะปนอยู่ในสิ่งที่บริโภค หรืออากาศที่หายใจเข้าสู่ร่างกาย จะเห็นได้ว่า บางทีเราก็ไอ หรือจาม เพราะร่างกายพยายามขับสิ่งอันไม่พึงประสงค์นั้นออกไป
ร่างกายของเรา ถูกสร้างอย่างรัดกุมรอบคอบ มีระบบเรียกว่า ภูมิต้านทาน หรือ Immune System ที่ร่างกายพยายามป้องกันโดยสร้างภูมิคุ้นกัน สร้างระบบต่อสู้และปราบปรามศัตรูทั้งภายในและภายนอกร่างกาย และระบบที่ส่งเสริมการทำงานของร่างกายเพื่อให้เกิดความแข็งแรง เรามีระบบฮอร์โมนที่จะสื่อสารระหว่างกัน เพื่อเป็นองค์รวมในการสร้างภูมิต้านทานจากพิษของแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา พยาธิ และจากปฏิกิริยาทางเคมีของตัวเราเอง การใส่สารอาหารเข้าสู่ร่างกาย จึงควรมีความเป็นกลาง สมดุล และให้ประโยชน์ ไม่ให้โทษจากการบูดเสีย รสจัด จุลินทรีย์ แบคทีเรียและไวรัสตัวร้าย ทำอย่างไรจึงจะแน่ใจว่า เรานำอาหารที่ปราศจากพิษภัยที่จะทำลายภูมิต้านทานของตัวเรา
ประการแรก แน่ใจว่า อาหารเป็นประโยชน์ครบหมวดหมู่ที่ร่างกายต้องใช้งาน เพื่อพลังงาน เพื่อสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ กระดูก ระบบประสาท ระบบน้ำ เพื่อช่วยการย่อยอาหารและการดูดซึมเป็นไปอย่างราบรื่น เรามีสารอาหารที่จะเผาผลาญให้พลังงานแก่กล้ามเนื้อพอเพียงไหม จาก เนื้อ ถั่ว แป้ง ผักเขียวที่จะให้สายใยช่วยการย่อยและการดูดซึม กับช่วยกำจัดสารที่มีเยื่อแข็งก่อนนำเข้าร่างกาย หรือเคี้ยวให้ละเอียดดีเสียก่อนกลืน เพื่อช่วยกระเพาในการบดย่อยให้ราบรื่น อาหารรสไม่จัดจนเกิดไปเซลล์รับไม่ได้ อาหารมีรสหวานเกินไป ระบบร่างกายปรับให้เป็นปกติยาก และให้แน่ใจว่าระบบร่างกายของเราสามารถขับถ่ายได้บริบูรณ์
บทความนี้ตัดตอนส่วนหนึ่งจากหนังสือชีวิตเริ่มต้นเมื่อ 70 ของ สาทิส อินทรกำแหง น่าสนใจมาก ผู้เขียนทำสำเนาไว้บางหน้า อยากจะเชิญตอนที่เป็นประโยชน์มาเล่าสู่กันคือ
ความต้านทานต่ำ เกิดจาก ความเครียด สิ่งที่ตามมาคือ ความปวดเมื่อตามส่วนต่างๆ ศีรษะ กระบอกตา การย่อยอาหารที่ผิดปกติไปทำให้ท้องอืด ท้องเสีย ท้องผูก เมื่อระบบต่างๆในร่างกายทำงานผิดปกติไป ก็ทำให้ภูมิต้านทานต่ำลง
อาหารผิดๆ เช่น อาหารหวานจัด อาหารที่ผ่านกระบวนการทางเคมีมากๆ อาหารปนเปื้อนยาฆ่าแมลง เนื้อสัตว์ต่างๆ
สิ่งรบกวนภายนอก มลพิษ อาหาร เหล้า ผู้หญิง ความเครียด วิธีคิดผิดๆ วิถีชีวิตที่ผิดอยู่เดิม
เซลล์ในร่างกายพยายามปรับตัวให้มีชีวิตอยู่ได้ในที่มีออกซิเจนต่ำ ก่อให้เกิดมะเร็งขั้นต่ำ คือขั้นที่ 1 เป็นมะเร็งร้าย คือ ขั้นที่ 2, 3, 4
บทความนี้ตั้งชื่อเรื่องว่า แบคทีเรีย กับ ไวรัส จบลงโดยไม่มีเรื่องของผู้ร้ายทั้ง 2 สรุปก็คือว่า จะกินอะไร จะคิดอย่างไร จะอยู่แบบไหน อยู่ที่ว่า แบคทีเรีย กับ ไวรัส อยู่ที่การกิน การอยู่ และการดำรงชีวิตของเราอย่าประมาท