สุขภาพและการบำบัด
สดศรี สุริยะฉาย
เรื่องของวิญญาณ

ความจริงตั้งใจจะเขียนความจำ หรือความหลงลืม ที่เกิดได้จากเหตุธรรมชาติของกาลเวลา หรืออีกประเด็นหนึ่งคือ หลงลืมบ่อยขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น ทำให้คิดไปถึงเรื่องวิญญาณ ที่น่าจะสัมพันธ์กันระหว่างสมองกับร่างกาย แต่คนที่ตายแล้วเอาร่างกายไปไม่ได้ แต่วิญญาณสามารถเดินทางไปได้ พยายามค้นหาความหมายของวิญญาณ แต่ค้นหาคำตอบเรื่องวิญญาณจากนักธรรมเอกก็ไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน เพราะยิ่งเรียนรู้มากยิ่งพูดมากให้ไปค้นหาดูจากหนังสือธรรมะ ซึ่งหนังสือก็อธิบายเป็นคุ้งเป็นแควตามแนวของ 84,000 พระธรรมขันธ์ พอดีได้เห็นโน้ตเรื่อง Quantum Physics น่าจะสามารถปรับเอามาอธิบายความหมายของวิญญาณได้เล็กน้อย วิชาแควนตัมฟิสิกซ์คือการอธิบายพลังงานจากรังสีคอสมิคซึ่งอยู่รอบตัวเรา ไม่สามารถวัดความเร็วได้เหมือนรังสีอุลตร้าไวโอเล็ตหรือคลื่นวิทยุทีวี เราใช้พลังคอสมิคส่งไปรักษาตัวเองหรือบุคคลทั้งใกล้และไกล เพราะความไม่สมดุลในร่างกายนี่เองที่ก่อให้เกิดเจ็บป่วย โดยมากมาจากอารมณ์หรือความคิด หรือความกังวล ความโศกเศร้า ผิดหวัง ฉะนั้น ย่อมต้องสามารถบำบัดได้ด้วยพลังรอบตัวเรา เลยมาลงเอยที่คำว่าวิญญาณ ถ้าจะวิเคราะห์คำนี้ให้ละเอียด ความสัมพันธ์ของความคิดในจิตกับพลังรอบตัวนี้เอง ที่มีความสามารถเดินทางไปในรังสีคอสมิคนอกตัวเรา สู่ร่างกายของผู้อื่นไม่ว่าใกล้หรือไกล และวิญญาณในตัวเรานี้เองที่เกิดความคิดในการบำบัดรักษา เพราะวิญญาณในตัวเรานี้เป็นส่วนประกอบของสมอง ซึ่งมีความคิด สามารถเรียนรู้เรื่องระบบในร่างกาย รู้ว่าป่วยตรงไหน ป่วยเพราะอะไร เราก็ส่งจิตไปรักษาตรงนั้น ตามความรู้ทางวิทยาศาสตร์ หรือสรีระร่างกาย ที่นำพาไปในภาวะแห่งอวกาศเรียกว่าพลังคอสมิค แม้ว่ารังสีคอสมิคจะอยู่นอกเหนือการวัดความเร็วออกมาเป็นหน่วยนาโนมิเตอร์เหมือนรรังสีอื่นๆ ที่เราเห็นและไม่เห็น เช่น รังสีอุลตร้าไวโอเล็ต เรามองไม่เห็น ถัดไปเป็นรังสีของรุ้ง เรามองเห็นเป็น 7 สี ถัดไปเป็นรังสีอินฟราเรด เรามองไม่เห็นเช่นเดียวกับรังสีที่ใช้ในระบบเรด้าร์ วิทยุ และทีวี ที่อธิยายมานี้ดูจะน่าสับสน แต่มันก็คือสิ่งที่เราใช้รักษาอาการไม่สมดุลในร่างกายได้ ด้วยการส่งพลังจากร่างกายของเราไปสู่ร่างกายของผู้รับการบำบัด ที่อยู่ใกล้ หรือไกล ผ่านรังสีคอสมิคที่มีอยู่ในบรรยากาศ และเราเรียกง่ายๆว่าความคิดถึง

ท่านผู้อ่านเคยเห็นคำว่า ESP มาแล้วหรือไม่ มาจากคำเต็มว่า Extra-Sensory Persuasion หมายถึงความสามารถของคนเราในการอ่านความคิดของผู้อื่นได้ เป็นความสัมพันธ์ทางจิตหรือนัยหนึ่งทางวิญญาณ เราจึงสามารถล่วงรู้ว่าบุคคลนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ แน่นอนว่าไม่มีใครต้องการให้เราล่วงรู้ความคิดของเขา และบุคคลนั้นไม่ต้องการให้เรารู้ด้วยว่าเราสามารถอ่านความคิดเขาออกโดยเฉพาะโจรผู้คิดไม่ดี เขาถึงสอนว่า อย่าไปโต้ตอบกับคนกำลังคิดไม่ดีต่อเรา เพราะร่างกายของเขาจะผลิตสารพิษทำร้ายระบบจิตและร่างกายของเขาเอง การอ่านความคิดของผู้อื่น ก่อนอื่นคุณต้องอยู่ในภาวะที่ร่างกายและจิตกำลังสบาย นั่นคือ คนที่รู้วิธีสมาธิย่อมย่างเข้าสู่จิตสมาธิเมื่อกำลังจะส่งจิตไปอ่านความคิดของผู้อื่นว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เบื้องต้นก็ฝึกให้จิตเราสามารถบงการให้เขาลุกหรือไปทำอะไรก็ได้ที่คุณต้องการ แล้วดูซิว่าสำเร็จไหม โดยมากคุณจะสังเกตว่าได้ผล นั่นคือการวัดผลว่าคุณสามารถอ่านความคิดของผู้อื่นได้แม่นยำแค่ไหน คุณลองฝึกในรถเมล์ให้คนเขาลุกให้คุณนั่งก็ได้ ว่าสำเร็จไหม

เรื่องของวิญญาณ เราทุกคนคงเคยมีประสบการณ์ต่างๆมาบ้าง ผู้เขียนเคยได้ยินเสียงบุคคลที่เสียชีวิตไปแล้วเมื่อ 16.30 น. เดินเข้าประตูบ้านด้วยเสียงฝีเท้าของเขาเมื่อเวลา 17-18 น. วันเดียวกัน และตกดึกคืนนั้นภรรยาของบุคคลนั้นก็ฝันว่าเขามาหาและเป็นห่วงพร้อมกับรู้สึกถึงมือของเขาซึ่งสวมแหวนที่ได้รับคืนมาเมื่อ 16.30 น. กำลังจะบีบคอภรรยาเพื่อเอาไปอยู่ด้วยกันในอีกภพหนึ่ง ภรรยารู้สึกตัวตื่นเมื่อคลำไปถูกแหวนนั้นบนนิ้วและจำได้ว่าเธอได้รับแหวนคืนมาเมื่อเย็นวันเดียวกันนั้น นี่คือตัวอย่างเรื่องของวิญญาณ ที่สัมพันธ์กับเรื่องของการส่งจิตไปบำบัดรักษาอาการเจ็บป่วยผู้อยู่ใกล้หรือไกลได้ ฉะนั้น ถ้าเราเริ่มต้นฝึกระบบจิตให้สามารถมีพลัง สามารถส่งพลังผ่านรังสีคอสมิคไปทำการบำบัดรักษาผู้อยู่ไกล ก็ย่อมได้ หรือส่งจิตนั้นเข้าบำบัดรักษาตัวเอง ณ จุดที่ร่างกายบกพร่องอยู่ก็ย่อมได้ เช่นเดียวกัน เพราะเรามีวิญญาณเป็นสื่อ

ในทางวิทยาศาสตร์สรีระวิทยา สมองได้รับอาหาร ดูดซึมผ่านระบบลำไส้เข้าสู่กระแสโลหิต สร้างเม็ดเลือด เดินทางไปตามเส้นโลหิต ไปสู่สมอง สมองบอกอวัยวะต่างๆ ตามที่จิตหรือสมองสั่งการ เราก็สามารถบำบัดตนเองหรือผู้อื่นได้ ด้วยเหตุฉะนี้ ในทำนองเดียวกัน เมื่อวิญญาณและร่างกาย จึงสามารถเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางที่จิตบงการได้

ในทางที่จะใช้จิตบงการผู้อื่น อาจลองส่งจิตไปบอกคนขับรถคันหน้าให้เว้นที่ว่างไว้ให้เราจอดก็ได้ หรือบงการให้มีคนถอยรถออกเมื่อเราต้องการเข้าจอดก็ได้ ดูซิว่า จิตเราบริสุทธิ์เพียงพอหรือยัง เบื้องต้น เรามีเมตตา มุทิตา อุเบกขาเป็นเบื้องต้นหรือเปล่า เรียกว่าฐานจิตบริสุทธิ์แค่ไหน

วิธีสร้างความบริสุทธิ์ของจิต เริ่มต้นจากสุขภาพร่างกาย การทำนุบำรุงร่างกาย การฝึกฝนความคิด และสิ่งแวดล้อม ที่สบายกาย โดยเหตุนี้ เมื่อเราสวดมนต์ สมมุติว่าบทชินบัญชร ซึ่งมีความยาวเต็มหน้ากระดาษ จิตเราไม่คิดอย่างอื่น นอกจากคำสวดและความหมาย ทำให้จิตโล่ง พอที่จะผล็อยหลับได้เร็ว และจะไม่ตื่นจนกว่าจะถึงเวลาที่เคยตื่น ถ้ายังหลับไม่พอ ก็ลุกมาทานอาหารเช้า เดี๋ยวนี้ผู้เขียนเปลี่ยนอาหารเช้าเป็นข้าวโอ้ตใส่แครนเบอรี่ เติมน้ำเดือดลงไปพอให้นิ่ม ดีอย่างหนึ่งไม่ต้องเตรียมหมักเนื้อ ทอดเนื้อ และหาผักกาดดองยำทานกับข้าวต้ม เรื่องมากเสียเวลา วิธีนี้ได้แคลเซี่ยมจากข้าวโอ้ตบำรุงกระดูก แครนเบอรี่บำรุงหัวใจ แถมตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ข้าวโอ้ตซึ่งมีใยอาหารเป็นกากคอยไล่อาหารที่เราทานทั้งวันออกจากระบบ ตอนเช้าวันรุ่งขึ้นกากอาหารถูกขับดันด้วยไฟเบอร์ของข้าวโอ้ต ต้องรีบวิ่งไปนั่งโถ เจ้าแมวแสนรู้ตามขึ้นไปนั่งตัก และส่งจูบด้วยจมูกเย็นๆ ที่ริมฝีปาก แล้วลงนอนตัก ส่งเสียง purr..ด้วยความสุข เราก็มีสุขไปด้วยเพราะร่างกายโล่ง ไม่มีท้องผูกจากของเสียตกค้างไว้ในระบบ มื้อกลางวันถ้าซื้อก๋วยเตี๋ยวสำเร็จรูปแช่แข็งจากคอสโก้ก็อุ่นทานได้เลย หรือไม่ก็ผัดสปาเก็ตตี้ไว้เอง ไม่ต้องทำทุกวัน ข้อสำคัญคือทำซอสเรียกว่า ซอสสามรสสามกลิ่นใส่ขวดไว้ราดก๋วยเตี๋ยว หรือราดอโวคาโด ผ่า 4 แล้วเอาปลายมีดกรีดเป็นชิ้นเล็กประมาณ 2 แถว ราดด้วยซอสสามรสสามกลิ่นอร่อยที่ซู้ด ซอสทำง่ายๆ เหมือนทำน้ำพริกกะปิ คือเผากะปิ ตำกับกระเทียม และพริกขี้หนู บีส้มที่เปรี้ยวรองลงมาจากมะนาว เพื่อไม่ให้เปรี้ยวจี๊ดเกินรสที่จะราดอโวคาโด ผู้เขียนลืมซื้อส้มนั้นเสียทุกทีเวลาต้องการจะนึก ท่านผู้อ่านคงพอจะรู้ว่าส้มอะไรที่เปรี้ยวรองลงมาจากมะนาว แต่ไม่ใช่ส้มสำหรับกินเล่นเพราะเปรี้ยวเกินกว่าจะกินเป็นผลไม้ ซอสสามรสสามกลิ่นนี้ข้อสำคัญคือต้องผ่านการกรองไม่ให้มีกากพริก กากกระเทียมหรือกากเม็ดพริกใดๆ ทั้งสิ้น เก็บไว้ได้นาน และไม่สร้างปัญหาเม็ดหลุดเข้าไปในไส้ติ่งให้เกิดปัญหา ซอสนี้เก็บไว้ราดอาหารเช่นก๋วยเตี๋ยว ข้าวผัด อโวคาโด ทำให้อาหารรสดีอร่อยสมกับเป็นอาหารไทย แล้วคุณจะมีความสุขในการบริโภคอาหารทุกมื้อมากขึ้น ชีวิตมีชีวาสามารถทำสมาธิได้ง่ายขึ้นเพราะจิตเป็นสุข แม้เวลากิน เวลานอน