สุขภาพและการบำบัด
สดศรี สุริยะฉาย
ผลข้างเคียงของยา

อนุสนธิของเรื่องนี้เริ่มจากปวดฟัน ใครๆ ก็คิดว่าธรรมดา เพียงแต่น้ำตาไหลพรากๆ เพราะฟันกับตาอยู่ใกล้กัน ได้ยาแก้ปวดฟันชื่อไอบูโปรฟิน กินแล้วหายปวดฟันก็ชอบใจ เมื่อเกิดเจ็บที่หัวใจ ก็ไปหาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจ พร้อมทั้งขอยาแก้ปวดฟันชื่อไอบูโปรฟินเพิ่มอีก แพทย์ให้ยามอร์ทิลมาแก้ปวดฟันแทนไอบูโปรฟิน ด้วยความที่ยังติดใจไอบูโปรฟินอยู่ก็ไปขอที่ร้านขายยาเพิ่มเอง ได้มาอีก 100 เม็ด แสนจะดีใจจะได้ไม่ต้องปวดฟัน ต่อมา เกิดความจำเสื่อม เมื่อรายงานแพทย์ประจำตัว เขาก็ส่งไปหาแพทย์ด้านประสาทวิทยา แพทย์ให้ยามา 2 ชนิดก็จดไว้ เลขานุการส่งไปให้ร้านขายยาเพียงอย่างเดียว ต้องเสียเวลาติดต่อกลับไปจนกว่าจะได้ยา 2 ชนิดครบตามที่แพทย์สั่ง พอมาฉุกคิดว่า เพราะอะไร เลขานุการแกล้งลืม หรือมีเหตุจูงใจอย่างอื่นที่ไม่ส่งไปให้ร้านขายยาครบ 2 ชนิดตามแพทย์สั่ง เมื่อเริ่มต้นอ่านสลากกำกับยาทั้งหมด ตั้งแต่ต้นจนปัจจุบัน ตั้งแต่ประเภทของยา NSAIDs หรือ Nonsteroidal Anti-inflammatory Drugs เขาระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ให้อ่านสลากกำกับยาให้ละเอียดก่อนกินยาชนิดนี้ โดยพิมพ์ตัวหนาไว้ว่า อาจส่งผลไปสู่หัวใจวาย หรือสโตร้ค ซึ่งเราก็รู้กันว่าเป็นอาการเริ่มต้นของอัมพาต หรือถึงตาย ถ้ากินยาไปนานๆ หรือถ้าเริ่มกินยาแล้ว มีอาการปวด แดง บวม ตัวร้อน จากผลข้างเคียง ทั้งๆ ที่คนทั่วไปกินยาประเภทนี้ เพียงเพราะต้องการบำบัดอาการปวดเล็กๆน้อยๆ เช่นปวดข้อ ปวดประจำเดือน เท่านั้น มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเคยปาฐกถาทางทีวีช่อง 28 ไว้ว่า ให้สังเกตอาการเริ่มต้นของสโตร้ค เรียกว่า FAST คือ F ใบหน้าเบี้ยวเวลายิ้ม A แขนขาทำงานไม่ประสานกันทั้งสองข้าง S คือประสาทที่ประสานงานกันจาก สมอง สายตา การพูด การเคลื่อนไหว และการคิด หากผิดปกติให้หาสาเหตุ T คือระยะเวลาในการมีอาการต่างๆนี้ว่ายาวนานแค่ไหนในอาการต่างๆ เหล่านี้ควรพบแพทย์โดยเร็วที่สุด ก่อนสายเกินแก้ เพราะสโตร้คเกี่ยวเนื่องกับการทำงานของสมอง เรียกว่ายังไหวทันที่เริ่มอ่านสลากกำกับยาตั้งแต่บัดนี้ เพราะใครสนใจกระดาษพิมพ์ตัวเล็กๆ ยืดยาว เพราะเชื่อหมอเป็นทุนเดิม เมื่อแพทย์ประจำตัวส่งไปหาแพทย์ด้านประสาทวิทยา ได้ยามากิน กินไปยังไม่ทันความจำจะดีขึ้นอาจฆ่าตัวตายตามผลข้างเคียงของยาเสียก่อน คนทั่วไปไม่รู้ว่าตายเพราะอะไร อาจจะคิดว่าตายเพราะความจำหลงลืม กินยาผิด หารู้ไม่ว่า ตายเพราะกินยาทำให้หัวใจวาย เป็นผลข้างเคียงของยาแก้ปวด อะไรบ้างที่ผู้บริโภคพึ่งรู้เกี่ยวกับยา โดยเฉพาะที่เรียกว่าประเภท NSAIDs หรือ Non Steroidal Anti-inflammatory Drugs ซึ่งเตือนไว้ว่า จะส่งผลให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น หัวใจล้มเหลว ตับทำงานหนักจนล้มเหลว ไม่สามารถขับสารพิษต่อไปได้ ทำให้ร่างกายสะสมสารพิษ ไตก็อาจมีปัญหาถึงขั้นล้มเหลว ไตทำหน้าที่ช่วยในการดูดซึมสารอาหารเข้าสู่ระบบ ถ้าร่างกายไม่ได้รับสารอาหารเพียงพอตามที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้งาน ร่างกายก็เพลีย เกิดอาการเรียกว่า Anemia ไม่มีแรง สมองไม่ได้รับสารอาหารที่จะสร้างเม็ดเลือดแดงเพื่อบำรุงเซลล์สร้างชีวิต ส่งผลไปสู่การเจ็บป่วย จากผลข้างเคียงของยา

ถ้าเราไม่กินยา จะใช้วิธีไหนแก้ไขบำบัดรักษา ก็ย้อนเวลามานึกถึงวิชาการบำบัดด้วยเร็คคี้และจักระ ที่กำลังสอนอยู่ที่โรงเรียนผู้ใหญ่เมืองเบอร์แบงค์ อธิบายว่า ร่างกาย จิตใจ และวิญญาณ ทำงานประสานกัน เรียกว่า Harmony ส่งผลให้เกิดความสมดุล ถ้าไม่สมดุลกัน เรียกว่า Disharmony ส่งผลไปสู่ Dis-Ease คือ Disease เราก็ต้องพยายามให้มีความสมดุลในร่างกาย จิตใจ และวิญญาณ เริ่มต้นที่ว่าควรกินอะไรเข้าสู่ร่างกาย เพื่อให้จิตมีความคิดดี วิญญาณจะได้ช่วยให้ทุกอย่างสมดุล เรียกว่า การสร้าง Bioelectric energy หมายความว่า หลังจากร่างกายย่อยอาหาร ส่งไปสู่ระบบการสื่อสารของสมอง ซึ่งมีเซลล์ทำงานด้วยประจุไฟฟ้าขั้วลบวิ่งรอบแกนกลางของเซลล์ซึ่งเป็นขั้วบวกคอยทำหน้าที่สื่อสารภายในเซลล์ และติดต่อกับภายนอกเซลล์ เพื่อติดต่อไปยังระบบต่างๆ ดังนั้น ระบบของสิ่งมีชีวิตประกอบด้วย การประสานงานของ Electromagnetic waves พูดง่ายๆ คือ สารอาหารเป็นสารเคมี ประจุไฟฟ้าระหว่างเซลล์คือ electric ประสานงานกันเป็นพลังงานแห่งชีวิต Bioelectric energy เริ่มจากการย่อยเอาอาหารเป็นสารเคมี และเมื่อเซลล์ได้รับสารเคมีจากอาหารก็สามารถส่งข่าวสารระหว่างเซลล์โดยระบบเรียกรวมกันว่า Electromagnetic ก่อให้เกิดพลังงานในร่างกาย หรือพลังงานแห่งชีวิต Bioelectric energy ด้วยการส่งพลังงานผ่านอากาศรอบตัวเราซึ่งเรียกว่า Cosmic rays เราสามารถส่งจิตไปบำบัดผู้อื่นได้ทั้งใกล้และไกล นั่นคือวิธีการบำบัดด้วยจิตพลังงาน หรือเร็คคี้และจักระ ไม่ยากที่จะเข้าใจ หากเรามองดวงจันทร์ ทำไมจึงหมุนรอบโลก ทำไมโลกจึงพาดวงจันทร์หมุนรอบดวงอาทิตย์ หรือเรามองว่าดวงอาทิตย์หมุนรอบโลก ตามที่เราเห็นด้วยการเปลี่ยนเวลา การติดต่อต่างๆนี้ ต้องมีคลื่นเรียกว่าพลังคอสมิคอยู่ในบรรยากาศ ช่วยให้การติดต่อสื่อสารหรือการหมุนเวียนเป็นไปได้

โดยนัยเดียวกัน กับที่เรามองเข้าสู่ภายในร่างกาย ก็มีพลังจากสารเคมีโดยการย่อยอาหารเป็นสารเคมีแล้วนำเข้าสู่ระบบไฟฟ้าของการประสานงานของระบบสมอง ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ก็อยู่ในระบบดังกล่าวนี้ คือ Bioelectric energy ทั้งสิ้น นั่นคือจิตหรือการสื่อสาร สามารถเป็นไปได้ทุกแห่งในเวลาเดียวกัน นี่คือการสรุปของ ศาสตราจารย์ด้านประสาทวิทยา ชื่อ Shubana Zuboff สอนอยู่ที่ Harvard Medical School

โดยหลักการนี้ทำให้เราสามารถกำหนดได้ว่า ร่างกายต้องการสารอาหารอะไรที่จะช่วยให้สมองทำงานดีที่สุดในการสื่อสารระหว่างเซลล์ และผลข้างเคียงของยา จะมีผลต่อร่างกายอย่างไร เพราะส่งผลสู่สมองโดยนัยเดียวกัน หัวใจจึงมีโอกาสหยุดทำงาน หรือสมองมีโอกาสขาดการประสานงาน ทำให้เกิดสโตร้ค และส่งผลไปสู่ชีวิต และการเคลื่อนไหวของร่ายกายในที่สุด

เราจึงควรสนใจสลากกำกับยาก่อนบริโภค เพราะเป็นเรื่องควรใส่ใจก่อนใส่เข้าสู่ร่างกาย