สุขภาพและการบำบัด
สดศรี สุริยะฉาย
ประวัติของ เร็คคี้

เราได้เรียนจิตสมาธิ เพื่อสร้างพลังสำหรับการบำบัดรักษาด้วยเร็คคี้ เร็คคี้เป็นคำที่บัญญัติมาจากพลังจักรวาลหรือพลังแสงอาทิตย์ ซึ่งถ้าปราศจากพลังงานจากดวงอาทิตย์ มนุษย์ สัตว์ และพืช คงจะไม่มีพลังภายในที่เรียกว่า คิ (Chi) หรือคงไม่มีชีวิต เราเคยสงสัยว่า จะมีสิ่งมีชีวิตบนดวงจันทร์หรือไม่ เรารู้คำตอบแล้วว่าไม่มี เพราะดวงจันทร์ขาดแสงอาทิตย์นานเกินไป เนื่องจากการหมุนรอบไปกับโลก ถูกโลกบังแสงอาทิตย์นานเกินกว่าจะให้พลังชีวิตได้ ตอนนี้เรากำลังสงสัยว่าจะมีสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารหรือเปล่า เพราะร้อนเหลือเกิน เรายังไม่ได้คำตอบแน่นอนเพราะรอคนไปพิสูจน์อยู่ ที่แน่ๆ คือ มนุษย์อย่างเราคงอยู่ไม่ได้ เพราะพลังงานไม่สมดุลต่อชีวิต

คำว่าเร็คคี้ เขียนเป็นภาษาไทยดูว่าจะออกเสียงอย่างไร ภาษาญี่ปุ่นก็คงอ่านว่า เร-คี เพราะผู้บัญญัติต้องการสืิ่อความหมายถึง แสง และ พลัง คือความสัมพันธ์ของ แสงอาทิตย์ (ray) หรือพลังจักรวาล กับ คิ (chi) หรือพลังร่างกาย ประกอบด้วย จิต และวิญญาณ คำว่าวิญญาณ วิทยาศาสตร์ เรียกว่า กลุ่มเซลล์ Quark ซึ่งมีการสื่อสารสัมพันธ์ระหว่างเซลล์ต่อเซลล์ ให้มีการเกิด ดับ และซ่อมแซม ดร.พระมหาจรรยา สุทธิญาโณ อธิบายวิญญาณว่า การรับรู้ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฉะนั้น วิชาเร็คคี้ ไม่ใช่การติดต่อทาง spirit หรือวิญญาณ ที่ออกจากร่างของผู้ที่ตายแล้ว เพราะศาสตร์และวิทยา ของเร็คคี้มุ่งไปที่ความสัมพันธ์อันสมดุลของพลังจักรวาล กับ พลังร่างกาย เป็นความสัมพันธ์ของการทำงานของเซลล์ มากกว่าจะเป็นเรื่องของดวงวิญญาณที่ออกจากร่างกายแล้ว และขาดพลังการสื่อสารระหว่างเซลล์แล้ว เพราะไม่มีพลังแห่งชีวิตแล้ว ไม่ว่าจะล่องลอยอยู่ที่ไหน อย่างไร ดังนั้น เรื่อง เร็คคี้ จึงมีพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องของพลังที่เรามองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่สามารถทำงานได้ด้วยการติดต่อสื่อสารของพลังชีวิต

เป็นที่น่าวิจารณ์ว่าเร็คคี้กำเนิดมาก่อน 250 ปีแล้ว ทำไม ไม่แพร่หลาย เป็นที่รู้จักและใช้กันทั่วไปในปัจจุบัน อาจเป็นเพราะไม่มีการบันทึกไว้เป็นตัวอักษรสมัยนั้นบันทึกไว้ก็ไม่เป็นที่แพร่หลาย เพราะคนปัจจุบันมักอ่านไม่ออก หนังสือเล่มนี้ จะเป็นสื่อที่ปรากฏชัดว่า เร็คคี้เป็นเรื่องจริงที่สร้างบนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ ผู้อ่านศึกษาแล้วจะประจักษ์ได้แน่นอนว่า ไม่อิงนิยายที่เขียนบนความเพ้อฝัน

เร็คคี้ เป็นการบำบัดด้วยมือ ที่นำพลังจากร่างกายของผู้บำบัดไปสู่ร่างกายของผู้รับด้วยพลังญาณสมาธิ ผู้บำบัดสามารถรักษาโดยการส่งพลังระยะใกล้หรือไกลไปถึงผู้รับได้ เป็นไปได้อย่างไร คือสาระของหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนเป็นเพียงผู้รวบรวมความรู้ทางวิทยาศาสตร์ การค้นคว้าของผู้ที่ได้เขียนไว้เป็นภาษาอังกฤษ คือ Diane Stein ประกอบกับการอ่านหนังสือหลายเล่มเพื่อค้นคว้าหาสาระสนับสนุน และเรียนต่อจากอาจารย์หลายท่านหลายสาขา เพื่อให้การศึกษาทำความเข้าใจของผู้อ่านลึกซึ้งดีขึ้น หนังสือเล่มนี้ไม่ง่ายนัก

จากการเล่าต่อกันมา เร็คคี้มีมาตั้งแต่สมัยสร้างโลก เชื่อกันว่าพลังมาจากดวงดาว เพราะดวงดาวมีแรงดึงดูดจากสุริยจักรวาล แล้วเริ่มมีปรากฎในบันทึกว่าเกิดที่อินเดีย สมัยพระศิวะสร้างสิ่งต่างๆ เรื่อยมาจนถึงสมัยชนเผ่ามู เริ่มเรียนวิชาเร็คคี้ระดับที่หนึ่ง ตั้งแต่อายุเกรดต้น ระดับที่สอง เมื่อขึ้นมัธยมกลาง และเร็คคี้ระดับสาม สำหรับผู้ต้องการสอนต่อไป เมื่อชาวมูสูญพันธุ์ จากการปฏิวัติวัฒนธรรมโดยแอทแลนติส ส่งผลให้ความรู้ต่างๆ สูญไปเกือบหมด มีแต่ประวัติของเร็คคี้ หลงเหลืออยู่ในอินเดียและธิเบตเป็นภาษาสันสกฤต

ประวัติของเร็คคี้ปรากฎตั้งแต่มีชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งชื่อ มิกาโกะ ยูซุย สมัยปลายศตวรรต 1800 ขณะที่เขาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยโตชิชา กรุงโตเกียว ได้รับคำถามจากนักเรียนถึงวิธีการรักษาของพระเยซู ทำให้เขาต้องเดินทางค้นหาคำตอบอยู่ 10 ปี

มิกาโกะ ยูซุย ได้รับคำแนะนำจากพระสงฆ์ของศาสนาพุทธในเวลานั้นว่า ทางที่จะได้คำตอบมีทางเดียวคือศึกษาครรลองการตรัสรู้ขององค์พระศาสดา เพราะการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มาจากความพากเพียรในการสมาธิถึง 6 ปี จนเกิดญาณพลังจิต สามารถรักษาพระสงฆ์อาพาธให้หายได้ ดังในพุทธประวัติ เมื่อพระโมคคัลลานะ และพระมหากัสสปะอาพาธ พระพุทธองค์ทรงแสดงโพชฌงค์ 7 กล่าวคือ สติ (เลือก) ธัมมวิจย (เลือกดีที่สุด) วิริยะ (เพียร) ปิติ(กำลังใจ) ปัสสัทธิ(สงบ) สมาธิ(กระทำจิต) อุเบกขา(วางเฉย รอ) พระเถระมีความยินดีรับโพชฌงค์นั้นและหายจากอาพาธทันที และเมื่อสมเด็จพระธรรมราชาทรงประชวรหนัก พระพุทธองค์ได้รับสั่งให้ พระจุนทเถระ สาธยายโพชฌงค์ถวาย พระองค์ทรงแช่มชื่นพระทัย หายจากพระประชวร

มิถาโกะเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยแห่งศาสนาที่ชิคาโก และศึกษาจนถึงปริญญาเอกด้านปรัชญา เขาเรียนภาษาสันสกฤตเพื่อทำความเข้าใจกับศาสตร์ที่บันทึกสมัยโบราณ แต่ก็ยังไม่มีรายละเอียดถึงวิธีการบำบัด เขาจึงเดินทางกลับญี่ปุ่น พำนักที่สำนักพุทธ เซ็น (ประวัติศาสตร์ไม่ยืนยันว่า เขาได้เดินทางมาศึกษาถึงปริญญาเอก จึงสันนิษฐานว่าอาจได้รับการต่อเติมขึ้น เพื่อให้เกี่ยวโยงกับศาสนาคริสต์ และตะวันตก)

พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่บนหลักแห่งการปล่อยวาง ไม่ยึดมั่น ปราศจากความโลภ อันเป็นบ่อเกิดของทุกข์ มีความเมตตาต่อสัตว์ทั้งปวง ปราศจากการทำร้ายต่อชีวิตสัตว์และมนุษย์ การบำบัดในหลักของศาสนาพุทธ เน้นว่ามิใช่บำบัดเฉพาะร่างกาย แต่ต้องบำบัดจิต และอารมณ์พร้อมกันไป การบำบัดอยู่บนพื้นฐานของจิต ซึ่งหากวิเคราะห์หลักการของเร็คคี้ ก็เหมือนกับพื้นฐานการบำบัดในศาสนาพุทธนั่นเอง กล่าวคือมีสมาธิจิต รักษาจิตอยู่ในความว่าง ขณะสมาธิ เพื่อส่งพลังสำหรับการบำบัด

การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นแนวทางสำหรับทุกคนที่สามารถปฏิบัติตามไปสู่นิพพาน คือหลุดพ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ผู้ที่สำเร็จสัมโพธิญาณ แต่ยังไม่ถึงนิพพาน กลับมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อชี้แนะทางให้ผู้อื่นสำเร็จต่อไป เรียกว่า พระโพธิสัตว์ เช่นเจ้าแม่กวนอิมแห่งจีน และพระเยซูกับพระมารดาแห่งคริสต์ องค์ดาไล ลามะ แห่งธิเบต ซึ่งเมื่อแรกเกิดมีลักษณะต้องตามคำทำนายและการทดสอบว่าเป็นพระโพธิสัตว์กลับชาติมาเกิด ได้ถูกนำไปที่วัดที่ธิเบต เพื่อการเรียนรู้ และรับหน้าที่ต่อไป

เครื่องหมายสัญลักษณ์ของเร็คคี้ที่ปรากฎสมัยศตวรรษที่หนึ่งและสอง ก่อนคริสตศักราช ปรากฎอยู่ในตำราเร็คคี้ปัจจุบัน ถ้าสงสัยว่า ทำไมเร็คคี้จึงเป็นภาษาญี่ปุ่น ถ้ามีพื้นฐานมาจากศาสนาคริสต์ นักค้นคว้าชาวเยอรมันชื่อ โฮลเกอร์ เคอร์สเดน ในหนังสือชื่อ Jesus Lived in India (Elements Books, Ltd. 1991) ได้อ้างอิงหลักฐานว่าพระเยซูกลับชาติมาเกิดเป็นพระโพธิสัตว์ ลักษณะต้องตามพระบัญญัติ ถูกนำไปเลี้ยงที่อิยิปต์ ก่อนนำไปสู่อินเดีย พร้อมทั้งครอบครัว เพื่อความปลอดภัยจากอำนาจของโรมัน ภายหลังจากที่พระองค์ทรงฟื้นจากการตรึงกางเขน ก็ไปพำนักที่อินเดียอย่างผู้เคร่งศาสนา ดังปรากฎสถานที่เคารพ และสุสานของพระเยซู กับพระมารดาที่แคว้นแคชเมียร์ อินเดีย

มิกาโกะ ยูซุย เมื่อกลับมาที่สำนักเซ็นที่ญี่ปุ่น ได้ศึกษาการบำบัดภาษาสันสกฤต แต่ไม่มีรายละเอียดของวิธีการรักษาเขียนไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้เร็คคี้ตกไปอยู่กับบุคคลที่ไม่เหมาะสม เขาจึงค้นหาวิธีบำบัดด้วยตนเอง โดยการวิปัสสนาสมาธิ เขาเลือกสถานที่บนยอดเขา โคริยามะ ที่ญี่ปุ่น เขานำก้อนหินไป 21 ก้อน เมื่อผ่านไป 1 วัน เขาก็โยนหิน ทิ้งไป 1 ก้อน จนเหลือหินก้อนสุดท้าย เมื่อเช้าตรู่ของวันที่ 21 ได้มีลำแสงสว่างจ้าพุ่งตรงมาที่หน้าผาก เขาเกือบจะหลบหนีด้วยความกลัว แต่ก็ตัดสินใจที่จะเผชิญต่อไป ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาก็จะยอมรับ เพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบที่เขาแสวงหามานาน ทันทีนั้น เครื่องหมายเร็คคี้ก็ปรากฎขึ้นแต่ละขั้นอย่างชัดเจนในสมาธิของเขา พร้อมทั้งวิธีบำบัด เขารู้ว่าเขาค้นพบคำตอบที่แสวงหาแล้ว มันได้ปรากฎขึ้นแล้วอย่างแจ่มแจ้ง

เมื่อเขาลงจากยอดเขาได้ปรากฎสิ่งที่เรียกว่า ปาฏิหารย์ 4 ประการ คือ

1) เขาสะดุดหิน บาดเจ็บที่หัวแม่เท้า เมื่อเขาเอาฝ่ามือวางลงไป แผลก็หายสนิท

2) เมื่อเขาลงมาที่ตีนเขา เขารับประทานอาหารเต็มอิ่ม โดยไม่มีปัญหาการย่อยเลย ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้รับประทานอาหารมา 21 วัน

3) หญิงที่เสิร์ฟอาหารมีอาการปวดฟัน เขาใช้มือวางบนหน้าด้านนั้น ความปวดก็หายไป

4) เมื่อเขากลับมาถึงวัด เขาสามารถรักษาพระอาจารย์ที่กำลังอาพาธปวดกระดูก และข้อให้หายได้

เขาตั้งชื่อวิธีการบำบัดว่า เร็คคี้ (Reiki) เพื่อให้มีความหมายถึงพลังจักรวาล (Rays) และพลังชีวิตแห่งร่างกาย (Ki) เขาทำการรักษาผู้ป่วยที่สำนักขอทาน ซึ่งทุพพลภาพอยู่ในการเลี้ยงดูของชุมชนจนหายป่วย แทนที่เมื่อหายจากโรค ขอทานเหล่านั้นจะเลี้ยงชีพด้วยวิธีอื่น กลับไปดำรงชีวิตเป็นขอทานตามเดิม ทำให้เขาผิดหวัง และคิดว่าการรักษาเพียงร่างกาย ไม่เป็นการรักษาที่สำเร็จบริบูรณ์ จำเป็นต้องรักษาจิต และวิญญาณเพื่อให้ครรลองความคิดถูกต้อง และการรักษาที่ไม่มีค่าตอบแทน ทำให้ไร้ความหมายปราศจากความสำคัญ จึงอาจเป็นด้วยเหตุนี้ ที่ทำให้ค่าเรียนเร็คคี้มีอัตราสูง เร็คคี้ขั้นที่หนึ่งประมาณ $200 ขั้นที่สองประมาณ $5,000 ขั้นที่สามประมาณ $10,000 และต้องมีการเฟ้นตัวผู้เรียนขั้นที่สามนี้ คือได้รับเชิญโดยไม่มีทุนการศึกษาเรียนฟรีด้วย

มิกาโกะ ยูซุย เริ่มออกเดินเท้าเปล่าทำการบำบัดและสั่งสอนวิชาเร็คคี้ เขาได้พบ ซูจิโร ฮายาชิ ทหารเรือนอกประจำการอายุ 47 ปี เมื่อ ปี ค.ศ. 1925 และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนต่อจากยูซุย เมื่อยูซุยถึงแก่กรรมปี 1930 หลังจากที่ได้ผลิตผู้สอน 16-18 คน

ฮายาชิเปิดคลินิคบำบัดโรคด้วยเร็คคี้ในโตเกียว ชื่อ ฮายาชิ ชินา โนมาชิ ผู้รับราชรักษาจะพำนักที่คลินิค และสามารถรักษาผู้อื่นเป็นกลุ่มได้ หากผู้ป่วยไม่สามารถเดินทางมาที่คลินิค ผู้บำบัดเหล่านี้ก็เดินทางไปรักษาให้ถึงบ้าน และที่คลินิคแห่งนี้เอง เป็นประวัติส่วนสำคัญที่ปรากฎว่าเร็คคี้มาสู่อเมริกา

ฮาวาโยะ คาวามูระ เกิดวันที่ 24 ธันวาคม 1900 ในครอบครัวของชาวตัดอ้อยในไร่ที่ฮาวาย เธอร่างกายเล็กและไม่แข็งแรงพอที่จะทำงานในไร่อ้อยได้ จึงได้รับหน้าที่ดูแล บ้าน และบัญชี ได้แต่งงานกับสมุห์บัญชีชื่อ ซาอิชิ ตากาตะ ปี 1917 มีธิดาสองคน สามีถึงแก่กรรมด้วยหัวใจวาย ปี 1930 เธอต้องดูแลลูกสาวทั้งสอง เกิดโรคอ่อนเพลีย และเกิดปัญหาสุขภาพอย่างแรง มีก้อนนิ่วในถุงน้ำดีจำเป็นต้องผ่าตัด แต่เธอไม่สามารถรับยาสลบได้เพราะปัญหาทางเดินหายใจ เมื่อมีโรคแทรกด้วยไส้ติ่งอักเสบและเนื้องอก การผ่าตัดเป็นทางออกสุดท้าย แต่เธอได้ยินเสียงว่า การผ่าตัดไม่เป็นสิ่งจำเป็น

เธอเดินทางกลับไปเยี่ยมมารดาที่ญี่ปุ่นเมื่อน้องสาวถึงแก่กรรม และเล่าเรื่องความจำเป็นในการผ่าตัดให้มารดาฟัง เมื่อไม่มีทางเลี่ยงอื่นที่จะรักษาชีวิตไว้ เธอได้รับกำหนดการผ่าตัด แม้กระทั่งเมื่อเธออยู่บนเตียงผ่าตัด เธอก็ได้ยินเสียงย้ำอีกว่า ไม่จำเป็นต้อง ผ่าตัดเธอจึงถามแพทย์ว่า มีวิธีอื่นอีกไหม นอกจากการผ่าตัด แพทย์ตอบว่า มี ถ้าเธอมีเวลาอยู่ญี่ปุ่นอีกนานกว่านี้ น้องสาวของแพทย์ผ่าตัดพาเธอไปที่คลินิคฮายาชิวันนั้นเอง

เธอพักรักษาตัวที่คลินิคสี่เดือน และหายขาดจากโรคทั้งหมด รวมทั้งจิตใจและวิญญาณ เธอขอเรียกวิชาเร็คคี้ แต่ฮายาชิไม่อยากให้วิชาเร็คคี้ออกไปนอกญี่ปุ่นในเวลานั้น จึงรีรออยู่ จนกระทั่งได้รับการขอร้องจากแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดที่โรงพยาบาลมาอิดา จึงตกลงสอนวิชาเร็คคี้ให้ตากาตะ เธอสำเร็จเป็นเร็คคี้ระดับสองเมื่อปี 1937 และกลับฮาวายหลังจากพำนักอยู่ที่ญี่ปุ่นสองปี

เธอเปิดคลินิครักษาด้วยเร็คคี้ที่หมู่เกาะคาปา เธอเรียนวิชาบำบัดด้วยการนวด เพื่อเลี่ยงข้อจำกัดทางกฎหมายและความเข้มงวดของเจ้าหน้าที่ ปี 1938 ฮายาชิมาเยี่ยมเธอที่คลินิคที่ฮาวาย และสอนให้เธอต่อจนจบวิชาเร็คคี้ขั้นที่สาม สามารถเป็นผู้สอนได้