สุขภาพและการบำบัด
สดศรี สุริยะฉาย
ความเชื่อ

เชื่อไหมว่า คนเรานับถือความเชื่อ เป็นศาสนา เกิดเป็นคนนั้น ประกอบด้วยความศรัทธา และเชื่อว่าคนมีวิญญาณที่ไม่สูญสลาย คนเชื่อในสิ่งที่เขาไม่เห็น และเชื่อในสิ่งที่เขาไม่รู้แจ้ง

พูดมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ชักจะเชื่อว่าสิ่งต่างๆ ดังกล่าวนั้นเป็นความจริง เป็นอมตะ เปล่าหรอก ไม่ได้มาจากผู้เขียน แต่มาจากหนังสือชื่อศาสนาอันยิ่งใหญ่แห่งโลก รวบรวมโดยสำนักพิมพ์ LIFE จากการสัมภาษณ์อัจฉริยะบุคคล 82 ท่าน อ้างอิงข้อมูลจาก 18 สถาบัน และรวบรวมรายงานจากสิ่งพิมพ์ 56 แห่ง สรุปได้ว่า มี ศาสนาอยู่ 6 ศาสนา ได้แก่

1.ฮินดู

2.พุทธ

3.ปรัชญาจีน

4.อิสลาม

5.Judaism

6.คริสเตียน

การบำบัดร่างกายไม่จำเป็นต้องอิงศาสนา แต่เราสามารถให้ร่างกายบำบัดตนเองได้ ถ้าเรามีความเชื่ออันบริสุทธิ์ว่าเราจะรักษาตัวเองได้ อย่างที่เรียกว่าจิตบำบัดอีกนั่นแหละ เราไม่ได้ใช้จิตรักษาโรค แต่เราเข้าสมาธิจิตให้ความบริสุทธิ์ของความรู้สึกเกิดขึ้น แล้วระบบจะมีโอกาสประสานการทำงานได้คล่องขึ้น การสื่อสารระหว่างเซลล์สามารถทำได้ปกติ นั่นคือร่างกายรักษาตัวเองได้ เพียงแต่ให้ความสงบต่อการสื่อสาร ระหว่างเซลล์ เพื่อการประสานงานของต่างระบบเป็นไปตามปกติ เขาถึงว่า หลังจากทานอาหารครึ่งชั่วโมง ร่างกายกำลังย่อยอาหาร แปรสารอาหารเข้าสู่รูปที่ร่างกายนำไปใช้ได้แต่ละระบบ นำไปส่งให้แก่เซลล์ที่เกี่ยวข้องในการใช้งาน ในขณะนั้น ประสาทต้องการพักผ่อนนอนหลับ เพื่อให้เซลล์ส่งและรับอาหารสำหรับปฏิรูปทำงานภายในเซลล์แล้วสื่อสารไปยังเซลล์อื่น ในขณะนั้นจิตอาจก่อให้เกิดการฝัน เป็นเรื่องเป็นรูปการณ์ที่อาจเป็นจริง หรือไม่มีเค้าเรื่องอะไรเป็นสาระ แต่ที่แน่นอนคือวิญญาณไม่สูญสลาย ผู้เขียนเคยประสบตอนยังเด็กมาแล้ว ว่าวิญญาณของพี่เขยที่ออกจากร่างกายของเขาจากจังหวัดอุบล เมื่อเวลา 4 โมงเย็น สามารถเดินเปิดประตูคล้องโซ่เหล็กเข้าถึงที่นอนภรรยาได้ประมาณตีสี่ จากนั้นวิญญาณกลับไปอยู่ ณ จุดที่เขาออกจากร่างชั่วระยะเวลาหนึ่ง จนบัดนี้ก็ยังยืนยันไม่ได้ว่า เข้ามาเกิดในท้องภรรยาเป็นลูกสาวคนเดียวในปัจจุบันหรือเปล่า เพราะเด็กฉลาดพูดจาแบบผู้ใหญ่ นั่นหมายถึงว่า วิญญาณไม่สูญสลาย จริงหรือ

วิญญาณของเราถ้าบริสุทธิ์ ย่อมสามารถส่งผลไปรักษาข้อบกพร่องในระบบร่างกายได้ จริงหรือไม่ขอให้สังเกต เวลาที่ร่างกายมีข้อบกพร่อง ส่งจิตอันบริสุทธิ์ไปแก้ไขดู ว่าจะได้ผลหรือเปล่า อย่างน้อย ก็หัดทำจิตมิให้มลทินเศร้าหมอง ขุ่นเคือง แล้วรักษาอาการของร่างกาย ณ จุดที่เป็นอยู่

หลักของการบำบัดด้วยจักระ ก็อาศัยวิธีดังกล่าวนี้ คือหาจุดที่ร่างกายไม่สบาย แล้วใช้ปลายประสาทที่ฝ่ามือส่งจิตไปยังจุดนั้น ศูนย์รวมของจักระคือศูนย์การทำงานของอวัยวะที่เกี่ยวข้อง จะเริ่มสื่อสารถึงกัน เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ให้เซลล์ในระบบจักระนั้นเป็นสุข เซลล์น่าจะส่งข้อความแห่งความราบรื่นไปสู่เซลล์อื่น

สมมุติว่า มีอาการเจ็บที่หัวใจ เพราะร่างกายได้รับสารคาร์บอนโมนอกไซด์จากเตาแก๊สรั่ว ทำให้โลหิตไม่มีออกซิเจนสมบูรณ์ กล้ามเนื้อหัวใจไม่ได้รับออกซิเจนเพียงพอ เซลล์เกิดความเหนื่อยล้า กล้ามเนื้อหัวใจเต้นไม่แข็งแรง หรือเกิดสารไม่เป็นประโยชน์ในการกระชับกล้ามเนื้อหัวใจให้เต้นตามจังหวะ เราจะส่งสมาธิจิต คือจิตอันสุขสงบไปทำให้กล้ามเนื้อหัวใจได้รับออกซิเจนและเต้นแข็งแรง ไม่เกิดการเจ็บกล้ามเนื้อหัวใจ อย่างนี้คงทำไม่ได้ เพราะเป็นปัญหาทางเทคนิค แต่ถ้าเรารวบรวมพลังจิตมีสมาธิสูง ทำให้เกิดความสงบ หัวใจผ่อนคลายการรัดตัว เต้นช้าลง ไม่เกิดการเจ็บกล้ามเนื้อหัวใจ อย่างนี้ย่อมเป็นไปได้ นั่นคือรักษาอาการเจ็บที่หัวใจได้ผลสำเร็จ หมายถึงว่า ร่างกายรักษาตัวเองได้

ที่นี้ลองพิจารณาศูนย์รวมจักระ สมมุติว่า เกิดปวดหัวตรงขมับสองข้าง เพราะเส้นโลหิตที่นำเลือดไปเลี้ยงสมองทำงานไม่สมบูรณ์ สมมุติว่าเกิดจากสาเหตุเดียวกัน คือแก๊สคาร์บอนโมนอกไซด์ทำให้เลือดที่ไปเลี้ยงสมองด้านข้างขาดออกซิเจน เซลล์สมองที่ใกล้เคียงได้รับผลกระทบไปสู่เซลล์รอบด้านข้างขมับ อาการปวดหัวด้านข้างจะเป็นอยู่ข้างหนึ่ง เพราะโลหิตส่งมาจากหัวใจขาดออกซิเจนไปตามทางเดินเส้นโลหิตด้านข้างขมับ หมายถึงว่า จักระที่ท้ายทอยได้รับผลทั้งหมดของสมองส่วนล่างทำให้ปวดหัวตรงจักระท้ายทอย การบำบัดก็โดยสมาธิจากจักระที่หัวใจ เลื่อนไปตามจักระที่สมองส่วนหลัง แล้วส่งไปสู่จักระที่หน้าผากระหว่างคิ้ว การทำงานของจักระเดินทางต่อเนื่องกัน ส่งผลให้จักระประสานงานร่วมกันโดยรวม ทำให้คลายเครียดที่จักระใดจักระหนึ่งลงได้ นั่นคือ ความหมายของการบำบัดด้วยจักระ

ร่างกายของเราดังกล่าวแล้วว่าสามารถรักษาร่างกายได้ ถ้าจิตสมดุล หรือภาวะอยู่ในสภาพที่สงบ ถ้าหากว่า เรากำลังนอนหลับ จะสามารถบำบัดร่างกายตัวเองได้ไหม อันนี้คงตอบตรงที่ว่า สามารถควบคุมสภาวะจิตระหว่างหลับได้เพียงใดหรือเปล่า เพราะการหลับ บางทีก็หลับสนิท แต่ยังมีภาวะการควบคุมจิตได้ย่อมส่งพลังไปทำการบำบัดที่ต้องการตอนหลับได้

นี่คือทฤษฎี ในทางปฏิบัติขึ้นอยู่กับภาวะการคิด การควบคุมจิต เรียกว่าสมาธิจิตมั่นคงสะอาดเพียงใด ถ้ายังไม่เคยฝึกภาวะจิต ก็ลองหัดทำสมาธิจิตดู เริ่มต้นจากการทำความสะอาดจิต แล้วเริ่มต้นสมาธิ แล้วจึงส่งพลังจิตในสมาธิไปทำงานตามคำสั่งของจิต เริ่มต้นที่ร่างกาย ควรได้รับสารอาหารที่สมบูรณ์เพียงพอ นั่นคือ การกิน อยู่ หลับนอน มีหลักการที่เอื้ออำนวยการรักษาร่างกายของตนเองด้วยจิตมากเพียงใด แต่ไม่ใช่เหนือความพยายาม เพราะเขาพูดกันเสมอว่า ร่างกายของเราย่อมรักษาตัวเองได้ ยกตัวอย่างผู้เขียน ผลการตรวจเลือดพบว่ามีโคเลสเตอรอลชนิดร้ายสูง ส่งผลให้โคเลสเตอรอลรวมสูงด้วย แพทย์ด้านประสาทวิทยาจ่ายยาสแตตินให้ผลข้างเคียงก็คือทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแอ ทำให้เจ็บหัวใจ และเดินไม่แข็งแรง แพทย์ประจำตัวบอกว่า ผู้เขียนมีโคเลสเตอรอลชนิดดีสูง ไม่ต้องกินยาลดโคเลสเตอรอลชนิดร้าย ตามหลักทฤษฎี โคเลสเตอรอลชนิดดีจะทำลายโคเลสเตอรอลชนิดร้ายเอง ผู้เขียนก็ยกเลิกการกินกุ้งของโปรด ซึ่งมีโคเลสเตอรอล 28 % แล้วหันมากินแคลเซี่ยมกับไวตามินดีที่แพทย์ประจำตัวสั่งมา เพื่อให้กระดูกแข็งแรงสามารถสร้างเม็ดโลหิตจากกระดูกได้ดีขึ้น ร่างกายก็จะมีโอกาสรักษาตัวเองได้ดีขึ้นกว่ากินยาสแตตินไปลดโคเลสเตอรอลร้าย แล้วกล้ามเนื้ออ่อนแรงเป็นผลตามมา จะเลือกให้ร่างกายรักษาตัวเองได้ ไม่ดีกว่าหรือ