สุขภาพและการบำบัด
สดศรี สุริยะฉาย
คิดถึง-คิดไม่ถึง

“คิดถึง” ต่างกับ “การใช้ความคิด” คิดถึงเพียงแต่ส่งใจถึงคน สัตว์ หรือสิ่งของ การใช้ความคิดคือการมุ่งผลว่าทำอย่างไรจะให้เกิดผลตามที่ต้องการ การ “คิดถึง” กัดกร่อนหัวใจ เพราะไม่รู้ว่าเขาจะคิดถึงอย่างที่เราคิดถึงเขาหรือไม่ถ้าคนหรือสัตว์ใจตรงกันก็มีโอกาสที่จะคิดถึงกันเหมือนกัน แต่ถ้าคนไม่ชอบกันก็อย่าคิดถึงกัน เพราะอาจเป็นอย่างที่คิด ฝรั่งเขาพูดว่า Be careful of what you are thinking, it might happen that way. เช่นคิดอยากให้คนนั้นตายอาจตายจริงๆ โดยมากความคิดถึง จะได้รับการสนองตอบโดยคนหรือสัตว์ก็คิดถึงเราอยู่ เพราะคิดโดยจิตสัมผัสถึงกัน ถึงแม้คนหรือสัตว์ตายแล้วก็อาจจะได้รับความคิดถึงทางจิต เช่นได้ยินเสียง ได้เห็นจากความฝัน ได้รู้จากคนอื่นมาส่งข่าว ที่ความคิดถึงเป็นอันตรายเพราะไม่รู้ผลหรือเป้าหมาย ทำร้ายจิตใจของผู้ที่กำลังคิดถึงให้เศร้าหมองหรือขาดสมาธิในการทำกิจ ถ้ามีความคิดถึงเกิดขึ้น ลองตั้งสติพิจารณาดูว่าอีกฝ่ายกำลังเป็นอะไรอยู่ มีอันตรายหรือเปล่า หรือมีความทุกข์หรือเปล่า จะได้รีบติดต่อสื่อสารให้รู้ความหมายของความคิดถึงที่เกิดขึ้น และแก้ไขได้ทันท่วงที

“คิดถึง” ต่างกับ “การคิด” เช่นการคิดเพื่อเข้าสู่วงจรสมาธิ มีหลายวิธี เช่นคิดว่าร่างกายของเรานี้ ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน มีแต่จะแตกสลายในวันหนึ่ง คิดตั้งแต่กระหม่อม เรื่อยลงมาตามใบหน้า ตา หู จมูก คิดตามลมหายใจ จากปลายจมูกสู่ช่วงคอ ผ่านหัวใจ ปอด ลงไปสู่ช่วงท้อง ตับไต กระเพาะ ตามลมหายใจกลับสู่การหายใจออกที่ปลายจมูก การคิดเช่นนี้จะนำไปสู่ภาวะจิตว่าง คือไม่คิดอะไรเลย หรือการเข้าสู่สมาธิโดยวิธีฟัง จนกระทั่งไม่คิดอะไรเลยเข้าสู่ภาวะจิตว่างเป็นสมาธิ หรือการเพ่งดูรูปอะไรก็ตาม จะเป็นแท่งแก้วใสมีรูปแกะสลักเป็นพระพุทธเจ้าหรือพระเยซูอยู่ข้างในแล้วแต่ความเชื่อของศาสนา แล้วหลับตาไม่คิดตามรูปที่เห็น ก็สามารถเข้าสู่ภาวะสมาธิ เป็นภาวะจิตว่าง ผู้เขียนใช้วิธีอธิบายการเข้าสู่สมาธิด้วยวิธี 3V’s คือ Voice ได้แก่ฟังเสียงสวด อาจเป็นเสียงสวดจากเมืองไทยก็ได้ หรือการเพ่งภาพ อาจเป็นภาพอะไรก็ได้ดังกล่าวแล้วเป็น Vision แล้วนำจิตเข้าสู่ความว่าง คือ Void คือสมาธิจิตว่าง ณ จุดนั้น ลองดูว่าแต่ละคนจะใช้วิธีต่างกันอย่างไรก็ได้ผลเข้าสู่ความว่างของจิตเป็นสมาธิได้เหมือนกัน ผู้เขียนลองและได้ผลแล้วทั้ง ฟังเสียง ดูภาพ สามารถเข้าสู่ความว่างของจิตเป็นสมาธิได้ โดยไม่ต้องอิงศาสนาใด สำหรับใช้สอนชาวต่างชาติต่างภาษาต่างศาสนาให้ทำสมาธิจิตได้โดย 3V’s ได้แก่ Voice, Vision, Void

“คิดไม่ถึง” อันนี้อันตราย เพราะลืมคิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาเพราะไม่ได้คิดป้องกันไว้ เกิดจากปัญญาไม่ถึง หรือจะทำอย่างไรจะให้มีปัญญาคิดให้รอบคอบ ก็ต้องรู้วิธีคิดให้ถ่องแท้ทุกมุม ว่าถ้าเป็นอย่างนี้จะเกิดผลอะไรบ้าง คิดให้ถึงทุกอย่างที่จะบังเกิดขึ้นจากผลลัพธ์ของเหตุการณ์ ใครจะรู้ล่ะว่าจะเกิดขึ้น นั่นคือ คิดไม่ถึง ทำให้คิดถึงเพลงของ ชรินทร์ นันทนาคร ว่า “คิดไม่ถึงว่าเธอจะแปรได้ คิดไม่หายว่าใจจะแปรผัน” นั่นคือไม่ได้คิดเฉพาะตัวเอง คิดว่าคนอื่นจะเป็นอย่างไรด้วย นั่นคือคิดให้ถึงทุกอย่าง

เขียนมาถึงขั้นนี้รู้สึกว่าจบ แต่ที่จริงแล้วเรื่องยังยาว เช่น ดร.มิอาโกะ ยูซุย ผู้คิดค้นวิชาเร็คคี้ คือการบำบัดด้วยพลังร่างกาย จิตและวิญญาณ ใช้วิธีคิดค้นหาคำตอบที่ลูกศิษย์ถามว่า การบำบัดทำอย่างไร เขาต้องเดินทางค้นหาคำตอบจากดินแดนต่างๆ ทั้งอินเดีย จบที่ญี่ปุ่นเป็นเวลา 10 ปี กลับมานั่งสมาธิอยู่ 21 วัน ดื่มแต่น้ำ ได้มีแสงสว่างกระทบหน้าผากซึ่งเป็นสมองส่วนหน้าควบคุมความคิด แล้วเกิดนิมิตเป็นภาพเครื่องหมายเร็คคี้ และวิธีการบำบัดผ่านมือ จิต และภาวนา ซึ่งได้ผลมาแล้วกว่าสองร้อยปี ผู้เขียนเรียนวิชาการบำบัดด้วยพลังจักระจาก อาจารย์เยาวเรศ บุนนาค ที่เมืองไทย ได้รวบรวมความรู้ทั้งหมดจากที่เรียนที่อ่านที่ฝึก ที่ประสบด้วยตนเองกว่า 20 ปี มาเป็นวิชาชื่อ Reiki Treatment and Healing with Chakra จะเปิดชั้นสอนที่ Burbank Adult School วันที่ 24 กุมภาพันธ์ นี้

บนเส้นทางการค้นหาทางจิตวิญญาณเพื่อใช้ในการบำบัดโรคของ ดร.ยูซุย ไม่ใช่เรื่องสั้นและง่าย เขาค้นคว้าทางเอกสารอยู่ 7 ปี เขารวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์บุคคลต่างๆ เขาใช้สมาธิท่ามกลางความเงียบค้นหาคำตอบ เขาได้รับความรู้เป็นกุญแจสู่การบำบัดแต่ไม่ได้รับพลังในการบำบัด เขาต้องปรึกษาผู้รู้อีกมากมาย เขาไม่กินอาหาร เพื่อไม่ให้ส่งผลต่อความคิดที่จะเป็นหนทางบรรลุพลังในการบำบัด เขามีความกลัวเกิดขึ้นก่อนที่จะเกิดพลังสำหรับการบำบัด ในที่สุดเขาได้รับคำตอบ คือพลังในการบำบัด เขาต้องการวิธีที่จะใช้พลังให้เกิดผลในการบำบัด เขาต้องสมาธิและศึกษาจากผู้อื่นอีกมาก เขาฝึกการบำบัดโดยเริ่มที่ขอทาน เขาเห็นผลลัพธ์ว่าขอทานเกิดร่ำรวยขึ้นแต่ไม่ทำคุณประโยชน์ต่อสังคม เขาจึงตั้งปณิธานว่าจะสอนหลักการคิดและทำการบำบัดให้คนที่จะทำประโยชน์ต่อผู้อื่น เขาจึงสอนวิชาเร็คคี้และผ่านพลังต่อไปยังบุคคลอื่นที่จะทำประโยชน์ต่อสังคมต่อไป

พลังในการบำบัดจากสมาธิแล้วส่งความคิดที่จะบำบัดผ่านคลื่นรอบตัว ที่เรียกว่าคอสมิค หรือมาจาก Quantum Physics คือความสัมพันธ์ระหว่างเวลาและความเร็วผ่านคลื่นไฟฟ้า ที่เรานำมาศึกษาคลื่นสมองด้วยเส้นกราฟ เรียกว่า electroencephalograph

เราได้ประโยชน์จากคลื่นไฟฟ้าเพราะการที่โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ ก่อให้เกิดพลังแรงดึงดูดด้วยคลื่นไฟฟ้าจากการเดินทางของอิเลคตรอนรอบเซลล์ น่าสังเกตว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์จำนวน 25,900 รอบต่อวันเท่ากับจำนวนที่เราหายใจเข้าและออกในหนึ่งวันพอดี เราหายใจตามปกติ 18 ครั้งต่อนาที เท่ากับ 1,080 ครั้งต่อชั่วโมง รวมเป็น 25,900 ครั้งต่อวัน ไม่รู้ใครที่ฉลาดพอจะรู้ว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์เท่ากับเราหายใจเข้าและออก แล้วสอนเราว่านี่คือพลังคอสมิคจากการเดินทางของแรงดึงดูดระหว่างโลหะในโลกต่างๆ

พลังมีหลายรูปแบบ เช่น พลังศูนย์ถ่วง (Gravity or Force) พลังไฟฟ้าแม่เหล็ก (Electromagnetic Force) และพลังนิวเคลียร์ (Strong Nuclear Force และ Weak Nuclear Force) ซึ่งอยู่บนมาตรฐานของการเดินทางของอิเลคตรอนขั้วลบที่วิ่งรอบโปรตรอนขั้วบวกและนิวตรอนขั้วเป็นกลาง

พลังคอสมิคมีคุณประโยชน์มากมายถึง 12 ประการ ได้แก่ 1.ใช้ในการบำบัด 2.สามารถทะลุผ่านทุกสิ่ง 3.รวมกันเป็นพลังดิน(Earthly Ki) 4.เมื่อรวมกับพลังแสงอาทิตย์แล้วจะมีพลังเหนือกว่าพลังรูปอื่นๆ 5.มีขั้วบวกและลบ 6.สามารถกระจายออกจากร่างกายโดยทางมือ หน้าผาก และกระหม่อม 7.สามารถส่งผ่านไปยังแหล่งอื่นโดยทางผ้าไหม โลหะ 8.สามารถคงอยู่ได้ในน้ำ 9.สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยดิน น้ำ ลม ไฟ 10.สามารถควบคุมได้โดยพลังจิต 11.สามารถใช้ได้ในภาวะจิตบริสุทธิ์ คือ ความดี หรือความตั้งใจไม่ดี หรือ 12.สามารถเพิ่มได้โดยพลังจักระ

ที่น่าสะดุดใจก็คือการใช้พลังคอสมิคในการบำบัดผ่านทางจักระ กระจายออกจากร่างกายโดยทางมือ สัมผัสได้โดยทางกระหม่อม หรือเห็นเป็นนิมิตได้โดยตาที่สามหรือที่หว่างคิ้ว การส่งพลังในการบำบัดอาจเปลี่ยนแปลงหรือควบคุมได้โดยพลังจิต ควรเป็นจิตบริสุทธิ์ โดยทั่วไปจึงกำหนดให้มีวินัย 10 ประการสำหรับผู้ใช้พลังคอสมิคในการบำบัดด้วยจักระ ได้แก่ 1.เลี่ยงคนพาลคบคนดีเป็นเพื่อน 2.อยู่ในสถานที่งอกเงยเพื่อสร้างตนให้เจริญขึ้น หรือท่องไปในสถานที่ซึ่งเจริญจิตใจและร่างกาย 3.สังเกตและควบคุมอารมณ์ไม่ให้เป็นทาสความอยาก ความโกรธ และหลงผิด 4.ดูแลตัวเองให้พร้อมทั้งอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อาศัย และยา 5.มีศีลและเลี่ยงบาปสิบประการได้แก่ ฆ่า ขโมย ผิดประเวณี โกหก พูดเหลวไหล พูดหยาบ อาฆาตจองเวร คิดร้าย เสพสิ่งเสพติด ควบคุมตนเองได้ 6.ให้ความนับถือผู้อื่น อ่อนน้อมทั้งคำพูด กริยา และความคิด 7.พึงพอใจในรูปที่ไม่งามของตน เสียงไม่เพราะ หรือปมด้อยอื่นๆ 8.ทะเยอทะยานที่จะก้าวหน้าในทางความคิด การกระทำ และการเรียน 9.ไม่ปล่อยตนให้จมอยู่กับความสูญเสีย 10.ปฏิบัติดูแลอันดีต่อบิดามารดา ภรรยา สามี และบุตร

จะเห็นได้ว่าแม้การบำบัดรักษาด้วยจักระจะเกิดจากญี่ปุ่น แต่ประเทศไทยก็มีหลักจากพุทธศาสนาที่เป็นฐาน และความรู้ในการบำบัดด้วยพลังที่จักระหรือศูนย์รวมแห่งอวัยวะภายใน ทุกสิ่งเกี่ยวเนื่องต่อกัน เริ่มต้นที่จิตใจบริสุทธิ์แวดล้อมด้วยความดี มีความสุขในสถานที่ ร่างกาย และญาติมิตรรอบตัว จึงส่งผลให้การใช้มือบำบัดด้วยพลังจิตเกิดผลสำเร็จตามประสงค์