เมื่อวันก่อนมีพระสงฆ์มาโปรดถึงที่พักหลายรูป ยืนเรียงแถวกัน เป็นภาพที่งดงามยิ่งนักไม่เคยเห็นสีเหลืองของจีวรสงฆ์ยืนเรียงกันเป็นระเบียบที่ประตูทางเข้า ไม่เคยรู้ข่าวมาก่อน ไม่ได้เตรียมตัว พอเดินเข้าตึกก็ได้เห็นสีเหลืองของจีวรพระยืนเรียงอยู่ ได้ทักทายพระผู้ใหญ่ที่ออกธุดงค์ไปเมืองไทยอยู่เสมอ บางครั้งท่านก็พักค้างคืนที่ป่าช้า นับว่าเป็นบุญที่ได้พบท่านอีก มีพระองค์หนึ่งแตกต่างจากผู้อื่น ที่ดูลักษณะเป็นชาวคอเคเซียนวัยเยาว์เป็นที่สะดุดตา คุยกับท่านด้วยภาษาอังกฤษ ท่านบอกว่า บวชเมื่ออายุ 15 ขณะนี้อายุ 17 ปี ท่านคงต้องศึกษาธรรมะด้วยภาษาบาลี และคงเข้าใจภาษาไทยบ้างในการดำเนินชีวิตสงฆ์ นับว่า เป็น อนุสนธิของบทความนี้ว่า ชีวิตต้องมีความสบาย 5 อย่าง คือ 1.สบายใจ 2.สบายกาย 3.สบายความคิด 4.สบายสิ่งแวดล้อม 5.สบายปาก
ความสบายใจ นับว่าสำคัญต่อชีวิตประจำวัน จะได้ไม่สังหารเด็กในโรงเรียนดังที่เป็นข่าว ความสบายใจหาได้จากที่ไหน เกิดได้อย่างไร คุณรู้สึกได้ทันทีที่มีความสบายใจ เพราะมีความปลอดโปร่งในความนึกคิด มีความสงบในการจะกิน จะนอน หรือจะทำกิจวัตรประจำวันก็ราบรื่น ความสบายใจมาจากไหน เริ่มต้นก็คงเกิดจากไร้ความกังวล แม้แต่สัตว์ก็สามารถ sense ความรู้สึกของเจ้าของได้ด้วยการสัมผัสทางจิต เช่น เมื่อผู้เขียนกินอิ่มแล้วก็ขึ้นเตียงนอน หลังจากนวดมือและนวดนิ้วจากฐานข้อมือถึงปลายนิ้วทุกนิ้ว แล้วก็กดจุดกลางฝ่ามือ นับ 1 ถึง 8 หายใจออกยาว ทำซ้ำกัน 3 ครั้ง เพื่อให้การหายใจยาวเป็นการสัมผัสทางจิตต่ออวัยวะภายในให้ราบรื่น แล้วนวดข้างนิ้วทุกนิ้ว ทำครบทุกนิ้วทั้งสองมือแล้ว เมื่อเริ่มจะหลับ เจ้าบีบี้แมวไทยสูงอายุจะกระโดดมานอนที่ซอกแขนและเอาสองเท้าหน้านวดแขนให้ผู้เขียน เมื่อเห็นว่าผู้เขียน เริ่มจะหลับแล้วเขาก็จะลงไปนอนที่เตียงเขา นี่คือการสัมผัสทางจิตของคนกับสัตว์ ที่สร้างความสบายใจทั้งสองฝ่าย ความสบายใจ อาจหาได้จากสิ่งแวดล้อม เช่น ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ เช่นที่ผู้เขียนสูดดมกลิ่นระรวยของดอกซากุระแล้วเกิดความสบายใจเพราะกลิ่นนั้นสัมผัสทางจิตให้มีความสุข ความสบายใจ อาจสร้างได้จากสัมผัสทั้ง 5 เช่น ดูภาพหมาตัวโปรดหางเป็นพวงที่ตั้งไว้ข้างเตียง หรือเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงรัชการที่ 9 แล้วเกิดความสบายใจ เพราะท่านเคยยื่นปริญญาบัตรจากพระหัตถ์ถึงมือของผู้เขียน นั่นคือความทรงจำที่สร้างความสบายใจ
ความสบายกายจะเห็นได้จากชีวิตของพระสงฆ์ที่ออกธุดงค์เดินทางไปทั่วดินแดนไทย บางครั้งนอนที่ป่าช้า แต่ความสงบทางจิต สร้างความสบายกายไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใดก็ตาม หรือพวกแมวไร้บ้าน ไม่รู้ว่า เขามีความสบายกายได้อย่างไร แต่สังเกตจากความดีใจที่เห็นผู้เขียนเอาอาหารไปให้ก็ร้องเหมียวๆ ฟังดูเหมือนพูดภาษาคนว่า เร็ว ๆ หนูหิว ส่วนความสบายกายนั้น ก็คงอย่างที่เคยเห็นแมวแก่นอนตายที่ริมสวน เพราะขาดความสบายกาย ในฐานะเราท่าน ก็ควรคำนึงถึงความสบายกายไว้เป็นประการสำคัญ เพราะหมายถึงชีวิต ผู้เขียนเคยผจญกับการสูดแก๊สพิษคาร์บอนโมนอกไซด์จากเตาแก๊สที่อะลามดังบอกว่า คาร์บอนโมนอกไซด์ สลับกับ Fire, Fire… ทุกสองนาที จนต้องถอดอะลามในห้องออกทั้งสองเครื่องเพราะทนเสียงดังไม่ได้กว่าจะได้รับการเปลี่ยนเตาแก๊ส เวลาก็ล่วงเลยไปจนลืมถึง 2 ปี ต้องตั้งพัดลม 2 ตัว เป่าตรงเตียงนอน ไล่อากาศเสียไปจากตัว กระนั้นก็เจ็บหัวใจจนทุกวันนี้ ความสบายกายจึงเป็นเรื่องสำคัญต่อชีวิต
สบายความคิด นั้นคืออย่างไร คือความคิดดี ตลอดปลอดโปร่ง สังเกตได้จากความจำในเรื่องของอดีตเช่น การรับพระราชทานปริญญาบัตรจากในหลวงรัชกาลที่ 9 จากพระหัตถ์ของท่านเอง นั่นเป็นเป็นควาใกล้ชิดโดยตรงจากพระหัตถ์ของท่านสู่มือของเรา คิดถึงจังหวะนั้นเมื่อใด ก็มีความหมายในความคิดเมื่อนั้น หลังจากนั้นก็ยกเลิกประเพณีนี้เสีย เพราะพระองค์ท่านทำงานหนักมาก ต้องยื่นพระหัตถ์นับร้อยครั้ง เพื่อหยิบปริญญาบัตรจากถาดที่มีคนหมอบถวายสู่พระหัตถ์ให้แก่นิสิตที่สำเร็จการศึกษาทุกคณะทุกคน หลายร้อยคนในปีหนึ่งๆ รัชกาลที่ 10 ไม่ปรากฎความใกล้ชิดเช่นนั้นอีก เพราะยกเลิกประเพณีนั้นเสียแล้ว และการปรากฏพระองค์ทรงเยี่ยมราษฎรต่างจังหวัด ก็ไม่เคยได้เห็นอีกแล้ว นับเป็นความทรงจำในอดีตทีคิดถึงเมื่อใดก็สบายเมื่อนั้น
สบายสิ่งแวดล้อม คือ การวางภาพที่ของคนหรือสัตว์ที่เรารัก หรือการตั้งของโบราณไว้พิจารณาดูศิลปะและคิดตามความพยายามของผู้สร้างผลงานนั้น หรือการตั้งตุ๊กตาไว้ดูเล่น สิ่งต่างๆเหล่านี้ เป็นสิ่งแวดล้อมที่สร้างความสบาย ยกตัวอย่างเช่น แผ่นไม้บางเฉียบแกะสลักเป็นลวดลายศิลปะงดงามหาอีกไม่ได้ ประกอบเป็นตัวอาคารสูงประมาณ 2 ฟุต นับว่าเป็นผลงานที่แสดงถึงความอุตสาหะพยายามอย่างยิ่งยวดของผู้ทำ คงจะหาใครทำอีกไม่ได้แล้ว เพราะโลกสมัยใหม่ก้าวเร็วกว่าการจะหาไม้มาแฉลบให้บางเฉียบและแกะสลักเป็นลวดลายละเอียดอ่อน คงผลิตด้วยวิทยาการอิเล็กทรอนิกส์ไม่สำเร็จ เพราะต้องดีไซน์ลวดลายไทยหรือ การมองดูต้นไม้ที่มีกิ่งเป็นสีน้ำตาลสูงประมาณ 2 ฟุต มีใบสีเขียวมรกต มองเมื่อใดก็สร้างความสบายจากสิ่งแวดล้อมเมื่อนั้น เพราะจิตคิดตามการทำงานทุกวินาที ที่ผลิตผลงานนั้นขึ้นมา
ความสบายปาก ไม่เฉพาะแต่เรื่องการกิน แต่รวมไปถึงเรื่องการใช้ปากสร้างคำพูดให้สบายใจผู้ฟังด้วย ก่อนจะพูดจึงควรผ่านความรอบคอบในการใช้สมองคิดเสียก่อน ว่าจะได้ผลดี หรือ สร้างความรู้สึกไม่ดีต่อผู้ฟังหรือไม่ เท่าที่สังเกตดู มักจะมาจากอายุ ที่ให้ประสบการณ์ว่าคำพูดนั้นจะสะเทือนใจสะเทือนความรู้สึกและอารมณ์ของผู้ฟังแค่ไหน หรือไม่ อย่างไร อันนี้ บางที ก็มาจากเชื้อชาติ การอบรม และการศึกษา ถ้าจะสืบไปถึงพื้นฐานต่างๆเหล่านี้ ก็สามารถสรุปได้ว่า การที่เขาพูดออกมาอย่างนั้น เป็นเพราะรากฐานหรือพื้นฐานดังกล่าวแล้วประการใดบ้าง
ความสบายดังกล่าวมาแล้วนี้ อาจไม่ครบบ่อเกิดทั้งหมดที่สร้างความสบาย ความสุขต่างจากความสบาย ตรงที่ ความสุข คืออารมณ์ ความสบาย คือความราบรื่นของความเป็นอยู่ สังเกตความแตกต่างได้จากสุขแล้วอาจไม่ยั่งยืน เพราะสิ่งนั้นเปลี่ยนไปเสียแล้ว เพราะเป็นความในใจ ส่วนความสบาย คือภาวะทางกายที่เกิดจากบ่อเกิดอันจะยั่งยืนหรือสลายได้แล้วแต่ภาวะแวดล้อม อย่างเช่น อาบน้ำแล้วสบาย แต่ถ้าเกิดความโกรธอาจไม่สบายต่อไปก็ได้
ความสบายทั้ง 5 นี้ไม่จำกัด อย่างเช่น คนแต่งงานแล้วมีความสุข แต่อาจไม่สบายก็ได้ เพราะต้องมีความรับผิดชอบเพิ่มขึ้น เช่น ต้องทำงาน 2 จ็อบเพราะเลี้ยงคนมากขึ้น หรือต้องทำครัว จัดโต๊ะอาหาร ทำความสะอาดบ้าน เพราะหน้าที่แม่บ้านมากขึ้นกว่าเป็นโสด ความมุ่งหมายที่จะพูดถึงความสบายจึงจำกัดเฉพาะใจ กาย ความคิด การกิน และสิ่งแวดล้อม ใครจะสบายแค่ไหน จึงมิใช่มองที่ว่า คนนั้นมีความสุขแค่ไหน ความสบายทั้ง 5 จึงพิจารณาเป็นรายบุคคล อย่างผู้เขียนก็คิดว่ามีความสบาย เพราะไม่มีปัญหาหัวใจ สบายกายเพียงแต่คอยเลี้ยงแมวไร้บ้านไม่ให้หิว สบายความคิดเพราะแค่คิดว่า จะเขียนบทความเรื่องอะไร สบายสิ่งแวดล้อมเพราะบ้านรกก็ได้เพราะอยู่คนเดียว ว่างๆ ก็ทำความสะอาดไปตามเรื่อง สบายปากก็เพราะทำอาหารไม่เป็นก็ไม่ต้องยุ่งยาก ทำตามใจอยากกิน ฉะนั้นความสบายทั้ง 5 ประการนี้จึงเป็นอนุสนธิของบทความเรื่องนี้ อาจไม่แอพพลายสำหรับทุกคน