อยากมีลูก
สดศรี สุริยะฉาย
อยู่เย็นเป็นสุข

คำอวยพรนี้ผู้เฒ่าผู้แก่ ชอบให้แก่คู่บ่าวสาว หรือวันครบรอบวันเกิด หรือวันมงคล เราได้ยินจนคุ้นหู ไม่เคยสนใจวิเคราะห์ความหมาย พอเรามีประสบการณ์ชีวิตและศึกษาธรรมะมากขึ้น จึงจะเริ่มสรุปได้ว่าทำอย่างไรจึงจะอยู่เย็น และเป็นสุขคืออย่างไร

อุณหภูมิภายในร่างกายคนเรา ปกติอยู่ที่ 98.6 องศาฟาเรนด์ไฮด์ การอยู่เย็นไม่จำเป็นต้องตั้งเครื่องปรับอากาศตามใจชอบที่ 62 องศา เพราะคงไม่เป็นสุขตอนจ่ายบิลค่าไฟฟ้า หรือเมื่อโรงผลิตไฟฟ้าไม่มีไฟจ่าย การจะตั้งไว้ที่ 78 องศาหรือสูงกว่า อย่างที่องค์การไฟฟ้าแนะนำ บางคนก็ไม่เป็นสุข โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้เขียนสังเกตว่า อุณหภูมิที่ 78 องศา หมาอยู่ไม่ได้ แต่ที่ 77 องศา หมาอยู่ได้ เราก็อยู่ได้ เพราะเราไม่มีขนปุกปุยเหมือนหมา ณ จุดนี้ ที่ 77 องศา ระบบไฟฟ้าเดินเครื่องเพื่อปรับทำความเย็น เป็นเวลา 5 นาทีทุกรอบ 17 นาที โดยใช้อากาศภายในห้องหมุนเวียนทำความเย็น ถ้าอากาศภายในห้องมีความร้อนสูง เช่น 83 องศา ไฟฟ้าก็ต้องทำงานเดินเครื่องนานขึ้น กว่าจะปรับลงมาที่อุณหภูมิต่ำได้ ยิ่งต่ำมากยิ่งใช้ไฟมาก ถ้าเริ่มเปิดเครื่องก่อนที่อุณหภูมิภายนอกและภายในจะสูงมาก ก็ไม่ต้องเดินเครื่องปรับอากาศมาก เพราะถ้าอากาศในห้องร้อน ต้องปรับกันนาน แทนที่จะเดินเครื่อง 5 นาที ก็เป็น 7 นาที หรือ 10 นาที ถ้าความร้อนภายนอกยังไม่สูง เครื่องทำงานห่างออกไปเป็นทุกระยะ 27 นาที ไม่ถี่มาก ก็กินไฟน้อยลง และวิธีทำให้เกิดความเย็น โดยไม่เสียเงินเพิ่มก็คือ ตั้งน้ำแข็งไว้ในห้อง โดยเฉพาะห้องที่คนอยู่หรือหมาอยู่ น้ำก็ใส่กล่องใหญ่แช่แข็งไว้ก่อนไม่ต้องเสียเงิน น้ำแข็งจะดึงความร้อนในห้องไปทำละลาย อุณหภูมิในห้องก็ลดลงไม่กินไฟมาก วิธีนี้ใช้ได้กับรถยนต์ หากล่องใส่น้ำแข็งไปวางไว้ที่พื้นรถ จะช่วยให้รถเย็นไม่กินน้ำยาปรับอากาศมาก และรักษาความเย็นในรถได้ดีเมื่อุณหภูมิภายนอกสูงในแดด เรียกว่าอยู่เย็นโดยไม่ต้องทารุณตัวเองมาก การมีน้ำไว้ในห้อง ช่วยให้นอนหลับสนิท เพราะน้ำมีพลังปรับความเย็น และปรับภาวะสนามแม่เหล็กไฟฟ้า EMF (Electro Magnetic Field) น้ำมีกระแสขั้วบวก ขั้วลบ ในตัวของมันเอง เพราะมีออกซิเจน และไฮโดรเจน ทำให้อากาศ สมดุลย์ ไม่ถูกรบกวนจากไฟฟ้าสถิตย์หรือคลื่น จากสายไฟแรงสูง ถ้ามีพัดลมที่เงียบ ตั้งทิศทางลมพัดผ่านน้ำแข็งไปยังฝาห้องหรือมุมห้อง เพื่อช่วยการถ่ายเทอากาศ ทำให้หลับได้ยาวเต็มที่ เพราะเป็นภาวะที่ร่างกายทำงานได้ โดยระบบหมุนเวียนของโลหิต ผ้าห่มตัวควรเป็นสำลี (Flannel) เพราะมีรูระบายอากาศ ไม่อบตัวจนเหงื่อแตก ถ้าคลุมและเท้าไม่ให้เย็น เลือดจะช่วยให้ร่างกายนำความอบอุ่นไปทั่วร่างกาย อย่าปิดจมูกหายใจ หรือคลุมโปง ควรหยดน้ำมันยูคาลิปตัส ที่หมอนและผ้าพันคอ จะช่วยให้หลับได้เร็ว และทำลายเชื้อโรคในบรรยากาศ ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อเครื่องไฟฟ้าทำไอน้ำ และเครื่องทำอากาศบริสุทธิ์ เพราะน้ำมันยูคาลิปตัสฆ่าเชื้อโรคได้

เมื่อเวลาต้องออกไปข้างนอกที่อากาศร้อน ควรอยู่ใต้ต้นไม้ ริมน้ำ หรือใส่หมวก เพราะต้นไม้ ซึมซับแสงแดดและคายน้ำลงมาใต้ต้น ใต้ต้นไม้จึงเย็นกว่ากลางแจ้ง สวมเสื้อผ้าที่ช่วยให้ร่างกายเย็น เป็นเนื้อผ้าฝ้าย เรยอน หรือโพลีเอสเตอร์ บางเบา รู้สึกเย็นเมื่อสวมใส่ ไม่ควรใส่ผ้าที่ผิวหายใจไม่ได้ รู้สึกอบ เพราะจะไม่เป็นสุข และอาจเป็นลมได้

เมื่อรู้วิธีอยู่เย็นได้แล้ว ต่อไปก็หาทางไปสู่ความสุข ผู้เขียนแบ่งความสุขออกเป็นสามอย่าง คือ (1) สุขระดับกาย Body (2) สุขระดับใจ Mind (3) สุขระดับวิญญาณ Spirit

สุขระดับกาย ลองใช้สูตร 3-4-5 ต่อไปนี้ เพื่อความสุขของร่างกาย คือ 3 ความงามสามประการ ได้แก่ ผม ผิว เล็บ หมายถึงการรักษาสามสิ่งนี้ให้งามก็จะเป็นสุข คิดให้ลึกซึ้ง ถ้ามีผมงามก็มีความสุขทั้งเจ้าของและผู้พบเห็น ถ้าผิวงามก็ส่อถึงสุขภาพร่างกายที่เป็นสุข กินอยู่หลับนอนอย่างเป็นสุข เล็บงามแสดงถึงอาหารที่บริโภคมีคุณภาพดี ทำให้ระบบดี ทั้งผม ผิว และเล็บ

4-ความสมดุลย์ของร่างกายสี่ประการ ได้แก่ อาหาร ออกกำลังกาย พักผ่อนเต็มที่ และพลังจิต อาหารประกอบด้วย (1) โปรตีนไร้ไขมัน ถั่ว (2) คาร์โบไฮเดรทจากข้าวไม่ขัดขาว หรือข้าวกล้อง ข้าวแดง ข้าวเหนียวดำ ข้าวฟ้าง (3) พืชผักผลไม้ (4) ไวตามิน ออกกำลังกายในที่มีออกซิเจน วันละ 30 นาที พักผ่อนหย่อนใจ และนอนหลับสนิทในที่อบอุ่น ฝึกสมาธิเพื่อการสร้างพลังจิต

5-พลังจิตห้าประการ ได้แก่ ความตั้งใจ ความสำเร็จ ความสมดุลย์ ความเพียร และความมีธาตุสี่ ความตั้งใจได้แก่ความพยายาม ความสำเร็จ get the job done ความสมดุลย์ คือการทำงานของจักระ ความเพียรคือทำให้มาก ความมีธาตุสี่ คือการอยู่ในธรรมชาติ ครบธาตุทั้งสี่ ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ

การบริหารสูตร 3-4-5 ครบถ้วนจะอำนวยความสุขระดับกาย เป็นเบื้องต้น

สุขระดับใจ ได้แก่การพอใจ ใจย่อมเป็นสุข ตรงข้ามกับความทุกข์ที่เกิดจากกิเลส ความอยากได้ ความสมหวังย่อมเป็นสุข ถ้าหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะไม่สมหวัง ก็เป็นสุข สุขทางใจเกิดจากความวิเวก ปราศจากสิ่งรบกวน ทางกาย ทางวาจา ทางใจ ความสุขได้จากการสำรวมจิตเป็นสมาธิ สมาธิไม่จำเป็นต้องอยู่ที่การนั่งสมาธิ สามารถเข้าภวังค์ตอนก่อนหลับ หรือตอนเดินก็ทำใจให้เป็นสุขได้ ทำการงานเป็นสุขก็ได้ อยู่ที่คิด

สุขระดับวิญญาณ เป็นเรื่องที่ทุกคนควรศึกษาอย่างมาก ผู้เขียนรวบรวมจากข้อเขียนของท่านด๊อกเตอร์พระมหาจรรยา สุทธิญาโน แห่งวัดพระมหาชนก มลรัฐจอร์เจีย เกี่ยวกับวิถีทางการตรัสรู้ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่บรรลุณานเป็นลำดับขั้นที่นำไปสู่การตรัสรู้ในที่สุด ว่าเป็นความสุข ระดับจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์แท้จริง นอกจากนี้คำบรรยายธรรมะของท่านวิริยังค์ ศิษย์หลวงปู่มั่น ได้สาธยายการฝึกจิตให้เข้าสู่สมาธิจะมีความสุขในกระแสจิต และสร้างพลังจิตตามลำดับขั้น ผู้เขียนได้รับหนังสือของท่านพระมหาสกล กิตติเมธี แห่งวัดพุทธวิถี ช่วยให้รู้ซึ้งถึงธรรมะ 37 ประการที่เป็นหนทางไปสู่การบรรลุองค์ธรรม 37 ประการ ซึ่งข้อเขียนของ ดร.พัลลภ ฉางข้าวชัย สรุปไว้ ประกอบด้วย มรรค 8 สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปทาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 และโพชณงค์ 7 ซึ่งเป็นธรรมแห่งการหลุดพ้น คำว่า หลุดพ้น ผู้เขียนได้คิดขึ้นก่อนหน้าแล้วว่าน่าจะ ปล่อยวาง อันเป็นธรรมะแห่งการนำจิตเข้าสู่ความสุข

ขณะนี้ ผู้เขียนใช้คำว่า หลุดพ้น และปล่อยวาง ในขณะนำจิตเข้าสู่สมาธิ โดยหายใจเข้า เมื่อบริกรรมคำว่า หลุดพ้น และหายใจออกเมื่อบริกรรมคำว่า ปล่อยวาง สามารถทำให้การหายใจออกยาว ซึ่งดีต่อระบบหายใจที่ปล่อยอากาศเสียได้หมดจด ให้ผลดีต่อการกำหนดจิตให้บริสุทธิ์เร็วขึ้น เมื่อบริกรรมคำว่าพุทโธ รู้สึกว่าหายใจสั้นไม่ทันต่อระบบร่างกาย หรือคำว่า สัมมาอะระหัง ก็ไม่ให้ความหมาย ดีเท่ากับที่ตั้งใจไปสู่ความสุขด้วยการหลุดพ้น และปล่อยวาง ซึ่งตอกย้ำความหมายให้ถึงความสุขทางจิตวิญญาณอย่างแน่แท้

การย่างเข้าสู่สมาธิขั้นที่สองไปต้องบริกรรมคำใดๆ เหลือแต่ความปิติ เข้าสู่ภวังค์บางคนอาจเห็นนิมิต ซึ่งไม่สำคัญ ไม่ต้องยึดติด เพื่อให้จิตเลื่อนขั้นสูงต่อไปอยู่ในภวังค์ ที่สามารถมองเห็นสิ่งที่ต้องการเห็นได้ทางดวงตาทิพย์ เพราะมีความชำนาญปฏิบัติหลายร้อยครั้ง เกิดจิตผ่องใส ท่านวิริยังค์กล่าวว่า ให้น้อมจิตเข้าสู่โลกุตตระ นำสมาธิเข้าสู่การพิจารณาเป็นวิปัสสนา เมื่อสมาธิเข้าสู่ขั้นสูงไปอีก เป็นขั้นที่สามอาจสามารถเดินบนน้ำได้ รักษาคนได้

การเป็นสุขนั้น ผู้เขียนเคยพบความสุขทางจิตจริงๆ ครั้งเดียว เมื่อไปสวดอิติปิโส 108 จบ ที่วัดไทยแอล.เอ. ปีหนึ่งนานมาแล้ว และก็ไม่รู้สึกเป็นสุขเหมือนอย่างนั้นอีกเลย ไม่ว่าจะสวดอีกกี่ปี จิตเป็นสุขที่แปลกไปกว่าความสุขอื่นๆ ทำให้คิดในใจว่า ทำไมรู้สึกได้เช่นนี้ ท่านวิริยังค์กล่าวว่า สิ่งต่างๆนี้ จะรู้สึกได้เฉพาะตน คนอื่นจะไม่รู้ องค์ประกอบที่ก่อให้เกิดความสุขนั้น สังเกตดู เป็นเพราะมีความพอใจที่นั่ง ซึ่งเป็นที่โล่งใต้หลังคาตรงบันไดหน้าโบสถ์ มีหมานอนหลับในกระเป๋าข้างตัว อากาศ เย็นสบายไม่มีความกังวล ถ้ามีเหตุฉุกเฉินใดๆ เกิดขึ้น และตั้งใจในการสวดมนต์แท้จริง

เมื่อศึกษาวิถีทางการตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากที่ท่าน ดร.พระมหาจรรยา สุทธิญาโน บรรยายอย่างไพเราะลึกซึ้งว่า หลังจากที่พระองค์ท่านบรรลุณานสี่แล้ว ท่านก็ได้เข้าถึงญานสามประการ คือ ปฐมยาม เมื่อจิตรเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ตั้งมั่น น้อมไปสู่ยามที่หนึ่ง เรียกว่า ปุพเพนิวาสานุสติญาน เป็นวิชาที่หนึ่งที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงระลึกชาติปางก่อนได้ มัชฌิมยาม หรือยามกลาง ทรงตรัสรู้ญาณที่สองชื่อ จุตูปปาตญาน ทรงรู้แจ้งถึงการเกิดของสัตว์ทั้งหลาย ว่าเป็นไปตามกรรมแตกต่างกันไป ด้วยตาทิพย์เหนือกว่าของมนุษย์ทั้งหลาย ญานสำคัญที่พระองค์ทรงตรัสรู้คือญานที่สามเรียกว่า อาสวักขยญาน ซึ่งพระองค์ทรงนับว่าเป็นญานสูงสุดที่พระองค์ทรงแสวงหามาถึงหกปี คือการรู้ชัดตามความเป็นจริงว่านี่คือทุกข์นี่คือเหตุให้เกิดทุกข์ นี่คือความดับไปแห่งทุกข์ แลนี้คือทางไปสู่ความดับไปแห่งทุกข์และนี่เองที่เป็นทางหลุดพ้นอย่างสมบูรณ์

การตรัสรู้แสดงถึงว่า เมื่อมนุษย์มีความพยายามอย่างเต็มความสามารถไม่หยุดหย่อน จริงจังสม่ำเสมอ ย่อมบรรลุเป้าหมายที่วางไว้แน่นอน ช้าหรือเร็ว ขึ้นอยู่กับกระบวนการเหตุปัจจัย การตรัสรู้ประกาศให้ชาวโลกทราบว่า ขอให้มนุษย์ทุกคนเชื่อมั่น กล้าหาญดับทุกข์ให้แก่ตนเอง เพราะมนุษย์สร้างทุกข์ขึ้นมาเอง การดับทุกข์อย่างแจ่มแจ้งสิ้นเชิงจะอยู่เหนือความเกิด

นั่นคือทางไปสู่นิพพานคือความสุขทางวิญญาณอันแท้จริง

ผู้เขียน สดศรี สุริยฉาย จบปริญญาตรี จากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย จบปริญญาโทจาก School of Health and Human Services, California State University, Long Beach สอนด้านสุขภาพ โภชนาการ และสรีระในวิทยาลัยของแคลิฟอร์เนียภาคใต้ เป็นเวลา 30 ปี