สุขภาพและการบำบัด
สดศรี สุริยะฉาย
สิ่งที่ทำให้เกิดเองไม่ได้

บทความสุขภาพและการบำบัดปรากฏในหนังสือพิมพ์ไทยประจำสัปดาห์ นับได้เกือบ 2000 ครั้ง ทำให้นึกถึงการหายใจของคน นาทีละ 18 ครั้ง วันละ 2590 ครั้ง เท่ากับจำนวนที่โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ใน 24 ชั่วโมง ไม่รู้ว่าใครช่างมีปัญญาสรรหามาให้เราได้รู้ สิ่งนี้มิได้เกิดมาเหมือนกัน ที่จะมีปัญญาทัดเทียมกัน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทางบำเพ็ญสมาธิเป็นเวลา 6 ปี บรรลุ 84000 พระธรรมขันธ์ เพื่อให้ปุถุชนเรียนรู้ และฝึกให้ตัวเองเกิดมีปัญญา หรือสามารถประพฤติตามครรลองไปสู่นิพพาน ไม่ต้องเกิดเป็นมนุษย์อีก เพราะความจริงของชีวิต คือ เมื่อเกิดมา ก็เกิดทุกข์ เจ็บไข้ได้ป่วย เกิดโรค เกิดมีภัยทั้งจากมนุษย์ด้วยกันเอง หรือจากเจ้าโคโรน่าที่ทำให้ต้องระวังเรื่องหายใจเพื่อดำรงชีวิต ทำอย่างไรจะสามารถปฏิบัติตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ชี้ทางให้ อย่างน้อยตั้งแต่มีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์ควรเป็นผู้มีจิตบริสุทธิ์ รักษาศีลจนสามารถบรรลุสวรรค์ 6 ชั้น บำเพ็ญสมาธิ ถึงฌานขั้นรูปพรหม 16 ขั้น กับอรูปพรหมอีก 4 ขั้น และบรรลุพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี จึงถึงขั้นพระอรหันต์ เพื่อบรรลุนิพพาน ไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ให้รับทุกข์ดังกล่าวอีก ตอนเป็นมนุษย์ อย่างน้อยก็เริ่มด้วยการให้ทาน รักษาศีล เว้นการทำบาป ทำร้ายสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์

มนุษย์มิได้เกิดมาเหมือนกันทุกคน สิ่งที่แตกต่างกันเรียกว่าปัญญา วัดกันด้วยมาตรฐานของ Intelligence Quotient หรือ ไอคิว อย่าดูถูกชาวนาเหมือนดั่งตาสี อะไรทำนองนั้น สังเกตว่ามีไอคิวระดับไหนได้จาก การพูดจา และการแสดงออก โดยมาคนคบกับคนที่มีลักษณะคล้ายกัน เพราะเข้าใจกัน ไปด้วยกันได้ ไม่จำเป็นต้องไปวัดด้วยกัน หรืออยู่ในมาตฐานไอคิวระดับเดียวกัน ดูที่การแสดงด้วยคำพูดที่เปล่งออกมา ถึงแม้จะเรียนภาษาเดียวกัน แต่ก็เรียบเรียงเปล่งถ้อยคำออกมาด้วยปัญญาต่างระดับ อาจสร้างผล แห่งความรู้สึกต่างกัน การหัดทำสมาธิก็ต่างกันไป หรือไม่สนใจเอาเสียเลย เพราะปัญญาที่จะรวบรวมจิตให้นิ่งและว่างนั้นไปไม่ถึงเท่ากันทุกคน เพราะไม่รู้ว่าจะสามารถบรรลุถึงจุดที่ทำให้จิตหยุดวิ่งไปมาเพราะความคิดได้อย่างไร

การทำสมาธิด้วยจิตจะเป็นการเริ่มต้น โดยปกติเซลล์สมองจะมีการสื่อสารระหว่างเซลล์ตลอดเวลา จะไม่หยุดคิด ไม่หยุดนิ่ง การบรรลุสมาธิคือการที่เกิดความว่างเปล่าในจิต นับว่าดีโข คนที่ทำสมาธิบรรลุถึงขั้นจิตว่าง จะรู้เอง ไม่ได้เกิดจากปากว่า หรือพูดเอาเองว่าจิตว่าง ณ ภาวะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสามารถระลึกถึงภาวะในชาติก่อนๆ จำได้แม้กระทั่งชื่อบุคคล การบรรลุสมาธิในขึ้นฌาน ต่างกับปัญญา ตรงที่ว่า ปัญญาคือรู้ภาวะชีวิตที่เป็นอยู่ รู้ว่าจะพูดอย่างไร ไม่ให้สะเทือนจิตใจของผู้อื่น หรือจะประพฤติอย่างไร ที่จะไม่สร้างผลเสียต่ออารมณ์ของผู้อื่น คนที่คิดว่าตัวเองมีปัญญา อาจพูดให้สะเทือนใจของคนที่ได้ยินโดยทั่วไป และไม่รู้ตัว เพราะขาดปัญญาในการหยั่งรู้ความคิดของผู้อื่น

การบรรลุสมาธิคือการได้ผลของความว่างของจิต เนื่องมาจากการบำเพ็ญความสงบทางจิต ภาวะแห่งปัญญาสร้างไม่ได้จากการบำเพ็ญสมาธิทางจิต ต้องเกิดมาเองด้วยระดับแห่งปัญญา ที่ประกอบด้วยสารที่ช่วยการทำงานในเซลล์สมอง เราจะกินอาหารเพื่อบำรุงให้เกิดสารนี้ในสมองได้ไหม หรือเราจะสมาธิก่อนนอน หรือเราจะทำให้เกิดจิตว่างตลอดเวลาได้ไหม คำตอบคือได้ ถ้าทำสำเร็จ แต่สิ่งที่ไม่สำเร็จคือยังมีปัญญาเท่าเดิม ตามที่เกิดมา

บางทีปัญหาที่เราตอบไม่ได้ในขณะนั้น เมื่อพักผ่อนนอนหลับ หรือแค่พักสมองให้หย่อนคลายอารมณ์จะมองเห็นทางแก้ หรือคำตอบที่ลงตัว ข้อนี้ขึ้นอยู่ที่ว่า โดยปกติ เป็นบุคคลที่มีจิตสงบ ไม่รุกราน และประกอบด้วยมีจิตเมตตากรุณาเป็นพื้นฐานอารมณ์อยู่เป็นนิจ เรียกว่า อารมณ์สงบ บางที คำตอบที่ยังหาไม่ได้จะผุดขึ้นในจิตใจเอง

หลักการอยู่ที่ว่า มีศีล สมาธิ แล้วจะเกิดปัญญา แต่ถ้าปัญญาไม่มีตั้งแต่เกิดมา จะเข้าสมาธิได้หรือไม่ โดยมาก คนที่ไม่มีปัญญาพอเพียง มักขาดพื้นฐานเบื้องต้น คือขาดความเมตตา หรือขาดความเห็นใจผู้ยากไร้ขัดสน หรือขาดความรักต่อพืชซึ่งไม่มีที่ปกป้อง มองเป็นที่ไม่สบอารมณ์ ต้องทำลายพืช ทำลายทรัพย์สินของผู้อื่น หรือขโมยทรัพย์สินของผู้อื่น จึงจะทดแทนปัญญาซึ่งคิดไม่ถึง แล้วจึงจะชดเชยอารมณ์ที่มีภาวะกดดัน ต้องระบายไปในทิศทางทำลายเพื่อให้สมอารมณ์ที่มีภาวะกดดันครอบครองอยู่

ปัญญา หรือไอคิว อาจทดแทนได้ด้วยการศึกษาเพื่อให้รู้คำตอบ เพื่อประโยชน์ในการตัดสินใจ แต่ระดับความคิดอาจยังเป็นไปตามระดับไอคิวที่เกิดมา จะบำรุงด้วยอาหารได้ไหม คงจะต้องใช้การทดลองค้นคว้าหาคำตอบ หรือศึกษาคำตอบจากผู้รู้ด้านจิตวิทยา แต่การเพิ่มระดับไอคิว ยังเป็นปัญหาที่เพิ่มไม่ได้อยู่ดี เพราะเซลล์สมองมีสารหลั่งของฮอร์โมนเพียงแค่นั้น

ผู้เขียนยังมีความหวังว่า ถ้าเราพยายามสร้างปัญญาให้เกิด เริ่มต้นจาก ศีล สมาธิ สร้างปัญญา น่าจะเป็นไปได้ เพราะการรวมความคิดเป็นหนึ่ง บนพื้นฐานของการเผื่อแผ่ การให้ ทำให้จิตมีจิตใจอ่อนโยน เกิดความคิดที่ดี คิดสร้างสังคมที่เอื้อเฟื้อต่อกัน ปราศจากการคิดร้าย ขโมย หรือทำลาย ซึ่งผลคือความมัวหมองของจิต ความคิดด้านไม่ดี ย่อมไม่สร้างให้เกิดปัญญา ความไร้ปัญญาย่อมพาให้จิตตกต่ำมัวหมอง

วิธีการสร้างปัญญาเบื้องต้น คือ ไม่ทำลายชีวิตสัตว์ หรือพืช ไม่ขโมยทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่พูดจาส่อเสียดโกหก ไม่สร้างความเสียหายต่อบุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น ความคิดปลอดจากความผิด ความมัวหมองแห่งจิต จะส่งผลให้ภาวะจิตเกิดความแจ่มใส ปราศจากสารพิษในสมอง มีฮอร์โมนที่ดีต่อการตัดสินใจในทางสร้างความฉับไวแห่งปัญญาจากเซลล์ในสมอง เซลล์ทำงานในภาวะปลอดสารพิษ ย่อมส่งผลให้เกิดปัญญา ยกตัวอย่างง่ายๆ เด็กกำลังเรียนหนังสือ จิตใจจดจ่ออยู่กับสิ่งสร้างสรรค์ ต้องการเกรดทำคะแนนจะมุ่งมั่นด้านดี ไร้ภาวะที่หดหู่หม่นหมอง เด็กคนนั้นจะสอบได้คะแนนดี สมองแจ่มใส ส่งผลให้เกิดความสุข ความสงบแห่งจิต จะทำให้ไร้สารพิษ และความคิดฉับไว เป็นผลของปัญญา สร้างการตัดสินใจถูกต้อง ย่อมตอบปัญหาได้ดีในการเรียน เพราะปัญญาเกิดจากภาวะจิตดังกล่าวเป็นพื้นฐานเบื้องต้น ข้อนี้ ผู้เขียนยืนยันว่าสามารถเป็นไปได้ เพราะเป็นไปให้เห็นด้วยกันเอง

ถ้าจะสร้างปัญญาให้เกิดในเด็ก ผู้ใหญ่ควรให้แนวทาง และวางรากฐานแห่งการดำรงชีวิตที่ไร้สารพิษทางจิตใจ คบเพื่อนที่จะช่วยกันสร้างปัญญาให้เกิดในด้านดี พร้อมกับสร้างบรรยากาศในที่อยู่ และสร้างอาหารด้านดีบำรุงสมอง กับสร้างความสุขให้เป็นภาวะส่งเสริมทางจิตแก่เด็กที่กำลังเติบโต เพื่อให้พร้อมที่จะสร้างปัญญา หมายความว่า พยายามจรรโลงไอคิวให้เกิดโดยทุกวิถีทาง