สุขภาพและการบำบัด
สดศรี สุริยะฉาย
ความฝันจบเมื่อได้เวลาตื่น

ผู้เขียนฝันว่าหลังจากท่องเที่ยวและกำลังแพ๊ครูปซิปกระเป๋าเดินทางเป็นอันว่าจบทริปแล้ว ก็ได้เวลาตื่นพอดี ได้ยินเสียงแมวร้องปลุกเหมียวๆ ตรงเวลาทุกวัน หลังจากเปิดทูน่ากระป๋องห่อด้วยสาหร่ายทะเลเป็นซูชิใส่ปากให้เขากินเรียร้อยแล้ว เขาก็ไปนอนต่อ เราก็ลงไปเดินรับแดดแรกยามเช้า ระหว่างนั้นก็คือคำนึงถึงว่าทำไมความฝันถึงจบเรื่องพอดีกับเวลาตื่น สมองหรือในความฝัน ต้องรู้เวลา หรือมีอะไรที่ผูกเรื่องให้ฝันจบเมื่อได้เวลาตื่น แถมตรงตามเวลาที่เคยตื่นเป็นประจำ แม้แต่เจ้าแมวเหมียวที่ไม่ได้ใส่นาฬิกา ก็ปลุกเราตามเวลาตรงกันทุกวัน ไม่ว่าคนเราจะย้อนนาฬิกาหรือหมุนนาฬิกาเร็วขึ้นหนึ่งชั่วโมงตามฤดูกาล เขาก็ยังปลุกเราตามเวลาอยู่ดี เพราะเขาหิวตามเวลาที่เคยกิน ก็เลยมาคิดถึงระบบประสาท ว่าทำงานตรงเวลา ไม่ว่านาฬิกาจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ระบบจิตระบบร่างกายก็ไม่เปลี่ยนตามนาฬิกา นั่นคือระบบสมองควบคุมระบบร่างกาย ความคุมความคิด และคิดไปถึงการทำสมาธิ ว่าสามารถถึงจุดที่สมองเกิดความว่าง ในขณะที่มีสมาธิถึงจุดอะไรคือการทำงานของสมองในขณะเป็นสมาธิ เพื่อถามถึงพระอาจารย์ไพบูลย์ นิสัยสุตานุยุติ ที่นำสมาธิและส่งดวงแก้วมาให้ผู้เขียนทางสมาธิ นั่นคือ ในภาวะจิตมีความว่าง สามารถส่งความคิดไปสู่อีกบุคคลหนึ่งได้ เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ครั้งเดียวในชีวิตของผู้เขียนที่เพื่อนถามว่า ท่านพระอาจารย์ไพบูลย์ส่งดวงแก้วมาให้ผู้เขียนรับทางสมาธิอย่างไร สมัยนั้น เข้าใจว่า 4-5 ปีมาแล้ว ท่านมาพักที่วัดไทยลอสแองเจลิส เทื่อสอนการสมาธิ ผู้เขียนก็ไปเรียน เอาอาหารไปเลี้ยงแมวที่อยู่แถวๆตึกกรรมฐานด้วย และตอนนั้นมีช่างก่อสร้างประดับพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 9 ที่ปะรำพิธี เมื่อเสร็จงาน ผู้เขียนขอพระบรมฉายาลักษณ์ เขาเห็นเรามีเมตตาต่อสัตว์ เขาก็มีเมตตาต่อผู้เขียนให้พระบรมฉายาลักษณ์เต็มพระองค์ประดับด้วยภูษิตาภรณ์เต็มพระยศสง่างามมาก สายพระเนตรมีพระเมตตาเป็นเนืองนิตย์ เมื่อดูภาพของท่าน ได้เห็นท่านอันเป็นที่เคารพรักบูชาอยู่เสมอ ยังจำได้ว่า วันหนึ่งพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์ของท่านที่เสด็จเป็นประจำทุกปีที่จุฬาลงกรมหาวิทยาลัย ปีนั้นมีความทรงจำพิเศษตรงที่ว่าตัวเองสะดุดส้นสูงเมื่อยกเท้าถวายสายบัว ส้นแหลมไปติดกับขอบเสื้อครุยปริญญา เกิดเสียหลักเซเล็กน้อยไม่ถึงกับล้ม แต่กระนั้นคนในห้องประชุมก็ได้เฮ เมื่อถึงเวลาพระราชทานกระแสพระราชดำรัสให้กับผู้รับประสาทปริญญาบัตรในห้องประชุม ในหลวงท่านไม่ลืมที่จะสอนคนในห้องประชุม ท่านตรัสว่า ในโอกาสเช่นนั้นไม่ควรหัวเราะ เท่านั้นแหละทั้งห้องประชุมเงียบกริบไปเลย ท่านไม่ทรงลืม แม้จะทรงทำงานตลอดเวลาในการยื่นพระหัตถ์นับพันครั้งในการมอบปริญญาบัตร นั่นคือความทรงจำที่ในหลวงรัชกาลนั้นประทับใจผู้เขียน ทุกครั้งที่มองพระพักตร์ในพระบรมฉายาลักษณ์

การทำงานขอบระบบประสาทนั้นลึกซึ้งเกินความเข้าใจ ประการหนึ่ง เช่นว่าพระอาจารย์ไพบูลย์สามารถส่งดวงแก้วในภาวะสมาธิจิตมายังผู้เขียนได้ วันที่เรียนสมาธิ ผู้เขียนจะนอนที่ตึกกรรมฐาน เพราะท่านเรียกเข้าฝึกสมาธิตอนตีสี่ เมื่อท่านบอกว่าจะส่งดวงแก้วสีทองมาให้ผู้เขียนทางสมาธิ รับให้ได้นะโยม แล้วก็สวดมนต์ก่อนสมาธิ เมื่อจบสมาธิ ท่านถามว่า เป็นไง ผู้เขียนก็ตอบว่า ดวงตาข้างขวาปรากฏเห็นดวงแก้วสีเงินมีประกายพุ่งขึ้นสูง ดวงตาข้างซ้ายปรากฏดวงแก้วสีทองมีประกายระยิบระยับพุ่งขึ้นสูง และตรงกลางหว่างตา ปรากฏองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระดำเนินอยู่ พระหัตถ์เคลื่อนไหวตามจังหวะ ชายพระจีวรโบกพลิ้วตามสายลม เมื่อเสร็จสิ้นสมาธิ เล่าให้ท่านฟังตามที่ปรากฎเห็นในสมาธิ ท่านก็เพียงพูดว่าใช้ได้ การที่เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยนั้น เพราะว่าเป็นเวลาที่ท่านเสด็จโปรดมนุษย์บนโลกนั่นเอง ตามตำนานกล่าวว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จไปโปรดสัตว์ผู้ยากไร้ในนรกยามหนึ่งหรือสามทุ่ม ยามสองหรือสองยามท่านจะเสด็จไปโปรดญาติโยมบนสวรรค์ ยามสามซึ่งเป็นเวลาประมาณตีสี่ ท่านจะเสด็จลงมาบนโลกมนุษย์ จะพูดถึงการทำงานของกระแสจิตอีกเรื่องหนึ่ง กล่าวคือ เมื่อจิตคิดถึงท่านพระอาจารย์ไพบูลย์ได้ 2 วัน ท่านก็โทรศัพท์มาหา บอกว่า ตอนนี้กำลังสร้างวัดอยู่มิชิแกน นั่นคือ ท่านเดินทางมาจากเมืองไทย ไปมิชิแกนเลย ไม่ได้แวะลอสแอนเจลิส ตอนนี้ก็กำลังพยายามส่งกระแสจิตถึงท่านอยู่ ด้วยว่ามีผู้อยากทำบุญสร้างวัดกับท่าน ยังติดต่อท่านไม่ได้ หวังว่าระบบประสาทจะทำงานสำเร็จในหนนี้อีกบ้าง ก็ยังไม่สำเร็จ คงเป็นเพราะว่า ยังไม่ได้ทำสมาธิ เพราะจิตว้าวุ่นกับการเดินขบวนมาหลายวันแล้ว

เรื่องสมาธินั้น มีมนต์ขลังดังบทความตอนหนึ่งที่บังเอิญได้อ่านธรรมะสมสมัย จากท่านหลวงพ่อสไว ชมไกร เขียนว่า บทสวดรัตนปริตร กล่าวถึงสิ่งที่มีค่าดุจแก้วมณีของพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ น่าสนใจที่บทสวดนี้สรรเสริญพระธรรมที่มีค่าดุจอัญมณีคือ “สมาธิ” ในพระสูตรบทนี้จะเห็นได้ว่า “สมาธิรักษาโรคได้” ดังนั้นอย่ากลัว อย่าตื่นตระหนกให้มากเกินไปต่อการคุกคามของโคโรน่า รู้รับผิดชอบต่อตนและต่อสังคม ยอมรับฟังความทุกข์ยากของผู้เดือดร้อน และรู้แนะนำสิ่งที่เป็นทางออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรู้วางใจเป็นกลาง ทั้งฝ่ายที่เป็นปัญหา ทั้งฝ่ายที่หาวิธีแก้ไขร่วมกัน ต้องใจหนักแน่น คือใช้สมาธิรักษาโรค ตามที่พระพุทธเจ้ากระทำสำเร็จมาแล้ว สมัยหนึ่งที่เมืองเวสาลี เมื่อยามเกิดภัยพิบัติและข้าวยากหมากแพง ดุจดังที่ปรากฏในขณะนี้ทั่วอเมริกา

รัตนสูตร กล่าวไว้ดีมาก สามารถป้องกัน และต้านทานจากภัย 3 ประการได้ กล่าวคือ

1.พยาธิภัย โรคระบาดที่เกิดขึ้นได้โดยธรรมชาติ ทั้งคนและสัตว์ต่างเป็นพาหะแพร่เชื้อได้

2.อมนุษย์ภัย สิ่งที่ไม่ใช้มนุษย์ เช่น สัตว์ ภูต ปีศาจ หรืออาจหมายถึงคนเลว

3.ทุพภิกภัย คือภัยแล้ว ข้าวยากหมากแพง หรือมีผู้ฉวยโอกาสกักตุนสินค้า

พระคาถาบทนี้มีใจความว่า

“ขีณัง ปุราณัง นะวัง สัมภะวัง วิรัตตะจิตตายะติเก ภะวิสมิง เต ขีณะพีชา อะวิรุฬหิฉันทา นิพพันติ ธิรา ยะถายัมปะทีโป อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สังเจนะ สุวัตถิ โหตุฯ”

ท่านหลวงพ่อสไว ชมไกร คือเจ้าอาวาสวัดทุ่งเศรษฐี เขียนไว้บทความชื่อ “น้ำมนต์หยุดไวรัสโควิด 19 ได้ไหม”

เห็นที ผู้เขียนจะต้องเริ่มท่องบทพระคาถานี้แล้ว เพราะเริ่มกลัวภัยที่มองไม่เห็น และต้องการให้อมนุษย์เลิกทำลายสัตว์และพืชเสียที