สุขภาพและการบำบัด
สดศรี สุริยะฉาย
พลังแห่งจิต

พลังแห่งจิตต่างกับพลังจิต ตรงที่ว่า พลังแห่งจิตทำงานโดยสมองส่วนหน้า คือส่วนที่ทำหน้าที่ Delicate thinking ส่วนพลังจิตหมายถึงการมีอภิญญาจากการฝึกสมาธิจนแก่กล้า อาทิ หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืด เป็นต้น

ความพยายามอย่างยิ่งยวดจากการฝึกสมาธิจิต คือ การรวบรวมจิตให้นิ่ง แล้วไม่ทำงานหรือคิดอะไรเลย เป็นภาวะว่าง ปกติสมองจะไม่อยู่นิ่ง คือทำงานคิดอยู่ตลอดเวลา เมื่อใดที่ฝึกจิตให้นิ่งแล้วทำจิตให้ว่าง ไม่มีเรื่องอะไรคิดอยู่ในสมองเลย เมื่อนั้นแหละเรียกว่ามีพลังจิต

การเจริญสมาธิจิต สามารถปฏิบัติโดยวิธีการหลายอย่าง มีจุดมุ่งหมายอย่างเดียวกัน คือการรวมความคิดให้ปลอดจากการคิดหรือทำให้ความคิดเป็นจุดว่าง ณ ภาวะนั้น แพทย์อเมริกันชื่อเมเมท ออซ กล่าวว่าการสมาธิช่วยให้เลือดไปเลี้ยงสมองมากกว่าปกติ คงเป็นภาวะที่สมองไม่ใช้งานเซลล์สมองให้ทำงานคิดอะไรนั่นเอง เลยมีเซลล์โลหิตมาก

การเจริญสมาธิโดยวิธีติดตามลมหายใจเข้า ผ่านไปถึงที่อวัยวะใดก็เรียกว่าให้พิจารณา ณ จุดนั้น ว่าไม่มีอะไรเป็นแก่นสารไม่ยั่งยืน อย่าไปยึดติด ตามหลักของพระอาจารย์หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ถ่ายทอดสอนโดยอาจารย์วศิน สอนประสิทธิ์ ที่วัดศรีลังกา มีอยู่เจ็ดตำแหน่ง คือ(1)ปลายจมูก (2)หัวตา (3)สมองส่วนหน้า (4)สมองส่วนกลาง(5)โคนลิ้นหรือเพดานปาก (6)กลางลำคอ (7)สู่จุดโซล่าร์เพล็คซัส (Solar Plexus) หรือศูนย์รวมพลังภายใน รวมเป็นเจ็ดจุด จากนั้นพิจารณาตามลมหายใจออกทั้งเจ็ดจุด

การฝึกสมาธิโดยวิธีนี้ อาจารย์ปรเมศวร์ ทิพยจันทร์ ผู้อุตสาหะขับรถจากซานฟรานซิสโก มาสอนที่วัดไทยลอสแองเจลิส เป็นผู้นำการพิจารณาตามลมหายใจเข้าออกทั้งหมด เพื่อนที่นั่งติดกับผู้เขียนถึงภาวะจิตว่างเช่นเดียวกัน เมื่อจบวาระของสมาธิ เพื่อนถามว่ากรนหรือเปล่า เราไม่ได้หลับไม่ได้ฝันไม่ได้กรน คือเสมือนหลับไป ณ จุดที่สมาธิเข้าถึงฌาน เป็นภาวะจิตว่าง เป็นพลังแห่งจิต คือ จิตไม่ทำงานหรือคิดอะไรเลย การปฏิบัติสมาธิเป็นเช่นนี้เอง คือพักสมองให้เลือดมีโอกาสได้ซ่อมแซมเซลล์สมองเสียบ้าง หลังจากทำงานมากมายแล้ว การทำสมาธิช่วยให้เด็กเรียนเก่งช่วยให้มีความจำดีขึ้น ถ้าฝึกเด็กๆ แต่เล็ก

เมื่อผู้เขียนฝันไม่ดี เพื่อนแนะนำให้ไปปรึกษาท่านพระครูไพบูลย์ นิสัยสุตานุยุต ท่านมาจากพระอารามหลวงที่จังหวัดนครสวรรค์ ที่วัดของท่านดูแลเณร 400 รูป ท่านฝึกปฏิบัติสมาธิกรรมฐานในป่ามามากทีเดียว เมื่อท่านนำผู้เขียนเข้าสมาธินั้น ท่านสามารถส่งดวงแก้วมาให้ผู้เขียนทางสมาธิจิตได้ ผู้เขียนซึ่งเป็นคนธรรมดา ไม่ได้แก่กล้าวิชาสมาธิอันใด สามารถเห็นดวงแก้วพร้อมทั้งแสงประกาย สีทองปรากฏที่ตาข้างซ้าย สีเงินปรากฏที่ตาข้างขวา ที่ท่านเรียกว่าได้เห็นแสง ฉัพพัณรังสี แล้ว ใช้ได้ นอกจากนั้นยังได้เห็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ จุดหว่างตาทั้งสอง ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ ผู้เขียนอยากเรียกว่าเป็นพลังแห่งจิต ณ จุดที่จิตเป็นสมาธิ คือไม่คิดอะไร เป็นภาวะจิตว่าง การเห็นคือเป็นการทำงานของจิต ไม่ใช่การนึกฝันเอาเองว่า ต้องการจะเห็น ซึ่งขอแนะนำให้ท่านผู้อ่านลองฝึกดู ข้อดีคือได้รู้จักคำว่า นิมิต นั้นเป็นอย่างนี้เอง ข้อเสียคือ คนที่ดูแลวัดหรือดูแลห้องสำหรับกรรมฐาน บางทีก็ดุไม่เข้าเรื่อง จนไม่อยากไปเห็นหน้าอีก

พลังแห่งจิตนำมาให้ใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่นำมาอวดอ้าง มิฉะนั้นจะสูญเสียพลังนั้นไป ไม่ใช่ว่าเกิดมาแล้วจะดี จะมี เหมือนกันทุกคน แล้วแต่ว่าใครจะมี จิตสะอาดพอจนสร้างพลังในตัวของจิตเองได้ เขาถึงมีกรรมบถสิบประการ เพื่อให้รักษาจิตให้บริสุทธิ์ ดังนี้

1. ไม่ทำร้าย ทรมาน หรือฆ่าสัตว์มีชีวิต

2. ไม่ลักขโมย อยากได้สิ่งของผู้อื่นที่เขามิได้ยกให้ (หรือคอรัปชั่น)

3. ไม่ผิดทางเพศหรือล่วงละเมิดสิทธิส่วนตัวของผู้อื่น

4. ไม่เสพสิ่งที่แปรสภาพ เช่นสุรา หรือยาเสพย์ติด

5. ไม่โกหก เพ้อเจ้อ เหลวไหล

6. ไม่ใช้ภาษาหยาบให้สะเทือนใจ หรือทำร้ายจิตใจผู้อื่น

7. ไม่ประพฤติตนทำลายมิตรภาพผู้อื่น

8. ไม่โอ้อวด อุตริ หรือทำตนผิดวิสัยผู้ดี

9. ไม่คิดประทุษร้ายใคร ไม่อาฆาตทำร้ายผู้อื่น

10. เชื่อพระพุทธเจ้าและปฏิบัติตามคำสอนของท่านด้วยดี

ผู้อ่านอาจถามว่า มีประโยชน์อะไรที่จะมีจิตบริสุทธิ์ ฉันก็รวยอย่างนี้แล้ว ไม่เห็นต้องลำบากอะไรเลย คำตอบคือ มีสักครั้งไหมที่ท่านรู้สึกมีอะไรมาดลสมองหรือดลใจให้คิด ให้ไปทางนั้น ให้ทำอย่างนั้น หรือไม่ให้คบคนนั้น สิ่งเหล่านี้หาคำตอบไม่ได้ นั้นแหละคือพลังแห่งจิตบริสุทธิ์

ท่านเคยป่วยไข้เจ็บโน่นปวดนี่โดยหาวิธีรักษาไม่ได้หรือไม่ ลองรักษาจิตของตัวเอง ให้บริสุทธิ์ดูบ้าง แล้วจะได้วิธีรักษา เริ่มจากจิตบริสุทธิ์นี่แหละ ที่ร่างกายจะเป็นปกติเอง

เมื่อทนายฝ่ายผู้เสียหายถามผู้เขียนประโยคหนึ่งว่า รู้ได้อย่างไรว่า การเจ็บปวดของท่านมาจากการที่ผู้เสียหายกระทำต่อท่าน ผู้เขียนตอบว่าฉันไม่เคยเจ็บ ไม่เคยป่วย ไม่เคยผ่าตัด จนกระทั่งได้รับการเจ็บปวดที่ผู้เสียหายก่อขึ้นกับฉัน นี่คือประโยคที่ยุติการปฏิเสธความรับผิดชอบทั้งมวลที่เขาพยายามเลี่ยง เป็นตัวอย่างของการทำงานของพลังแห่งจิต ที่ทำงานดีกว่าทนาย เพราะยุติข้อโต้แย้งได้ทุกกรณี

ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้ตั้งใจสอนอะไรทั้งสิ้น ผู้เขียนเองสอนมามากพอและไม่ชอบฟังพระบางรูปหรือคนบางคนสอน แต่ที่ต้องการให้เราฉุกคิดถึงการทำงานของจิตบ้าง เพราะเราอาจจะต้องพึ่งพลังแห่งจิตเมื่อเข้าสู่ที่คับขัน คงจะเห็นข่าวบางครั้งรถตกน้ำเปิดประตูหน้าต่างออกไม่ได้ หรือรถโดนชนท้ายแฉลบไปอยู่ในทางรถที่สวนมาหรือคนจมอยู่ในหิมะจะรอดด้วยการกินหิมะจนกว่าคนจะมาช่วยชีวิตได้ แม้แต่สุนัขที่เดินเข้าไปในประตูโรงพยาบาลที่เจ้าของมันเพิ่งเข้ามาอยู่ได้สำเร็จ เพราะมันอยู่ในรถ ตอนเขาขับมาส่งเจ้าของนั้น และประตูเปิดอัตโนมัติให้มันเข้าไปเองได้ ปัญหาคือคนพอจะมีปัญญาที่จะรู้บ้างไหมว่า เจ้าของอยู่ห้องไหน พลังแห่งจิตนี่แหละ ที่ทำงานชี้แนะว่าใครคือเจ้าของหมาตัวนั้น ไม่ใช่เรียกคนมาจับหมาไป เพราะขาดพลังแห่งจิต

เรื่องนี้พอจะเป็นอุทาหรณ์แห่งความแตกต่างระหว่างพลังแห่งจิต และพลังจิต ได้พอสมควร ว่างๆ ผู้อ่านลองวินิจฉัยสองความหมายนี้ดู เมื่อลึกซึ้งดีแล้ว จะรู้ว่า ชีวิตนี้มีความหมายมาก เพราะสามารถใช้จิตทำงานยามที่ตัวเองไม่ได้คิด