สุขภาพและการบำบัด
สดศรี สุริยะฉาย
รายงานการค้นคว้าที่น่าสนใจ ตอนที่ 1

จากเรื่องน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ ที่อยู่ในตัวเซลล์ของเราทุกคน เมื่อวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ประสบความสำเร็จมาถึงขั้นที่เราสามารถสเปรย์โกรทฮอร์โมนที่ใต้ลิ้น และมันจะไปกระตุ้นการมีน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ในเซลล์ของตัวเองได้แล้ว ก็มีคำถามมามากมายว่ามันจะมีอันตรายข้างเคียงอะไรหรือเปล่า ผู้เขียนจึงขอรายงานการค้นคว้าทางแพทย์มาเล่าสู่กันฟังถึงเรื่องต่างๆ ที่จะตอบข้อสงสัยของพวกเรา


มะเร็ง

การบำบัดแผนใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบำบัดด้วยฮอร์โมนแบบใหม่ใดๆ ก็ตาม ความหวาดหวั่นก็คือการเป็นมะเร็ง การค้นคว้าสมัยก่อนบนจานแก้วเป็นการค้นคว้านอกร่างกาย แสดงว่าการเพิ่มโกรทฮอร์โมนอาจส่งเสริมการเพิ่มเซลล์มะเร็ง แต่การค้นคว้าหลังจากนั้นได้พิสูจน์แล้วว่าความหวั่นกลัวนั้นไม่มีมูลฐานความจริง

การค้นคว้าโดยด็อกเตอร์ ดี. บาท์ทเลทท์และคณะใช้โกรทฮอร์โมนกับหนูที่ก้อนเนื้องอก พบว่าฮอร์โมนไม่ได้ขยายขนาดของเนื้อร้ายหรือทำให้มะเร็งลุกลาม แต่กลับปรากฏว่าฮอร์โมนทำให้ลดการโตของก้อนเนื้องอก การศึกษาแบบเดียวกันที่มหาวิทยาลัยแพทย์เพนซิลเวเนีย ก็แสดงว่าโกรทฮอร์โมนของมนุษย์ไม่ได้ก่อให้เกิดการเติบโตของเนื้องอก การทดลองที่ฝรั่งเศสกระทำกับคนป่วย 5,546 รายเป็นระยะเวลา 31 ปี (จากปี 1959-ปี 1990) พบว่าโกรทฮอร์โมนของมนุษย์ไม่ก่อให้เกิดขยายตัวของหลายโรค เช่น ลูคีเมีย (ขาดเม็ดเลือดขาว) ลิมโฟมา (มะเร็งต่อมน้ำเหลือง) หรือมะเร็ง (malignant) การศึกษาที่ญี่ปุ่นพบว่า “คนป่วยเป็นมะเร็งที่ได้รับโกรทฮอร์โมนมีการเติบโตของเซลล์เป็นปกติ ไม่ว่าจะให้ในอัตราเท่าใด”

การศึกษาอีกแห่งหนึ่งรายงานเมื่อเดือนเมษายนปี 1985 ในนิตยสาร American Journal of Disease of Children โดย เอส.เอ. อาร์สเลเนียน ที่กระทำกับเด็กคนไข้ 34 คนที่ป่วยเป็นเนื้องอกที่สมอง 94 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยมีปริมาณโกรทฮอร์โมนต่ำสืบเนื่องมาจากการบำบัดมะเร็งที่ไม่รวมการฉายแสง และครึ่งหนึ่งในจำนวนนี้ได้รับโกรทฮอร์โมนเพื่อการพักฟื้น ผู้ป่วยที่ได้รับโกรทฮอร์โมนนี้ไม่ปรากฏว่าเกิดเนื้องอกขึ้นอีก ทำให้นักค้นคว้าสรุปผลว่า โกรทฮอร์โมนของมนุษย์ไม่ก่อให้เกิดการขยายตัวของเนื้อร้ายหรือกลับมาใหม่อีก

การวัดผลที่เที่ยงตรงที่สุดน่าจะมาจากการให้โกรทฮอร์โมนบำบัดและการสัมพันธ์กับมะเร็งที่รายงานโดยด็อกเตอร์ อี. มาร์ติน ริทเซ่น แห่งโรงพยาบาลคาโรลินสกา ที่สวีเดน เพื่อการศึกษาว่าโกรทฮอร์โมนของมนุษย์จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการขยายตัวของมะเร็งหรือไม่ เขารายงานว่า “ระหว่างการบำบัดด้วยโกรทฮอร์โมนกับคนไข้ประมาณ 150,000 รายเป็นระยะเวลาตั้งแต่ 1988-1992 ปรากฏการณ์ของการเติบโตมะเร็งเป็นไปตามเดิมหรือน้อยลงกว่าผู้ป่วยทั่วไป”

การศึกษารายแล้วรายเล่า รวมทั้งการทดลองกระทำที่สถาบันปาล์มสปริงไลฟ์เอกซเทนชั่น ผู้ค้นคว้ารายงานสรุปว่าการบำบัดด้วยโกรทฮอร์โมนไม่ได้มีส่วนในการทำให้มะเร็งหรือก้อนเนื้อร้ายขยายตัว แต่แท้ที่จริง การทดลองหลายรายแสดงผลว่าการบำบัดด้วยโกรทฮอร์โมนมนุษย์กลับให้ประโยชน์ต่อการรักษาผู้ป่วยด้วยมะเร็ง

เซลล์มะเร็งอาจเกิดขึ้นกับคนสุขภาพดีได้ทุกวัน แต่ปกติแล้ว ภูมิต้านทานของเราจะทำลายมันเสียก่อนที่มันจะทำอันตรายเราได้ คุณไม่สามารถพูดถึงมะเร็งโดยไม่พูดถึงระบบต้านทานที่มีอยู่ และโกรทฮอร์โมนช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มต้านทานให้แข็งแรงขึ้น อย่างไรก็ดี การป้องกันยังเป็นนโยบายที่ดี และโกรทฮอร์โมนทำหน้าที่เสริมภูมิต้านทานสามารถป้องกันการลุกลามมิให้แผ่ขยายเป็นปัญหามากขึ้น

โกรทฮอร์โมนมนุษย์สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาคนที่มีมะเร็ง ระหว่างนี้ไม่มีการค้นคว้าที่ระบุว่าโกรทฮอร์โมนมนุษย์ช่วยต่อสู้มะเร็งโดยตรง แต่เราก็รู้ดีว่าการบำบัดด้วยโกรทฮอร์โมน ทำให้ระบบต่างๆ ทั่วร่างกายและอวัยวะต่างๆ แข็งแรงขึ้น การทดลองกับสัตว์ 2 กลุ่ม ได้แสดงว่าโกรทฮอร์โมนทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นระหว่างการบำบัด การแข็งแรงนี้หมายความถึงการมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าสำหรับคนที่ป่วยเป็นมะเร็ง โดยเฉพาะสำหรับคนที่ไม่ได้รับอาหารเพียงพอ เนื่องจากโรคนี้

การตั้งข้อสมมุติฐานว่าโกรทฮอร์โมนจะทำให้มะเร็งขยายตัวในรายที่มีมะเร็งอยู่แล้ว ได้เป็นที่วิตกของหลายสาขาจนบัดนี้ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการทดลองโดยสถาบันปาล์มสปริงไลฟ์เอกซเทนชั่น หรือสถาบันส่งเสริมการมีอายุยืนที่ปาล์มสปริง ที่ให้คนไข้วัดผลการปรับปรุงสุขภาพและความเป็นอยู่ของตนเอง สถาบันได้ส่งใบสอบถามไปยังคนไข้ 1,000 ราย ประกอบด้วยคำถามต่อไปนี้

1.คุณเป็นมะเร็งหรือเปล่า ไม่ว่าชนิดใด ก่อนเริ่มการศึกษาทดลอง

2.คุณเคยได้รับการตรวจพบมะเร็ง ตั้งแต่เริ่มใช้โกรทฮอร์โมนบำบัดหรือเปล่า

3.ถ้าคำตอบว่าใช่ สำหรับคำถามข้างต้น 2 คำถาม โปรดระบุชนิดของมะเร็งนั้น

คนไข้ส่วนใหญ่จาก 1,000 รายนี้อายุอยู่ระหว่าง 40-70 ปี ผู้ชายอายุน้อยที่สุดและผู้หญิงอายุน้อยที่สุดคือ 27 ปี ที่อายุมากที่สุดคือชาย 82 ปี หญิง 78 ปี

จากคนไข้ 1,000 คน 7 เปอร์เซ็นต์หรือ 29 คน รับว่ามีมะเร็งบางชนิดก่อนที่จะเข้ารับการบำบัดด้วยโกรทฮอร์โมน (โปรดคำนึงว่าเรามิได้ถือว่าการบำบัดด้วยโกรทฮอร์โมนเป็นทางเลือกในการบำบัดโรคมะเร็ง ถึงแม้ว่าตามความจริงแล้ว โกรทฮอร์โมนอาจใช้ในการบำบัดควบคู่ไปกับการบำบัดอื่นในอนาคตอันใกล้นี้ เพราะมันจะช่วยส่งเสริมภูมิต้านทานให้แข็งแรงขึ้น)

คนไข้ที่ได้รับโกรทฮอร์โมนเป็นเวลา 6 เดือนหรือนานกว่า (ถัวเฉลี่ย 8 เดือน) มี 4 ราย (ประมาณ 0.97 เปอร์เซ็นต์) ที่เริ่มมีมะเร็งเกิดขึ้น จาก 4 คนที่ได้รับโกรทฮอร์โมนนี้จำนวน 2 คนเป็นมะเร็งผิวหนังระยะที่ 2 และทั้ง 2 คนนี้มีอัตราการออกแดดสูง (ถูกแสงอุลตร้าไวโอเลต)

คนที่ 3 เป็นมะเร็งที่ต่อมทอนซิล และคนที่ 4 เป็นมะเร็งที่น้ำเหลือง ซึ่งเธอเริ่มเป็นหลังจากรับการบำบัดด้วยโกรทฮอร์โมน เราไม่คิดว่าจะมีใครสามารถกล่าวได้แน่นอนว่า ต้นเหตุของมะเร็งเนื่องมาจากหรือเป็นเพราะการใช้โกรทฮอร์โมน เพราะว่าระยะเวลาอันสั้นที่เธอใช้โกรทฮอร์โมนแล้วเธอเริ่มมีมะเร็ง มะเร็งที่น้ำเหลืองเป็นมะเร็งชนิดเดียวกับมะเร็งของไขกระดูก และไม่น่าจะเป็นไปได้ที่การใช้โกรทฮอร์โมนเพียงหนึ่งเดือนจะสร้างความเปลี่ยนแปลงของไขกระดูก มะเร็งไขกระดูกใช้เวลา 3 เดือนก่อนที่จะเข้าสู่ระบบการหมุนเวียนโลหิต ถ้าคุณพิจารณาการก่อตัวของมะเร็งที่น้ำเหลืองในจำนวนคนไข้ 1,000 ราย เราไม่คิดว่าคุณจะสรุปว่าโกรทฮอร์โมนมีความสัมพันธ์กับมะเร็งน้ำเหลือง

เราไม่คิดว่ามีหลักฐานบ่งว่าการใช้โกรทฮอร์โมนจะก่อให้เกิดมะเร็ง แต่เราเชื่อว่าการที่เซลล์ทั่วไปมีความแข็งแรง รวมทั้งอวัยวะระบบต่างๆ และภูมต้านทานดีขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการที่โกรทฮอร์โมนส่งเสริมอยู่จะช่วยลดอัตรามะเร็งลงได้ ถ้าอัตราโกรทฮอร์โมนสูงก่อให้เกิดมะเร็งมากขึ้น เราคงเห็นคนรุ่นเยาว์ป่วยเป็นมะเร็งเป็นจำนวนมาก และเป็นมะเร็งน้อยลงเมื่ออายุมากๆ นี่คือสิ่งตรงข้ามกับความเป็นจริงทุกวันนี้