สุขภาพและการบำบัด
สดศรี สุริยะฉาย
เอกลักษณ์แห่งชีวิต

ชีวิตประกอบด้วยกลุ่มเซลล์ เรียกว่า quark ทำหน้าที่สื่อสารกันด้วยฮอร์โมนผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ระหว่างเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่ง แล้วติดต่อกันเป็นสิบระบบ ที่จะทำงานกับประสาทความรู้สึกนึกคิด การเคลื่อนไหว การย่อยอาหาร การดูดซึมอาหารเข้าระบบโลหิต การขับถ่าย และระบบแห่งความคิดที่เกิดมาจากจิตวิญญาณที่จะเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละชีวิต พืชก็มีเอกลักษณ์ของดอก ใบและผลของมันเองที่จะให้สารต่างกันไปต่อชีวิตอื่นๆ นั่นคือเอกลักษณ์แล้วแต่ชนิดของพืช สัตว์แต่ละชนิดก็คิดและแสดงออกไม่เหมือนกัน คนก็มีปัญญาต่างกันแสดงออกที่การกระทำ บทความนี้ ออกจะกว้างที่จะรวมเอาลักษณะของชีวิตมารวมกันไว้ได้หมด หรือที่รวบรวมมาเกือบ 80 ปี ยกตัวอย่างง่ายๆ เคยเห็นในข่าวเร็วนี้ไหม ทีสุนัขวิ่งออกนำหน้าและเห่าให้รถที่สัญจรไปมาหยุดก่อนเพื่อให้เด็กๆ เรียงแถวกันข้ามถนนได้อย่างปลอดภัย นั่นคือเอกลักษณ์ของสุนัขตัวหนึ่ง ที่มีความสามารถพิเศษในการคิดปกป้องและช่วยเหลือเด็กๆ ให้ข้ามถนนอย่างปลอดภัยทันทีที่เห็น เด็กเล็กๆเข้าแถวกันยาวเหยียด มีครูนำ หมาก็รู้แล้วว่าต้องเห่าส่งสัญญาณให้รถทั้งสองฟากถนนหยุด เพราะหมาเห่าเสียงดังกว่าครู อีกข่าวสัปดาห์ที่แล้วที่ตำรวจหญิงช่วยพาคนข้ามถนนแล้วเดินกลับถูกรถยนต์ชนตาย หรือเคยเห็นนิสัยของผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่ภายใต้การกำกับของสตรีในบ้านไหม เอกลักษณ์แห่งชีวิตของเขาก็คือเที่ยวทำลายพืช สิ่งของ และความสงบสุขของผู้อื่นเป็นการระบายความกดดันในอารมณ์ เนื่องจากสติปัญญาคือเอกลักษณ์ของผู้ที่อยู่ภายใต้การข่มขู่จะแสดงออกตรงกันข้าม หรือพืชที่พยายามไต่เถาเลื้อยไปสู่แสงแดดก็เป็นเอกลักษณ์ของพืชที่จะสามารถดำรงชีวิตให้สมบูรณ์ในการสร้างสารเพื่อการเติบโต เมื่อเจออะไรที่พอจะช่วยยึดเถาให้มั่นคงอยู่ได้ พืชก็จะเกี่ยวกับสิ่งนั้นเป็นเอกลักษณ์ของชีวิตพืช เอกลักษณ์ของบุคคลที่น่าสนใจอย่างยิ่งก็คือ เรื่องราวของนายแพทย์อารีย์ วชิรมโน กับประสบการณ์รักษามะเร็งให้หายขาดด้วยตัวเอง สัมภาษณ์โดยคุณวันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ คุณหมอเป็นแพทย์ผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ จบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและสอนอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 30 ปี และจบจากมหาวิทยาลัยที่มอสโคด้วย เมื่อรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากระยะสุดท้ายก็เดินทางกลับเมืองไทย ใช้ชีวิตใหม่ที่สกลนคร ในระย 3 เดือน สามารถลดค่ามะเร็งจาก 571 เหลือแค่ 7 ซึ่งน่าสนใจที่จะเล่าสู่กันฟังในปรัชญาแห่งความคิดและชีวิตของท่าน

1.คนเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายส่วนใหญ่จิตใจจะห่อเหี่ยวและสิ้นหวัง การรักษามะเร็งนั้นจิตใจสำคัญที่สุด ต้องให้ผู้ป่วยระเร็งมีความหวังที่จะมีชีวิต่อไป

2.อาหารการกิน ที่ต้องลดคือแป้งขัดขาว น้ำตาล ของหวาน เพราะข้าวขาวย่อยเป็นน้ำตาลได้เร็วมาก หากใช้ไม่หมดมันจะถูกส่งไปเก็บไว้ในตับหรือในกล้ามเนื้อ เวลาร่างกายต้องการจะดึงกลับมาใช้อีก ตับจะเปลี่ยนน้ำตาลเป็นโปรตีนและไขมัน เวลากินของหวานหรือข้าวขาว ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นกลูโคสมาเลี้ยงสมองได้เร็วมาก สดชื่นได้เร็วมาก ระดับน้ำตาลขึ้นปรู๊ด พอน้ำตาลในเลือดมาก สมองจะกระตุ้นให้ขับอินซูลินออกมาเพื่อเผาผลาญน้ำตาลที่กินเข้าไปให้เป็นพลังงาน วิตามินที่จะมาช่วยเผาผลาญคือวิตามินบีคอมเพล็กซ์ แต่ข้าวขาวที่กินเข้าไปไม่มีวิตามินบีเพราะขัดออกหมดแล้ว ฉะนั้นต้องดึงวิตามินในร่างกายออกมาเผาผลาญ ร่างกายก็ขาดวิตามินบี ทำให้ระบบประสาทเกิดเหน็บชา และตับอ่อนทำงานหนักที่สุด เมื่อกลูโคสขึ้น ไฮโปทาลามัสใต้สมองสั่งให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินมากขึ้นเพื่อเผาผลาญน้ำตาลให้ลดลง แป๊บเดียวน้ำตาลลดฮวบเลย พวกกินข้าวขาวหรือของหวานจะหิวไม่หยุด ยิ่งกินน้ำตาลเท่าไหร่ตับอ่อนยิ่งทำงานหนัก ตอนน้ำตาลลดจะอารมณ์ไม่ดี หงุดหงิด แป๊บเดียวอารมณ์เสียแล้ว เหมือนที่โบราณเขาพูดว่า อยากให้หมาดู ให้กินของหวาน ช่วงที่มันกินของหวานจะอารมณ์ดีแจ่มใส พอแป๊บเดียวมันหิวแล้ว ระวังให้ดี มันจะกัดได้ คนก็เหมือนกันเลย ที่อเมริกาไม่รู้คุกไหน หลายปีมาแล้ว เขาแบ่งนักโทษฉกรรจ์เป็น 2 พวก พวกหนึ่งให้หยุดกินของหวานหมดเลย กินแต่ขนมปังโฮลวีท อีกพวกหนึ่งให้กินแต่ของหวานปรากฎว่า ภายในอาทิตย์เดียว พวกแรกนิสัยใจคอเย็นลง ส่วนพวกหลังฆ่ากันเองตายหลายศพ

โซเดียมคอลไรด์หรือเกลือต้องลดลงให้มาก ในร่างกายเราประกอบด้วยโซเดียมสูงมากอยู่แล้ว แต่ถ้าเรากินเข้าไปมาก พอมันเข้าไปในกระแสเลือดมาก มันจะดูดน้ำในตัวเรา สังเกตพวกกินเค็ม หรือไตไม่ดี เท้าจะบวม เกลือมันจะทำให้เลือดเราเป็นกรด คนที่สุขภาพดีเลือดจะเป็นด่างนิดหน่อย แต่ถ้ากินเค็มเข้าไป เลือดจะเป็นกรด ภูมิต้านทานจะไม่มี เพราะกินเกลือเข้าไป จะไปขับโปแตสเซี่ยม ทำให้เลือดไม่เป็นด่าง นอกจากลดกรดแล้ว ให้เพิ่มโปแตสเซี่ยมเข้าไปในร่างกายเพื่อให้เลือดเป็นด่าง

เนื่องจากคนที่เป็นมะเร็งจะเครียด พอเครียดร่างกายจะเกิดกรด จะมีคาร์บอนสูงมาก เราจึงให้กินน้ำต้มผักซึ่งมีโปแตสเซี่ยมสูงที่สุด ที่เราเจ็บ ร่างกายอ่อนเพลีย เพราะเราขาดโปแตสเซี่ยม ถ้าตัวใดตัวหนึ่งมากก็ไม่ดี ต้องดูผลเลือด การแก้เลือดเป็นกรด แก้ได้สองอย่าง กินพืชผักผลไม้ให้มากๆ เพื่อเพิ่มโปแตสเซี่ยม

3.อีกอย่างคือหายใจเอาออกซิเจนเข้ามากๆ เพราะยิ่งออกซิเจนเข้าเลือดมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เลือดเราเป็นด่าง แต่ถ้าเราไม่ฝึกหายใจเอาออกซิเจนเข้าไป เลือดเราก็เป็นกรด เพราะเลือดเราจะมีคาร์บอนไดออกไซด์สูงมาก พวกนี้จะปวดเมื่อยร่างกายมาก เขาถึงให้ฝึกหายใจเพื่อเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป แล้วเอาออกซิเจนเข้ามา มันถึงจะหายปวดเมื่อย มนุษย์อดอาหาร 45-50 วันยังอยู่ได้ อดน้ำได้ 3-5 วัน แต่อากาศหายใจขาดเพียง 8-10 นาทีเท่านั้น อาหารที่สำคัญที่สุดของร่างกายไม่ใช่สารอาหาร แต่เป็นออกซิเจนที่สูดเข้าไป ทำให้เลือดเราเป็นด่าง การที่เราอยู่นิ่งเฉยๆ ไม่ได้ออกกำลังกาย จะมีคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดสูงมาก ทำให้เลือดเป็นกรด มักจะเมื่อยล้า

4.การหยุดขยายก้อนมะเร็ง นอกจากการเลือกกินอาหารผักผลไม้แล้ว ควรกินวิตามินซี ตามหลักของแพทย์องค์รวมเขาบอกว่า วิตามินซีต้องได้อย่างน้อย 20 กรัมต่อวัน ในร่างกายเรามีเซลล์อยู่ประมาณ 75,000 ล้านเซลล์ เซลล์จะมีเยื่อหุ้มที่เรียกว่า cell membrane เป็นเหมือนเสื้อเกราะไม่ไห้มะเร็งเข้ามาทำลายได้ แต่ถ้าเซลล์ไหนเป็นมะเร็งแล้ว เยื่อหุ้มเซลล์จะไม่มี แถมเซลล์มะเร็งจะสร้างเอนไซม์ชนิดหนึ่งไปทำลายเสื้อเกราะของเซลล์อื่น ทำให้กลายเป็นมะเร็งต่อไปเรื่อยๆ แต่พอวิตามินซีเข้าไปในกระแสเลือด มันจะไปทำลายเอนไซม์ตัวนี้ มะเร็งก็ไม่ขยายตัว นอกจากนี้วิตามินซีเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ เป็น antioxidant มันช่วยลดความเครียดลงได้ เมื่อไปทำสแกนดูปรากฏว่า เซลล์มะเร็งลดลงแทบมองไม่เห็นแล้ว สุขภาพก็ดี

5.หากท่านสามารถทำให้จิตของท่านมองโลกในทางบวก หรือ ทำให้จิตของท่านมีสมาธิ ตัวจิตนี้จะไปกระตุ้นต่อมพิจุอิทาริให้หลั่งโกรทฮอร์โมนที่จะซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ กระตุ้นให้อวัยวะต่างๆทำงาน เม็ดเลือดขาวทำงานได้เต็มที่ คือมันเริ่มมาจากจิต เมื่อจิตดี คิดดี ทำดี หรือสามารถทำสมาธิได้ สมองส่วนนี้จะขับฮอร์โมนที่เป็นประโยชน์ออกมาทันที ถ้าจิตมองโลกในแง่ลบ สมองส่วนนี้ จะไปกระตุ้นต่อมหมวกไตให้ผลิตฮอร์โมนที่เกิดจากความเครียด ทำให้ผลิตเม็ดเลือดขาวที่อ่อนแอออกมา แล้วอย่าลืมว่า โกรทฮอร์โมนประกอบไปด้วยกรดอะมิโน 191 ชนิด ไม่ต้องหาซื้อ มันอยู่ที่ตับเราสามารถสังเคราะห์ได้หมด