สุขภาพและการบำบัด
สดศรี สุริยะฉาย
สิ่งที่ให้ชีวิต-สิ่งที่ชีวิตให้

สิ่งที่ควรให้แก่ชีวิต มีอาหาร อากาศ น้ำ และไม่ควรขาดสิ่งจรรโลงชีวิตเรียกว่า สมาธิจิต หรือความรู้สึกสงบแห่งวิญญาณ อาหารแบ่งออกเป็น แป้ง โปรตีน ผัก กับไวตามินหรืออาหารเสริม แป้งคือคาร์โบไฮเดรต ถ้าต้องการเปลี่ยนจากข้าว ก็มีหลายอย่าง เช่น สปาเก็ตตี้ บะหมี่ แพนเค้ก ขนมปัง ข้าวโพด แอปเปิ้ลพาย สารพัดที่กินแทนข้าว คนที่ใกล้เป็นเบาหวานก็เลือกตามชอบที่พอจะเลี่ยงน้ำตาลให้มากที่สุด เห็นพอจะพึ่งสปาเก็ตตี้ได้บ้าง เมื่อวานนี้หาซื้อบะหมี่ไทยในตลาดไม่ได้ มีคนเหมาไปหมดเกลี้ยงตลาด คงเลิกกินข้าว ส่วนโปรตีน ก็เลือกลูกชิ้นปลาแทนลูกชิ้นเนื้อซึ่งเวลาต้มมีไขมันเนื้อออกมาสูงมาก เราต้องการกำจัดโคเลสเตอรอลจากเนื้อสัตว์ ก็สงวนความเคยชินเพื่อสุขภาพไว้ก่อน โปรตีนจากนมก็เลี่ยงเป็นเจลโล่ใส่นมแทน เพื่อความแข็งแรงของกระดูก อาหารอีกอย่างหนึ่ง ที่น่ามีติดไว้ ใส่ได้ทั้งสลัดผัก และปรุงบะหมี่แห้ง เห็นจะเป็นแอปเปิ้ลซอส ซึ่งช่วยป้องกันหัวใจวายเฉียบพลันเนื่องจากเส้นเลือดอุดตันหรือสโตร้ค ช่วยลดมะเร็งลำไส้ใหญ่ ลดโคเลสเตอรอลของเม็ดเลือดเซรั่ม และลดความเสี่ยงเป็นเบาหวาน

น่าคิดว่า นายแพทย์ผ่าตัดหัวใจ ชื่อ Dr.Steven Grundy หันมาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านแนะนำการบริโภค กล่าวว่า คนเรามีความเชื่อผิดอยู่ 5 ประการ เช่น

1.คิดว่าถั่วหรือข้าวช่วยให้อายุยืน ที่แท้แล้วเป็นผลเสียต่อการดำรงชีวิตให้ยืนยาวมากกว่า

2.คิดว่าเนื้อสัตว์ช่วยให้อายุยืน ความจริงเนื้อสัตว์ไม่ได้ช่วยให้อายุยืนยาว เพราะในขณะที่ร่างกายเจริญเติบโต เซลล์มะเร็งก็เจริญเติบโตด้วย อย่างเช่น เพศชายที่มีผลตรวจเลือดแสดงว่ามี IGF-1 หรือฮอร์โมนแห่งการเจริญเติบโต เรียกว่า Insulin-like Growth Factor-1 สูง มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากสูงด้วย

3.คิดว่าปริมาณโคเลสเตอรอลสูงจะมีโรคหัวใจสูงด้วย ไม่เป็นความจริงเสมอไป เพราะโคเลสเตอรอลชนิดดี HDL และโคเลสเตอรอลร้ายคือ LDL เดินทางร่วมกันในไตรกลีเซอไรด์ Triglyceride จึงควรพิจารณาปริมาณ HDL เป็นหลัก

4.คิดว่านมเป็นน้ำที่ดีสำหรับร่างกาย ไม่แน่เสมอไป เพราะนมมี casein ซึ่งดีสำหรับการเจริญเติบโตของลูกวัวมากกว่า มนุษย์ใช้สารนี้ในอุตสาหกรรมเสริมความงาม ในการช่วยให้ผมดก และใช้ในการพอกหน้าเพื่อบำรุงผิวชั้นนอก

5.การเจริญเติบโตของเซลล์ไขมันชนิดดีมีส่วนส่งเสริมการสร้าง microbiome เพื่อการเจริญชีวิต นายแพทย์กรันดี้ บอกว่าคนเราควรกินอาหารระหว่าง 8 นาฬิกา – 6 นาฬิกา

นายแพทย์กรันดี้ แนะนำดังนี้

1.ควรกลับปิรามิดแห่งการบริโภค 5 ชนิด เอาบนลงล่าง กล่าวคือ แป้ง โปรตีน ผัก อาหารเสริม และไวตามิน เป็นว่า ให้ความสำคัญกับอาหารเสริมหรือไวตามินก่อน รองลงมาเป็นพืชผัก ต่อไปคือโปรตีนและท้ายสุดคือแป้ง ดังที่คนไทยเคยกล่าวมานานแล้วว่า กินกับมากๆ กินข้าวแต่พอควร แป้งก็ไม่จำกัดว่าจะเป็นข้าวอย่างเดียว อาจเป็นมันเทศหรือแยม หรือหัวมันอื่นๆ ที่จัดอยู่ในกลุ่มแป้งเช่นเดียวกัน

2.ควรจะให้ร่างกายได้รับคุณค่าอาหารหลากชนิดกันไป เพื่อสร้าง Polyphenols หรือพลังแห่งจีนส์ เพื่อการมีอายุยืนยาว นั่นคือ กินหลายๆอย่างใน 5 กลุ่มนั้น อย่ากินอยู่ชนิดเดียวซ้ำซาก เช่น พืชผัก ก็อาจเป็นเห็ดซึ่งมีส่วนช่วยสร้างเซลล์สมอง เป็นต้น

3.ควรมีสัมพันธภาพดีกับมิตรสหายและครอบครัว เพื่อจรรโลงชีวิตอันมีความสุข

สรุปจากความเห็นทางการแพทย์ ตรงกันว่า สิ่งที่ให้ชีวิตไม่ได้มีกฎเกณฑ์ตายตัว ขอให้พยายามกินและอยู่อย่างสมบูรณ์ด้วยคุณค่า และภาวะทางจิตก็ควรส่งเสริมร่างกายให้มีโอกาสสร้างชีวิต เช่น ส่งเสริมให้มีความสงบทางจิต หรือ ที่เรารู้จักกันว่าภาวะสมาธิจิต ขจัดความคิดให้ร้ายต่อสรรพสัตว์ และพืช หรือบุคคลอื่น

หากเราให้อาหารแก่ชีวิต ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ชีวิตก็จะสร้างสิ่งดีๆให้เราเป็นการตอบแทน เช่นสร้าง Microbiome ป้องกันมิให้เกิดกรดในระบบการย่อยอาหารมากเกิน ส่งผลให้เกิดแผลในระบบลำไส้หรือกรดไหลย้อน การไม่สามารถนอนหลับได้สนิท ส่งผลให้อายุสั้น ที่เราเองอาจไม่รู้ตัว หรือร่างกายเจ็บป่วย ต้องพึ่งยาทางการแพทย์ มีผลข้างเคียงตามมา เช่น ต้องพึ่งยาเรียกว่า water pills เพื่อป้องกันหัวใจวาย เมื่อมีการสะสมน้ำมากเกินเหตุ หรือต้องฉีดอินซูลิน เพื่อลดน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่สมควร หรือต้องฉีดเอสโตรเจนในวัยหลังหมดประจำเดือนเพื่อหลีกเลี่ยงกระดูกเปราะบาง

สิ่งที่เราให้แก่ชีวิต ถ้ามีคุณค่า ก็จะได้รับตอบแทนจากชีวิตอย่างสมคุณค่า เช่นเดียวกัน ไม่เฉพาะแต่เราจะให้แก่ชีวิตเฉพาะอาหาร อากาศ น้ำ ยา และสภาวะจิตอันสงบเท่านั้น จะเป็นการเพียงพอ เราควรรู้ว่าจะบำบัดตนเองอย่างไรด้วย ไม่ต้องมากมายอะไร แค่รู้ว่าการส่งจิตไปสู่ศูนย์รวมแห่งอวัยวะทำได้อย่างไร เริ่มต้นว่าเข้าใจระบบจักระว่าเป็นศูนย์รวมของอวัยวะกลุ่มไหน ยกตัวอย่างเช่น

จักระที่ 1 อยู่ที่บนกระหม่อม ควบคุมระบบสมอง แก้อาการซึมเศร้า

จักระที่ 2 อยู่ระหว่างคิ้ว ควบคุมทั่วร่างกาย ส่งเสริมการรู้เหตุล่วงหน้า

จักระที่ 3 อยู่ที่ท้ายทอย ควบคุมจิตฟุ้งซ่าน แก้การนอนไม่หลับสนิท

จักระที่ 4 อยู่ที่ต้นคอ ควบคุมอารมณ์ ส่งเสริมพลังจิต

จักระที่ 5 อยู่ที่กระดูกบ่า ควบคุมความคิด ส่งเสริมหัวใจ ปอด โลหิต

จักระที่ 6 อยู่ที่หัวใจ ควบคุมภาวะจิต บำบัด และสร้างสภาวะที่ดี

จักระที่ 7 อยู่ที่ปลายซี่โครง ควบคุมพลังกายและใจ ส่งเสริมตับ ไต กระเพาะ ม้าม

จักระที่ 8 อยู่ที่รังไข่ อัณฑะ ไต ควบคุมการหมุนเวียนโลหิต ส่งเสริมการย่อย และสะโพก

จักระที่ 9 อยู่ที่ต้นขา ควบคุมพลังชีวิต ส่งเสริมการติดต่อของจักระ

จักระที่ 10 อยู่ที่ซานคอด้านหลัง ช่วยหัวใจทำงาน

จักระที่ 11 อยู่ด้านหลังตรงหัวใจ ช่วยหัวใจทำงาน

จักระที่ 12 จักระที่ 13 จักระที่ 14 และจักระที่ 15 อยู่ด้านหลังของจักระที่ทำงานอยู่ด้านหน้า

การบำบัดจักระทำโดยการวางฝ่ามือด้านที่ถนัดตรงจุดที่ร่างกายมีความบกพร่อง อีกฝ่ามือหนึ่งวางบนกระหม่อม แล้วตั้งจิตอธิษฐานให้การเจ็บป่วยปราศนาการ ประมาณ 7 นาที แล้วพักจิต กระทำในวันรุ่งขึ้นซ้ำไปเรื่อยๆ ทุกวัน ทั้งผู้ป่วยและผู้บำบัดควรฝึกสมาธิจิตให้บริสุทธิ์เช่นเดียวกันด้วยเพื่อผลดีทั้งสองฝ่าย สิ่งที่ให้กับชีวิตคือการตั้งจิตบำบัดร่างกาย จะส่งผลให้ร่างกายประสานการบำบัดด้วย