ตั้งแต่เกิดมา ผู้เขียนใช้งานมาหลายอย่างใน 10 ระบบของชีวิต ยกเว้นการให้กำเนิดอีกชีวิตหนึ่ง แค่การขับเลือดออกทุกเดือนก็ปวดแทบวายชีวาแล้ว ไม่สู้ด้วยหรอกกับการสร้างอีกชีวิตหนึ่งออกมาทางช่องแคบเดียวกัน กระนั้นก็ใช้งานทั้ง 8 อวัยวะครบถ้วน ได้แก่ 1.สมอง 2.ดวงตา 3.ปอด 4.หัวใจ 5.กระเพาะ 6.ไต 7.ตับ 8.ผิว ร่างกายของเราทำงานประสานงานกันดีมากระหว่างอวัยวะ กับอีก 10 ระบบ ซึ่งจัดหน้าที่ไว้เป็นกลุ่มการทำงาน กล่าวคือ
ระบบสำหรับการเคลื่อนไหว ได้แก่ 1.กระดูก 2.กล้ามเนื้อ
ระบบสำหรับการประสานงานและควบคุม ได้แก่ 3.ประสาท 4.จิต หรือการติดต่อสื่อสารซึ่งทำงานโดยใช้พลังงานจากแม่เหล็กและพลังไฟฟ้าในเซลล์
ระบบเพื่อสร้างพลังงานและกำจัดสารหลังการใช้ประโยชน์มาจาก 5.การย่อยอาหาร 6.การหายใจ 7.การหมุนเวียนโลหิต 8.ปัสสาวะ
น้ำที่สร้างโลหิต มีสภาพเป็นกรด เรียกว่า pH หรือ Potential of Hydrogen เพื่อประโยชน์ในการไม่เอื้ออำนวยต่อชีวิตที่มาแทรกแซงแย่งอาหารไปจากร่างกาย คือมันอยู่ในกรดไม่ได้ต้องตาย โลหิตขาวมีพละกำลังทำลายศัตรูของร่างกายมากขึ้นไปอีก และยังมีส่วนหนึ่งของโลหิตที่จะทำหน้าที่แข็งตัวปิดปากแผลมิให้ศัตรูล่วงล้ำผ่านปากแผลเปิดนั้นเข้าสู่ระบบโลหิตได้
ระบบสำหรับการสร้างชีวิตใหม่ อยู่ที่ระบบเพศชายหรือหญิง เรียกว่า ระบบที่ 9.ระบบกำเนิด 10.ระบบหายใจ วิทยาศาสตร์ไม่กำหนดระบบวิญญาณ เพราะเป็นการประสานงานของทุกระบบ รู้จักกันว่า จิตเป็นการติดต่อระหว่าง แม่เหล็กกับไฟฟ้า ของสสารที่ประกอบอยู่ในร่างกาย เป็นต้นว่า น้ำ ประกอบด้วยไฮโดรเจน ที่อยู่ในเซลล์โลหิตมีสภาวะเป็นกรด แล้วเราหายใจเอาออกซิเจนในอากาศเข้าสู่ร่างกาย รวมกันเป็นเลือดที่เราเรียกว่า ระบบหมุนเวียนโลหิต มาจากอวัยวะต่างๆพร้อมกันทำงานตั้งแต่ ปอด หัวใจ สมอง เส้นโลหิต นำเข้าสู่เซลล์ การหายใจเข้าและออกหลังจากใช้งานที่อวัยวะต่างๆ แล้ว เราเรียกว่า เกิดจากระบบในกายประสานกันเป็นระบบแห่งจิต สร้างเป็นวิญญาณหรือชีวิต สามารถเดินทางตามจิตสั่งการได้ ดังเช่นที่ผู้เขียนเคยเล่าแล้วว่า พี่เขยของผู้เขียน มีวิญญาณมาเข้าฝันพี่สาวเพื่อที่จะนำเธอไปอยู่ภพเดียวกัน หลังจากเขาเสียชีวิตกะทันหันเพราะอุบัติเหตุรถจิ๊บคว่ำ
กายของเรา ทำงานจากสมอง ติดต่อระหว่างเซลล์ประสาท เรียกว่าจิต คือการคิด สามารถส่งต่อไปยังเซลล์ในระบบต่างๆ เป็นการประสานงานกันทั้งหมด เมื่อส่งจิตออกนอกร่างกายผ่านบรรยากาศ เราเรียกว่าความคำนึง หรือการคิดถึง จะสังเกตได้จากที่เรากำลังคิดส่งข่าวไปถึงอีกบุคคลหนึ่งแล้วเขาทำตามที่เราคิดหรือถ้าเป็นการบำบัดด้วยจักระ คือการส่งจิตไปยังอวัยวะภายในของตนเองหรือผู้อยู่ไกล เช่นส่งจิตข้ามประเทศไปรักษาผู้อื่น ด้วยการสะสมพลังจิตให้บริสุทธิ์เพียงพอ เช่นอยู่อเมริกาส่งจิตไปหาคู่รักที่เมืองไทยให้มีความสุขหรือปลอดความทุกข์หรือความเจ็บป่วยได้ หากว่าเรียนวิธีการและพลังจิตแรงพอ เรียกว่า การบำบัดด้วยจักระ คำว่าจักระ หมายถึงคำใช้เรียกจุดรวมของอวัยวะกลุ่มที่ประสาททำงานร่วมกัน ศาสตร์การบำบัดด้วยจักระมิได้กำหนดหมายเลขตรงกับจุดรวมอวัยวะกลุ่มนั้นเสมอไป ขึ้นอยู่กับศาสตร์การบำบัดด้วยจักระกำหนดไว้ จากบรมศาสดาชื่อ ดาสิรา นราดา ระหว่างปี พ.ศ.1846 ถึง 1924 บวชที่ศรีลังกา โดยอาจารย์พลเรือตรีหลวงสุวิชา ณ แพทย์ ผู้เป็นสามีของอาจารย์เยาวเรศ บุนนาค เป็นผู้เรียนวิชาการบำบัดจากท่านและผู้เขียนเรียนจากภรรยาของท่าน ตอนผู้เขียนไปเมืองไทยหลายสิบปีมาแล้ว กำหนดจุดรวมของจักระดังนี้ จักระที่ 7 สมอง Crown Chakra จักระที่ 6.ต่อมใต้สมองพิจุอิทาริ ตรงกับผิวที่หว่างคิ้ว Brown Chakra จักระที่ 5 อยู่ที่คอ Throat Chakra ล่างลงไปเป็นกลุ่มอวัยวะอยู่กลางระหว่างกระดูกบ่า Thymus Chakra จักระที่ 4 จักระที่หัวใจ Heart Chakra จักระที่ 3 อยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างชายซี่โครง Sacral Chakra จักระที่ 2 อยู่ที่ต่ำกว่าสะดือสองนิ้ว จักระที่ 1 อยู่ที่ Root ตรงกลางระหว่างขา หลังอวัยวะเพศ จักระที่ 1 อยู่ตรงศูนย์รวมการทำงานของเพศทั้งสอง ซึ่งจะส่งผลต่อการทำงานของระบบอื่นๆทั้งหมดด้วย เช่น อวัยวะเพศชายจะมีระบบกล้ามเนื้อเป็นมัดเป็นลอน อวัยวะเพศหญิงมีเต้านมสำหรับสร้างต่อมน้ำนมไว้เลี้ยงชีวิตที่เธอให้กำเนิดต่อไป
อวัยวะประกอบด้วย 1.สมอง 2.ดวงตา 3.หัวใจ 4.ไต 5.ปอด 6.ตับ 7.ผิว 8.กระเพาะอาหาร ระบบของร่างกายแยกออกเป็น 10 คือ 1.กระดูก 2.กล้ามเนื้อ 3. ประสาท 4.โลหิต 5.ย่อยอาหาร 6.ระบบต่อมผลิตฮอร์โมน 7.การขับถ่าย 8.ผิวหนัง 9.สืบพันธุ์ 10.หายใจ
เซลล์ในแต่ระบบทำหน้าที่ครบถ้าสมบูรณ์ ตามที่แต่ละระบบกำหนด พื้นฐานคือการนำอาหารเข้าย่อย แล้วสร้างสารเคมีที่เซลล์จะนำไปใช้งานได้ เรียกว่า
1.การสร้าง Anabolism ได้แก่การนำอาหารไปสร้างเซลล์ให้สมบูรณ์ต่อการทำงาน
2.การใช้งาน Catabolism ได้แก่การย่อยให้เป็นหน่วยเล็กพอที่จะนำโมเลกุลไปใช้ในการสร้างกล้ามเนื้อและเซลล์อื่นๆต่อไป
การประสานงานของจิต และการทำงานของวิญญาณ อยู่ที่ระดับความคิด การศึกษา และความรู้ รอบตัวในการนำไปสร้างสิ่งประดิษฐ์ต่อไป ดังเช่นที่เราเห็นในสารคดีที่ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะกิจจะมาประชุมกัน เพื่อหาความรู้ที่ดีที่สุด เป็นผลออกมาสำหรับปฏิบัติการ หากเราใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์เรียนรู้การใช้ความคิดของผู้ทรงคุณวุฒิว่าเขาใช้สมองทำงานให้เกิดประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติอย่างไรบ้าง เราก็อาจจะใช้เป็นแนวทางสำหรับเด็กที่กำลังศึกษาอยู่ ให้สำเร็จตามที่เราหวัง
การบำบัดด้วยจักระ เป็นการสำรวมจิตที่ฝึกดีแล้ว ดังเช่น พระอาจารย์ไพบูลย์ นิสัยสุตานุยุติ สามารถส่งดวงแก้วมาให้ผู้เขียนทางสมาธิทั้งสองคน และปรากฏเป็นดวงแก้วสีเงินส่งประกายระยิบระยับพุ่งสูงขึ้นไปที่ดวงตาข้างซ้ายของผู้เขียน ที่ดวงตาข้างขวาปรากฏดวงแก้วสีทองพุ่งประกายขึ้นสูงสีทอง ตรงกลางระหว่างดวงตาทั้งสอง ปรากฎองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังเสด็จพระดำเนินด้วยพระหัตถ์ทรงเยื้องกรายตามพระบาท และชายพระจีวรโบกพริ้วด้วยสายลมอย่างเป็นจริงตามภาพที่ปรากฎในจิต มิได้สร้างขึ้นเอง นั่นคือประจักษ์ความเป็นจริงที่ว่า ระบบร่างกาย ประสานงานกับระบบจิต ได้อย่างไร และติดต่อถึงกันได้อย่างไร
ทฤษฎีทางสรีระวิทยา เป็นวิชาการที่มีประจักษ์พยานให้เป็นผลมาแล้ว ขอให้ทุกท่านเริ่มต้นฝึกจิตให้เป็นสมาธิเพื่อเป็นการนำจิตของท่านสู่ครรลองที่บรรลุผลตามประสงค์ ดังเรื่องจริงที่เกิดกับคุณเป็นที่โบสถ์ คริสตจักรได้รับอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ชนต้นไม้ ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัสโดยเฉพาะศีรษะ สมอง ดวงตา กระดูกกะโหลกศีรษะ รวมทั้งใบหน้าบาดเจ็บหลายแห่ง แพทย์ 10 ปรึกษากันแล้วลงความเห็นว่า การผ่าตัดเป็นไปไม่ได้ เพื่อนพ้องช่วยกันตั้งจิตอธิษฐานทั่วหน้า ท้ายที่สุด เมื่อเล่าเรื่องนี้ให้ผู้เขียนฟัง เขามีความสุข ความคิดฉับไว สมองทำงานปกติ ไม่มีริ้วรอยของอุบัติเหตุให้ปรากฏเลย นี่คือการส่งจิตและพลังใจของทุกคน ได้ปรากฏผลสูงสุดต่อร่างกาย สมอง และจิต