สุขภาพและการบำบัด
สดศรี สุริยะฉาย
ตาหวาน

ใครๆ ก็อยากตาหวาน หายามาหยอดทำให้ตาเยิ้ม ทานอะไรก็ใส่น้ำตาล แม้แต่ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า ยิ่งคนไทยด้วยแล้ว ทานอาหารคาวเสร็จต้องหาของหวานต่อเป็นนิสัยประจำตัว อาหารไทยหลายร้านหลอกฝรั่งให้ติดใจด้วยรสหวานนำหน้า เพราะรสหวานจะได้รับการกระตุ้นจากประสาทปลายลิ้น ให้รู้ก่อนรสอื่นๆ ทำให้อาหารใส่ผงชูรสดูเหมือนอร่อย เพราะเขาผลิตจากการเอาโปรตีนจากถั่วเหลืองไปผ่านกรดซัลฟุริก ทำให้เกิดรสหวานเหมือนโปรตีนจากเนื้อ รสหวานให้โทษนานาประการ ตามที่โบราณว่าไว้ หวานเป็นลมขมเป็นยา ตาหวานในที่นี้มิได้หมายความว่า คุณทานหวานแล้วจะทำให้ตาเยิ้มหวานอย่างที่อยากจะเป็น แต่แท้ที่จริงอยากจะเบนความสนใจของทุกคนมาที่การมีน้ำตาลในเลือดสูง หวานไปทั้งตัว ทั้งปัสสาวะก็หวานเลือกก็หวาน อันจะก่อให้เกิดการอักเสบที่ตา มิใช่ตาหวาน

การอักเสบที่ตา (Lesion on the eyelids) ต้องได้รับการผ่าตัดย่อย (Minor surgery) เพื่อกำจัดเม็ดที่หนังตาล่าง เพราะมันจะก่อให้เกิดการอักเสบ ระคายเคือง และอาจมีน้ำเหลืองเข้าไปสู่ดวงตา ลามไปสู่ปัญหาอื่นๆ เลยจำเป็นต้องตัดไฟต้นลม กรรมวิธีในการผ่าตัดย่อยเพื่อจำกัดเม็ดคล้ายสิวที่หนังตานี้ ถ้าเดินเข้าไปในโรงพยาบาลศิริราช ให้นักเรียนแพทย์ทำ เสียเงิน 30 บาท (สามสิบปีที่แล้ว) ผ่าเสร็จปิดตาไว้ก็กลับบ้านได้ เอาผ้าปิดตาออกหลังจากนั้นหนึ่งวันก็หายไป แต่ถ้าตายังหวานคือมีน้ำตาลในเลือดสูงอยู่ มันก็จะไปเกิดที่ตาอีกข้างหนึ่ง ก็ต้องผ่าตัดย่อยเอาเม็ดที่หนังตาออก เสียอีก 30 บาท มิรู้จบได้ ตราบใจที่ไม่รู้สาเหตุแท้จริง ถ้ามีเม็ดที่หนังตาที่อเมริกา เป็นเรื่องใหญ่ ค่าผ่าตัด 186 เหรียญต่อครั้ง ครั้งแรกๆ จะทำที่ออฟฟิศหมอ เขาจะฉีดยาชาที่หนังตา ซึ่งถึงกับเป็นลมเพราะเจ็บหรือถูกเส้นประสาทเข้า ผ่าตัดย่อยที่อเมริกามีแผนเป็นขั้นซับซ้อน ถ้าผ่าตาซ้ายปิดตาข้างหนึ่งขับรถกลับบ้านไป อาทิตย์หนึ่งหลังจากนั้นเกิดเม็ดที่ตาขวาอีก ก็ผ่าตัดเอาเม็ดที่หนังตาขวาออก สองอาทิตย์ต่อมามีเม็ดที่ตาซ้ายอีก ไม่ยอมยุบ ถึงคราวที่หมอต้องวิจัยตัดเอาหนังตาไปวิเคราะห์ดูซิว่า มีเชื้ออะไรอยู่ คราวนี้ตาไม่หวานอย่างเดียว แต่จะมีแผลเป็นที่หนังตาล่างด้วย

ปัญหาอยู่ที่เรื่องเล็กนิดเดียว เราติดนิสัยการทานแป้ง ข้าวขาว น้ำตาล และขนมหวาน ไม่ออกกำลังเผาผลาญน้ำตาลให้เป็นพลังงานเพียงพอ เลยมีน้ำตาลในเลือดสูง ไปแสดงออกด้วยการอักเสบเป็นเม็ดคล้ายสิวที่หนังตา แค่ไปหาหมอดูตา ก็จ่ายค่าดูหน้าหมอ 50 เหรียญแล้ว ไม่ว่าหมอจะหล่อหรือไม่ก็ตาม และแพทย์มักจะไม่บอกคุณว่ามีปัญหามาจากอะไร

ความรู้ธรรมดาก็คือ เราเป็นชาติทานอาหารแป้งเป็นหลัก และทานของหวานเป็นงานอิเรก ควรออกกำลังกายเพื่อชดเชยการสะสมน้ำตาลในเลือด หรือไม่ก็อย่าทานแป้งหรือน้ำตาลทรายขาวมากนัก ทานข้าวกล้องแทนข้าวขาว และเลี่ยงของหวาน ทานผลไม้สดแทน

ความรู้ทางระบบต่อมก็คือ ต่อมบนตับอ่อน (Pancreas) มีเซลล์นับล้านเรียว่าอัลฟ่าเซลล์ กับเต้าเซลล์ อัลฟ่าผลิตกลูคากอน (Glucagon) ซึ่งเพิ่มน้ำตาลในเลือด หรืออีกนักหนึ่ง ป้องกันการขาดน้ำตาลในเลือด ที่เรียกว่าน้ำตาลในเลือดต่ำไป (Hypoglycemia) หรือเบาหวานประเภทสอง ในขณะเดียวกันกลูคากอนส่งเสริมให้ตับทำหน้าที่เปลี่ยนไกลโคเจน (Glycogen) ให้เป็นกลูโคส (Glucose) และสลายเซลล์ไขมันกับโปรตีน การเปลี่ยนแปลงทางสารเคมีนี้ส่งผลให้มีน้ำตาลในเลือดสูง เบต้าเซลล์จะผลิตอินซูลิน (Insulin) ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดลดลง โดยสั่งงานให้ตับเปลี่ยนกลูโคสเป็นไกลโคเจน และกระตุ้นให้เนื้อเยื่อในกล้ามเนื้อ ใช้กลูโคสในรูปพลังงานและทำงานตามหน้าที่ การที่เบต้าเซลล์ไม่ผลิตอินซูลินให้พอเพียงกับความต้องการเป็นเพราะระบบฮอร์โมนจากต่อมนายใหญ่ใต้สมอง (Pituitary gland) ลดการผลิตโกรทฮอร์โมนนายใหญ่ เนื่องจากอายุมากขึ้น หรือระบบทำงานไม่สมดุล ทำให้ไม่สามารถไปสั่งงานให้เซลล์เบต้าและอัลฟ่าบนตับอ่อน ผลิตสารเคมีที่จำเป็นในการกระตุ้นตับให้ทำงานพอเพียงตามความจำเป็น เกิดการทำงานของระบบไม่สมดุล คนทั่วไปไม่ว่าอ้วนหรือผอมจึงอาจมีน้ำตาลในเลือดสูงได้ เพราะมีอินซูลินไม่พอ น้ำตาลในเลือดจึงเพิ่มปริมาณสูง และไตไม่สามารถดึงเอากลูโคสไปใช้งานได้หมด ทำให้น้ำตาลออกไปกับปัสสาวะมากเกินไป ส่งผลให้เป็นเบาหวาน (Hyperglycemia) เลยทำให้นอกจากปัสสาวะหวานแล้ว ตาก็หวานจนเป็นเม็ดได้

ทั้งนี้ทั้งนั้น การรับประทานอาหารมีส่วนสำคัญต่อการควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือดโดยตรงและถ้าต้องการให้ปฏิกิริยาต่อเนื่องดังกล่าวเกิดจากการกระตุ้นให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนนายใหญ่เอง ก็ควรส่งเสริมให้ร่างกายผลิตโกรทฮอร์โมนเองมากขึ้น วิธีเดียวก็คือโดยการใช้อิลีทโกรทฮอร์โมนที่แพทย์ผลิตขึ้นมาสเปรย์ใต้ลิ้น เพื่อกระตุ้นต่อมนายใหญ่พิจุอิทารีให้ทำงานตามปกติเอง