สุขภาพและการบำบัด
สดศรี สุริยะฉาย
กาย-จิต-วิญญาณ

เรารู้อยู่แล้วว่า กายมี 7 อย่าง แล้วจิตกับวิญญาณอยู่ตรงไหน เรื่องนี้ค่อนข้างน่าสนใจถ้าคิดจะบำบัดด้วยจักระ บางที เราก็เรียกว่ามี 7 จักระ แต่ถ้านับรวมด้านหน้าด้านหลังก็ 15 จักระ นั่นคือถ้าจะบำบัดตัวเองก็สัมผัสมือให้ถึงด้านหลัง ถ้าจะบำบัดคนอื่นก็ในเขานอนคว่ำ ถ้าจะบำบัดคนอยู่ไกลก็ส่งสมาธิจิตไปตรงจักระที่อวัยวะด้านหน้าหรือด้านหลังซึ่งป่วยอยู่ คราวที่แล้วพูดถึงระบบกายทั้ง 7 คราวนี้จะพิจารณาอาการไม่สบายตัวและไม่สบายใจตามจักระอื่นๆ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง รวมเอาความไม่สมดุลในจักระทั้งกายและอารมณ์ เผื่อว่าใครป่วยตรงไหนจะได้บำบัดให้ถูกจุด

เราจะพิจารณาระบบประสาท ที่ประกอบด้วยการประสานงานของสมองกับอวัยวะที่โครงกระดูกสันหลังส่งสัญญาณถึง เรียกว่า Cerebrospinal Nervous System หรือ Central Nervous System นับว่าเป็นการส่งมาจากจิตและจิตสำนึกที่ผ่านการพิจารณาของสติสัมปชัญญะแล้ว กับ Autonomic Nervous System ที่ทำงานส่งต่อไปยังร่างกาย จิตใจ และวิญญาณโดยส่งคำสั่งผ่านไปยังหัวใจ ลำคอ และช่วงท้อง ไม่ยากที่จะเข้าใจว่า การบำบัดควรจะรับทราบปัญหาของบุคคลโดยการแสดงออกของระบบประสาท เพราะเกิดจากขาดการพิจารณา หรือเป็นโรคประสาท คือไม่มีความคิดในการพิจารณาสิ่งที่ควร การบำบัดจึงควรเพ่งความสนใจไปที่การทำงานของหัวใจ ลำคอและช่วงท้อง ที่รับปัญหามาจากสิ่งแวดล้อม เช่นอาหาร อากาศ และมลพิษทั้งจากภายนอกร่างกายและภายในจิต นั่นหมายความรวมว่าการเจ็บป่วยที่แสดงออก ออกมาจากขาดความสำนึกที่ถูกที่ควร กระทำในสิ่งที่ผิดที่จรรยาและกฎระเบียบ ทำให้ชีวิตอื่นได้รับความเดือดร้อน ศาสนาพุทธเรียกว่ากรรมสนองกรรม วิทยาศาสตร์ เรียกว่า Sympathetic Nerve และ Parasympathetic Nerve ถ้าจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือว่า ระบบประสาทมี 3 ระบบ คือ ระบบรวม เรียกว่า Central Nervous System ทำงานโดยประสาท 5 อย่าง คือ การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรู้รส และการรู้สึก ระบบประสาทที่ 2 เรียกว่า Peripheral Nervous System ทำงานกับโครงกระดูกสมอง 12 คู่และกระดูกสันหลัง 31 คู่ ระบบประสาทที่ 3 เรียกว่า Autonomic Nervous System ทำงานประสานกับโครงกระดูกสมองและกระดูกสันหลัง ร่วมกับอวัยวะภายใน นั่นคือ ระบบประสาท ประสานกันทั้งศีรษะ ร่างกายและอวัยวะภายใน ฉะนั้น การเจ็บป่วย จึงหาสาเหตุที่บกพร่องได้ตรงจุดที่เรียกว่าจักระ

ทำไมเราต้องเรียนรู้ระบบประสาทในเมื่อรู้ว่าเจ็บป่วยร่างกายตรงไหน ก็เพราะว่าประสาทไม่ทำงานส่งผลให้อวัยวะไม่สมบูรณ์ เราก็ไม่ได้รับบริการจากร่างกายเต็มที่ตามธรรมชาติสร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบำบัดด้วยจักระคือการบำบัดร่างกายด้วยลมปราณ หมายถึงการหายใจเอาอากาศไปป้อนสมอง สมองส่งต่อไปสู่อวัยวะ ถ้าเริ่มต้นบกพร่อง ผลปลายมือคือไม่สบายหรือป่วย หรือตาย ก่อนถึงวาระที่ช่วยเหลือไม่ได้ เราจึงควรยึดชีวิตไว้ด้วยการหายใจเอาลมปราณเข้าร่างกายให้เต็มที่ แล้วทำสมาธิให้จิตแน่วแน่ส่งอากาศผ่านบรรยากาศที่มีพลังคอสมิค ซึ่งเป็นพลังช่วยการบำบัด มีขั้วบวกและลบ ไม่ว่าใครก็ตามสามารถส่งพลังบำบัดผ่านรังสีคอสมิค ผ่านจักระได้ ไม่ว่าในภาวะแห้งหรือน้ำ สามารถแผ่ออกจากร่างกายมนุษย์โดยทางมือ ทางหน้าผาก หรือกระหม่อม เข้าสู่ร่างกายผู้กำลังได้รับการบำบัดไม่ว่าเป็นตัวเอง ผู้อยู่ใกล้ หรือไกล การใช้พลังลมปราณ คือการหายใจพร้อมกับการมีสมาธิ ในญาณกำกับว่า ระดับไหนจึงจะสมกับผู้รักษาและผู้รับการบำบัด เมื่อพลังผ่านเข้าสู่ร่างกายผู้รับ ก็จะเดินทางไปตามทางเดินของฮาร่า (Hara Line) ในร่างกายจากใต้ฝ่าเท้าซึ่งได้รับพลังดินจากโลก สู่สมอง ผ่านจุดฮุยหยิน (Perineum) ที่ตรงกลางระหว่างรูเปิดด้านหน้าและด้านหลังหรืออวัยวะเพศกับทวารหนัก ขึ้นสู่จุดสูงสุดที่กระหม่อม ซึ่งเป็นที่ตั้งของสมอง ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องเรียนรู้ระบบประสาทที่ทำงานด้วยสมอง

จักระที่ 5 คือจักระที่ฐานคอ เป็นที่ตั้งของต่อมไทรอยด์ ทำหน้าที่สำคัญต่อการทำงานของอวัยวะที่ควบคุมการหายใจ กล่องเสียง ต่อมทอนซิล การแพ้อากาศที่ทำให้ป่วย และการพูดจา เรียกว่าเป็นสมรรถนะแห่งการปรับตัวกับบรรยากาศแวดล้อมหรือการเปลี่ยนแปลงรอบตัว นับว่าสำคัญต่อบุคลิกภาพ และการแสดงออกทางความคิดหรือปัญญา นอกจากเป็นผลเนื่องมาจากการผลิตฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์แล้ว ยังเกี่ยวเนื่องกับการทำงานของปอด เส้นทางส่งอาหาร ทางเดินการหายใจ ถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับอวัยวะต่างๆ ที่ทำงานประสานกับต่อมที่ฐานคอ ควรได้รับการบำบัดตรงจักระที่ 5

จักระที่ 4 คือ จักระตรงหัวใจ เป็นส่วนสำคัญที่สุด สำหรับพิจารณาอาการฉุกเฉิน หรือความสัมพันกับผู้อื่น การยอมรับภาวะสังคม สิ่งสำคัญคือพิจารณาปัญหาของการหมุนเวียนโลหิต ที่เกี่ยวเนื่องกับปอด และสมอง กับอวัยวะทั่วร่างกายทั้งหมด เรียกได้ว่า ปัญหาจากจักระตรงหัวใจ เกี่ยวเนื่องกับปัญหาทั้งภายในร่างกายและภายนอกร่างกาย ก่อให้เกิดการเจ็บป่วยและภาวะจิตเสื่อม อาจทำการบำบัดจักระนี้ เป็นส่วนเพิ่มเติมกับการบำบัดจักระอื่นพร้อมกันไปด้วย

จักระที่ 3 เป็นจักระช่วงท้อง ปลายซี่โครง ตามจุดที่เรียกว่า Solar Plexus นับว่าเป็นศูนย์รวมพลัง ทั้งพลังความตั้งใจ พลังความคิด บุคลิกภาพ ความแน่วแน่ในปณิธาน หรือความมุ่งมั่นสู่ความสำเร็จ ณ จุดจักระนี้ส่งผลต่อการสร้างโลหิต การย่อยอาหารเพื่อส่งไปเลี้ยงร่างกายทั้งหมด รวมทั้งการดูดซึมสารอาหารที่ผนังลำไส้เล็กเพื่อส่งต่อไปยังเซลล์ หากมีปัญหาการมีสารเคลือบผนังลำไส้ หรือมีการอุดตันทางเดินอาหาร จะมีผลต่อไปยังอวัยวะทั่วร่างกาย ตั้งแต่การทำงานของสมอง ระบบประสาท ระบบการขับถ่าย และอวัยวะอื่นๆ การเจ็บป่วยที่วินิจฉัยยาก ควรได้รับการพิจารณาบำบัดที่จักระนี้รวมไปด้วย

จักระที่ 2 อยู่ต่ำกว่าหรือเหนือกว่าสะดือประมาณ 2 นิ้ว เป็นศูนย์แห่งอารมณ์เพศ บุคลิกภาพในการสมาคมกับคนทั่วไป อาจมีผลเนื่องไปสู่การก้าวร้าวทางเพศ ที่กำลังเป็นข่าวดังขณะนี้ว่าหัวหน้างานชายกำลังอยู่ในระหว่างพิพากษามีสตรีที่ถูกคุกคามทางเพศมาให้การในศาลถึง 80 ราย ถ้าได้รับการบำบัดจักระนี้เสียก่อน คงไม่มีผู้เสียใจมากมายถึงขั้นนั้น จะว่าไปแล้ว การบำบัดดัวยจักระดูเหมือนว่า เป็นเรื่องพูดลอยๆ อาจสามารถช่วยสถานการณ์มิให้เลวร้ายไปมากกว่านั้นก็เป็นได้

จักระที่ 1 อยู่ตรงขาหนีบต่อกับร่างกาย เป็นศูนย์การทำงานร่วมกันระหว่างความคิดกับการกระทำ สร้างความเด็ดเดี่ยวในการอยู่รอด ทางแห่งความสงบสุข และความมั่นคงของจิตใจ

จักระที่กล่าวนี้เป็นจักระด้านหน้า ถ้าทำการบำบัดทั้งด้านหน้าและด้านหลังพร้อมกัน ก็จะนับรวมได้ 15 จักระ การบำบัดอาจเป็นระยะสั้น หรือ ครั้งละชั่วโมง หรือเว้นวัน แล้วแต่วิจารณญาณและอาการของการเจ็บป่วย ค่าบริการบำบัดแล้วแต่ตกลงกัน ค่าเรียนอาจเรียกว่า เร็คคี้ระดับที่หนึ่ง $200 ระดับที่สอง $1,000 ระดับที่สาม เป็นระดับอาจารย์ผู้สอน $10,000 หรือแล้วแต่ตกลงกัน อาจไปเรียนจากอาจารย์คุณย่าเยาวเรศที่เมืองไทย ไม่ทราบว่าท่านยังอยู่หรือไม่ เพราะเป็นศาสตร์ที่ถ่ายทอดกันมาตั้งแต่สองร้อยปีกว่าแล้ว การบำบัดต้องเตรียมเสื้อผ้า เก้าอี้หรือเตียงสำหรับบำบัด และเตรียมตัวผู้บำบัดกับห้องบำบัดที่เหมาะสม