อนุสนธิของหัวข้อที่ไม่เกี่ยวกับสุขภาพนี้มาจากสารคดีเรื่องของวัยรุ่นญี่ปุ่นปลิดชีพเองในระยะหน้าสิ่วหน้าขวานของโควิดระบาด เลยขาดตกบกพร่องในการดำเนินชีวิตถึงขั้นฆ่าตัวตาย ทำให้ตกใจว่า เมืองที่กำลังก้าวหน้าในวิทยาการจะเกิดเรื่องนี้กับผู้ที่กำลังเจริญวัย สมมุติว่า พ่อตกงานเพราะลดกำลังผลิต แม่เคยแต่อยู่บ้านดูแลครอบครัว ลูกไม่มีรองเท้าใส่ไปโรงเรียนเพราะกำลังโต เพื่อนก็ไม่เป็นกำลังใจในยามยาก ถึงขั้นคิดลาจากชีวิตเป็นทางเลือก ยิ่งมีความก้าวหน้าในอุตสาหกรรม ยิ่งห่างจากความอาทรต่อชีวิต อยากให้เรากลับมาดูแลเอาใจใส่กับเรื่องใกล้ตัวให้มากขึ้น เพราะเป็นอนาคตของทุกคน
ทำอย่างไรให้หลีกเลี่ยงจากโศกนาฎกรรมแก่ชีวิตของผู้เจริญวัย หรือแม้ผู้ถึงวัยใกล้จบก็ตาม ลองกลับมาสอดส่องเรื่องใกล้ๆต่อไปนี้ดู
1.เคยไปสมาคมที่ผู้คนอัธยาศัยไมตรีหรือไม่ อันนี้มีผลต่อระดับจิตโขทีเดียว ไม่ต้องอื่นไกล ผู้เขียนเอง เปลี่ยนสมาคมไปสู่วงใหม่ จิตใจสดใสขึ้นโขทีเดียว จากวภาวะเก็บตัวอยู่กับบ้านที่เขาแนะนำ
2.มีสิ่งที่รักอยู่ด้วยหรือไม่ ง่ายๆก็เช่น มีหมา มีแมวที่รักเรา ต้องพึ่งเรา ทำให้เราอยากประสบความสำเร็จ เพื่อเขาหรือไม่ หรือการเลี้ยงดูให้เขามีความอิ่มมีความสุข เราก็เป็นสุขทางใจ
3.ง่ายๆที่สุดก็คือ วันหนึ่งผู้เขียนรู้สึกเป็นสุขอย่างเต็มเปี่ยม ไม่รู้มาจากไหน ก็คิดว่า แมวไร้บ้านทั้งหลายคงส่งความสุขมาให้เพราะเขาขอบคุณเมื่ออิ่มท้อง
4.เราจะมีความมานะอยากมีชีวิตอยู่ เพราะอีกหลายชีวิตขาดเราเสียคนหนึ่งก็ลำบาก ทำให้ไม่อยากตาย
5.เรากินแล้วนอนเต็มที่ตามที่สุขภาพต้องการเพียงพอหรือไม่ ถ้าหิวอย่านอน เดี๋ยวฝันปลุกกลางดึก
6.บ้านช่องมีเวลาทำความสะอาดพอสมควรหรือเปล่า เป็นการออกกำลังเล็กน้อยพอแก่ร่างกายจะทำได้
7.อ่านหรือดูทีวีที่นำใจออกจากตัวเองให้มากเข้าไว้ เพราะโลกใบนี้กว้างมาก ทัศนวิสัยจะสอนเราให้มีความหวัง และเกิดความคิด อย่างหัวข้อเรื่องนี้ มาจากสารคดีทางทีวีของญี่ปุ่น
8.ความโกรธ ความแค้น ย่อมบังเกิดจากคนอื่นเป็นผู้สร้าง เรามีวิธีดับอารมณ์นั้นได้ไหม เช่น สร้างความสุข
9.ความสุขสร้างได้จาก การอ่าน การดู การคิดต่อไปจากจุดเริ่มต้น ยกตัวอย่างเช่น อ่านหนังสือที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องชีวิต ก็อ่านเรื่องวิชาการ การดูก็เช่นรายการเชิงสารคดีวิชาการ
10.เดี๋ยวนี้ญี่ปุ่นก้าวหน้าไปถึงเรื่อง Biomechatronic แปลเป็นไทยก็คงหมายถึงเอาหุ่นยนต์มาใช้ให้เหมือนมีชีวิต ตัวย่อรู้กันในนามของ MIT อย่าว่าเพ้อฝันเลย เขาอาจสร้างแม่บ้านจากหุ่นยนต์ได้ก็แล้วกัน เรื่องอื่นไม่รู้ แต่มันเป็นสิ่งประดิษฐ์ Prosthetics ที่ทำตามคำสั่งของระบบจึงเรียกว่า Robotism
11.ข้อคิดที่เก็บมาจากการดูสารคดีเรื่องนี้นับว่าเป็นอนุสนธิของหัวข้อเรื่องนี้ก็ย่อมได้ คือ An open mind and a free spirit. Don’t let a person suffer alone. ความหมายรวมก็คือว่า เลี่ยงและป้องกันการจบชีวิตตัวเอง เพราะถ้าคนเราพึ่งหุ่นยนต์ได้ดีกว่าแล้ว ยังมีความหวัง
12. เลี่ยงและป้องกันการจบชีวิตตัวเองได้ ง่ายๆก็คือ เปิดใจมองพิจารณามุมใหม่ของชีวิต
13.เราไม่สามารถเก็บดอกไม้ในสวนของเราเองได้ เพราะถูกขโมยหรือไม่มีที่ปลูก ก็ซื้อดอกกุหลาบสวยๆมาวางริมหัวนอน จะได้ชื่นใจมีความสุขจากความงามความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ โดยเฉพาะดอกไม้เล็กๆสีขาวนึกชื่อไม่ได้ ไม่มีวันโรยหล่นจากกิ่ง เรียกว่าบานอมตะ
14.เคยจดโน้ตไว้ว่า ชีวิตมาจากพลังจิตบวกพลังลมปราณ เราจะต้องตั้งจิตที่จะมีชีวิตอยู่ ส่วนลมปราณเป็นเรื่องของชีวิตที่เดินทางระหว่างเซลล์ประสาทติดต่อกับเซลล์ 10 ระบบ ไม่รู้ว่าจะยุติเองเมื่อไหร่ อย่าไปปลดชีวิตเอาให้เป็นบาป เดี๋ยวพระเจ้ายังไม่ว่างมารับไปสวรรค์ จะไปอยู่ที่ไหนล่ะ
15.ชีวิตดูเหมือนเปราะ แต่ก็แข็ง เสมือนกระดูกก็มีน้ำอยู่ภายใน ตอนมีชีวิตอยู่ เขาสอนว่า จงดื่มน้ำ และกินอาหาร เพื่อชีวิต
16.พยายามเอาความสนใจออกสู่โลกภายนอก มีการพัฒนาและสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆให้สนใจมากมาย อย่าหมกมุ่นแต่ความผิดหวังความปราชัยในชีวิตของตนเอง
17.สนใจดูความเปลี่ยนแปลงของบุคคลรอบตัว โดยเฉพาะผู้เยาว์ เพราะเขายังเปราะต่อการดำงชีวิต
18.เคยพาผู้เยาว์ไปดูหนังไหม หรือเปิดทีวีดูรายการที่นำมาศึกษามาให้เขาบ้างไหม เพื่อเปลี่ยนความหมกมุ่นอยู่กับความทุกข์แห่งชีวิตของตนเอง
19.สังเกตความเปลี่ยนแปลงแห่งความสนใจต่อชีวิตของบุคคลรอบข้าง อย่าทิ้งให้เขาคิดโดดเดี่ยวลำพัง
20.สร้างความสนใจให้เกิดขึ้นกับผู้เยาว์เพื่อเป็นแนวทางแห่งการคิด และวางแผนการศึกษาในอนาคต
21.รู้ไหมว่าเขาสนใจอะไร สร้างข้อคิดให้เกิดกับบุคคลรอบตัวเพื่อไม่ให้ใครหมกมุ่นอยู่กับความทุกข์ยาก
22.พยายามจุติความรู้ เพื่อให้นำไปค้นคว้าต่อ เบนความสนใจออกจากความหมดหวัง
23.สอนให้ผู้เยาว์รู้เรื่องการทำงานของระบบประสาท เพื่อให้เข้าใจการดำรงชีวิต มาจากความคิดของสมอง
24.สอนให้ผู้เยาว์มองชีวิตหลังจากประสบความสำเร็จ เริ่มจากการศึกษาในวันนี้ จะส่งผลถึงความสำเร็จในอนาคต และประโยชน์มหาศาลต่อมวลชีวิตอื่นๆ ดูตัวอย่างจากอีลอน มัสก์ เขาทำอะไรก็สำเร็จ
25.ความไม่มีเงิน มิได้เป็นขอบเขตขีดกั้นความสำเร็จในอนาคต ยังมีปัจจัยแห่งความสนใจใฝ่รู้ มีชีวิตอยู่ก็ศึกษาไปตามที่โอกาสมีให้ อย่างเช่นผู้เขียน ดูหนังสือบนต้นมะม่วง ขณะนี้ก็ยังกินมะม่วงหลังอาหาร หมายถึงยังมีชีวิตอยู่ ชีวิตของผู้เยาว์คนหนึ่ง อาจคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ที่ล้ำหน้ามหาศาลต่อชาวโลกได้อย่างเช่น อีลอน มัสก์ ฉะนั้นอย่าจบชีวิตเร็วเกินไป ให้ดำรงชีวิตไว้
26.ย้อนกลับไปอ่านบทสัมภาษณ์ตัวเอง ในหนังสือพิมพ์ไทยไทม์ เมื่อ 22 ปี มาแล้ว คอลัมน์ 4 แยกธุรกิจ เต็มหน้า ฉบับวันที่ 3 มิถุนายน 1999 มีภายถ่ายกับ มร.โรเบิร์ต ไฮน์แมน ประธานบริษัทเอพิเคียวเร็น และเจนนิเฟอร์ มิน ผู้ประกอบกิจการบำรุงผิวชาวเกาหลี และแพทตี้ ซาเลอร์โน จากเอพิเคียวเร็น ตอนนั้นผู้เขียนทำกิจการด้านบำรุงผิวและจำหน่ายโกรทฮอร์โมนในกิจการของตัวเองชื่อ The Elite Groups ใครจะรู้ว่า การปีนขึ้นไปดูหนังสือบนต้นมะม่วง เรียนจบคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย จะมาจบ School of Health and Human Services ที่ California State University of Long Beach ไม่มีการส่อเค้ามาแต่เยาว์ ฉะนั้น เด็กทั้งหลาย จงมีมานะเรียนต่อไปให้ได้ และชีวิตจะดีขึ้น วันหนึ่งจะได้มีโอกาสบอกว่า ทำอะไรมาบ้างในชีวิตนี้ เหมือนเช่นที่บางคนมีวิสัยชอบขโมยผลหมากรากไม้ของผู้อื่น
เมื่อมีชีวิตอยู่ อย่าจบบทบาทชีวิตเร็ว อย่าทำอะไรผิด อย่าลักขโมย สร้างตัวเองไปเรื่อยๆ เรียนอะไรก็เรียนไปก่อน แล้วจะมีโอกาสบอกว่าทำอะไรมาบ้าง เมื่อถึง 50 ปีต่อไปข้างหน้า อย่างน้อยก็ขอให้มีชีวิตที่ดีกันไปก่อนตอนนี้