สุขภาพและการบำบัด
สดศรี สุริยะฉาย
เรื่องของการให้พลังจิตป้องกันโรค ตอน 2

ตำนานการบำบัดด้วยพลังเร็คคี่ กำเนิดตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 1800 เราเพิ่งจะเริ่มฝึกการสำรวมจิตเป็นสมาธิ เพื่อนำไปสู่พลังจิตในการป้องกันโรค เมื่อเริ่มปี 2021 หมายความว่า เราจะนำศาสตร์ของการป้องกันโรคสู่ตัวเอง และเก่งไปกว่านั้น บำบัดให้ผู้อยู่ใกล้และไกล ภายในการอ่านวิธีการบำบัดเริ่มต้นในสัปดาห์ที่สองได้นั้น ผู้เขียนไม่สบประมาทพลังจิตของใครดอก แต่ก็ขอให้ลองฝึกปฏิบัติดูตามบทความนี้ไปก่อนก็แล้วกัน

หมายถึงว่า ทำจิตบริสุทธิ์ ไร้ ความโลภ โกรธ หลง (ไปในทางผิดคิดทางร้ายให้กับผู้อื่น)

Focus หรือสำรวมจิต เรียกว่า mindfulness มีแพทย์อเมริกันคนหนึ่งแนะนำการฝึกจิตเป็นหนึ่งโดยให้พิจารณาลูกเกด ว่าภายนอกเป็นอย่างนี้ แล้วใส่ปากให้รู้รส แล้วเคี้ยวให้ชิมรส ทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 15 นาที หมายถึงการสำรวมจิตอยู่เฉพาะกับลูกเกดประมาณ 15 นาที ไม่สนใจเรื่องอื่นใด focus อยู่ที่ลูกเกด เรียกว่า ทำจิตเป็นหนึ่งกับลูกเกด

หรือเปรียบกับการที่ทำจิตว่าง ไม่คิดถึงเรื่องอะไร เมื่อผู้เขียนฝึกสมาธิกับพระอาจารย์ไพบูลย์ นิสัยสุตานุยุต ก็สำรวมจิตเพื่อที่จะรับดวงแก้วที่พระอาจารย์กำลังส่งมาให้ทางสมาธิ ไม่รู้ว่าดวงแก้วคืออย่างไร เป็นอย่างไร แต่ก็ปรากฎให้เห็นดังที่เล่าแล้ว นั่นคือผลการสำรวมจิตเป็นหนึ่งเดียวที่จะรับดวงแก้ว

เรากำลังเรียนที่จะฝึกจิตเป็นสมาธิ เพื่อใช้ในการบำบัด หรือการแก้ไขสิ่งบกพร่องของสุขภาพ ด้วยตัวเอง เพราะบางกรณี แพทย์อาจไม่สามารถอธิบายสาเหตุของการบกพร่องทางร่างกายได้ ยกตัวอย่างเช่น เรื่องของหลานสาวผู้เขียนอยู่เมืองไทย ป่วยด้วยการวิงเวียน อาเจียน เสียสุขภาพ ครั้งแรกแพทย์วินิจฉัยว่า เส้นเลือดฝอยในสมองอุดตัน วินิจฉัยครั้งที่สองเดือนต่อมา แพทย์บอกว่า หาสาเหตุไม่ได้ หาเหตุของการป่วยไม่พบ นั้นคือหลักวิลาแพทย์ไม่สามารถจะวินิจฉัยอาการป่วยในตำราได้ ผู้เขียนเดาเอาเองว่า คงป่วยเพราะเซลล์ขาดการสื่อสารระหว่างเซลล์ ซึ่งอยู่นอกตำราแพทย์ แต่เป็นไปได้ในความเป็นอยู่ เป็นต้นว่า อาจเป็นผลมาจากสารตะกั่วที่เขาเติมในน้ำประปาเพื่อป้องกันท่อแตก ตะกั่วขัดขวางมิให้เซลล์ส่งสัญญาณเพื่อการสื่อสารระหว่างกัน แพทย์นึกไม่ถึง หรืออีกกรณีหนึ่ง การทำงานของ Pancreas ที่ทำหน้าที่ร่วมงานและประสานงานกับ gall bladder ในการกรองสารพิษออกจากสารอาหารที่ผ่านการย่อยแล้ว และจะแยกแยะไปส่งให้กับตับ ตับเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดภายในร่างกาย หนักเกือบ 4 ปอนด์ในร่างกายผู้ใหญ่รับโลหิตมาจาก 2 แห่ง ส่วนใหญ่ 4 ใน 5 ส่วน มาจากลำไส้เล็ก ซึ่งกรองสารอาหารโปรตีนอะมิโนแอซิดเพื่อป้อนความต้องการของอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกาย อีก 1 ใน 5 ส่วนมาจากโลหิตส่งมาจากหัวใจ ตังเก็บสารอาหารที่เป็นประโยชน์บางอย่างไว้ เช่นไวตามิน เมื่อมีอวัยวะใดต้องการไวตามินใดก็ส่งไปให้ตามร่างกาย

ตับเก็บแป้งไว้ในรูปของ glycogen ซึ่งสามารถแปรเป็น glucose ได้ทันทีเมื่อมีความต้องการในรูปของพลังงานที่สมอง ที่กล้ามเนื้อ หรือที่อวัยวะส่วนอื่น สมองไม่สามารถเก็บ glucose ไว้ได้ จึงต้องพึ่งการป้อนหรือการส่งมาจากตับ

ตับทำหน้าที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งนอกเหนือจากช่วยในระบบการย่อย ก็คือการทำลายเม็ดโลหิตแดงที่แก่ชราภาพแล้ว และช่วยร่างกายกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย ได้แก่ แอลกอฮอล์ ซึ่งตับกำจัดได้เพียงเล็กน้อย

ฮอร์โมนชื่อ insulin ทำหน้าที่การแปรรูปของ glycogen ซึ่งส่งให้กระแสโลหิตโดย Pancreas หากร่างกายไม่สามารถผลิต insulin ได้ ก็เกิดโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นภาวะมีกลูโคสสูงเกินไปในโลหิต

Pancreas คือ ตับอ่อน เป็นอวัยวะที่ส่วนหัวอยู่ใกล้ Spleen คือ ม้าม อีกส่วนหนึ่งอยู่ใกล้กับ duodenum ที่เป็นส่วนต่อระหว่างกระเพาะอาหารกับลำไส้ ซึ่งบางกรณีเกิดกรดไหลย้อน เพราะส่วนนี้ขาดความกระชับเพราะปิดไม่สนิท

จะเห็นได้ว่า การกิน คือ การนำสารอาหารเข้าสู่ระบบการย่อย เพื่อป้อนอวัยวะที่ต้องนำไปใช้ในการทำงานของร่างกายส่วนต่างๆ ล้วนมีความสำคัญชนิดที่เรานึกไม่ถึง หรือกินตามปากและใจ มากกว่ากินเพื่อป้อนระบบร่างกายให้ทำงานแข็งแรง ตามที่ต้องการ

ยกตัวอย่างเช่น ผู้เขียนทำอาหารไม่เป็น ก็ทำอาหารตามที่คิดว่า จะไม่ส่งโทษไปสู่ร่างกาย เช่นอยากกินบัวลอย ก็ซื้อเม็ดแป้งสำเร็จรูปใส่ตู้เย็นไว้ มีเม็ดแป้งสีขาวกับสีขุ่นซึ่งเข้าใจว่าทำจากเผือก พอต้มสุกในน้ำกลั่นเดือด แล้วเติม 1% fat free milk แทนกะทิ ใส่น้ำตาลทำจากมะพร้าวเรียกว่าน้ำตาลปึกซื้อที่ตลาดไทย นำมาต้มในน้ำกลั่นจนละลายแล้วทิ้งไว้ให้เย็นใส่ขวดแก้วไว้สำหรับการปรุงอาหาร ไม่ใช้น้ำตาลทรายเลยและเลี่ยงการใช้กะทิในการปรุงอาหาร เพราะไม่แน่ใจว่า ร่างกายจะสามารถกำจัดไขมันจากกะทิได้

อีกอย่างหนึ่ง ที่ผู้เขียนเลี่ยงการบริโภค ก็คือ แคลเซี่ยมชนิดเม็ด เพราะแพทย์บอกว่าสามารถพอกตามทางเดินโลหิตไปสู่หัวใจ ผู้เขียนเคยเจ็บหัวใจมาแล้วนอกจากเกิดจากสาเหตุแก๊สรั่วเป็นแก๊สคาร์บอนโมนอกไซด์ที่ผู้จัดการไม่เปลี่ยนเตาแก๊สให้ นอนอยู่กับเตาแก๊สที่ให้แก๊สพิษเหนือหัวนอนอยู่ 18 วัน จนเจ็บหัวใจเกือบตาย ถ้าตาย เขาก็ว่า หัวใจวายระหว่างหลับ ไม่ใช่แก๊สคาร์บอนโมนอกไซด์จากเตาแก๊ส

ฉะนั้นอาหารที่ใส่ปาก ป้อนระบบการทำงานของร่างกาย มีความสำคัญ อย่างคิดไม่ถึง ว่ากินตามอยาก แล้วจะยากกับท้อง ทำงานไปตามผิด การรักษาร่างกายด้วยระบบจิต ส่งสมาธิไปบำบัดอย่างไรก็เห็นผลดียาก เพราะเริ่มกำเนิดด้วยพิษจากอาหาร ร่างกายก็ได้แต่ส่งข่าวการเจ็บป่วย อย่างที่แพทย์บอกว่าหาสาเหตุไม่ได้ ใครจะไปรู้ว่า กินบัวลอยน้ำกะทิ ปรุงอาหารด้วยหม้ออะลูมิเนียม มีสิทธิ์ปนอยู่ในอาหาร ขัดขวาง การสื่อสารระหว่างเซลล์ ทำให้เจ็บป่วย แพทย์หาสาเหตุไม่ได้หรอก เพราะนึกไม่ทัน คนอื่นไม่เห็นป่วย ยังอยู่ได้

วิธีการง่ายๆ ดื่มชาขมิ้น กินแกงส้มแอปเปิล เบิ้ลด้วยไวตามินซี คือกินส้มทุกมื้อ ถ้ามี Co Q10 ก็เสริมไปด้วย เพราะพวกนี้ต่อต้านการสูญเสียความชื้นที่ไวรัสชอบแย่งไปจากเซลล์ซึ่งทำให้เซลล์ติดต่อกันไม่ได้

ที่เกริ่นมานี้ เป็นการปูทางไปสู่ความเข้าใจว่า จะสามารถส่งจิตไปบำบัด ณ จักระใด ที่อวัยวะนั้น ทำงานบกพร่อง เพื่อตอบปัญหาว่า ร่างกายเจ็บป่วยเพราะเหตุอะไร ในกรณีที่แพทย์บอกว่าหาสาเหตุแห่งการเจ็บป่วยไม่ได้ เพราะตัวเราเองรู้ว่ากินอะไร และควรกินอะไร เพื่อเสริมการทำงานของร่างกาย จะได้ส่งจิตเป็นสมาธิ ณ จักระที่มีการทำงานของอวัยวะที่เกี่ยวข้องนั้นๆ