สุขภาพและการบำบัด
สดศรี สุริยะฉาย
เลือดเนื้อ

สิ่งประกอบเป็นชีวิต สำคัญที่สุดคือเลือดกับเนื้อ และอาจสำคัญที่สุดถึงการสืบสันตติวงศ์ เลือดไปเลี้ยงส่วนสำคัญที่สุดของชีวิตคือสมอง สั่งการให้ร่างกายทั้งหมดทำงาน ขาดเลือดอย่างเดียวก็ยุ่งไปทั้ง 10 ระบบในร่างกาย สาเหตุที่เลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย มาจากกระดูกคอข้อที่หนึ่งเคลื่อนไปทับประสาทหรือทับเส้นเลือด หรือกินอาหารผัดน้ำมันเป็นเวลานาน ทำให้ไขมันพอกลำไส้ ระบบการดูดซึมสารอาหารทำงานไม่ได้เต็มที่ สมองขาดสารอาหาร เมื่อระบบดูดซึมเสีย ส่งผลให้ถุงน้ำดีขึ้น หรือถ้ามีพยาธิในลำไส้แย่งสารอาหารไปด้วย สมองก็ยิ่งขาดสารจำเป็นมากขึ้น หรือการไม่กินอาหารเช้าก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ส่งผลไปถึงการนอนไม่หลับ นอนไม่พอ ตื่นกลางดึก ฝันบ่อย ปวดไหล่ ปวดหัวข้าวเดียวหรือสองข้าง ปวดหู ปวดกระบอกตา ปวดชายโครง ปวดหลัง ปวดเข่า ปวดข้อเท้า ปวดสะโพก ปวดหลังเท้า เป็นไซนัส เหงือกบวม เจ็บคอ เจ็บลิ้น วิตกกังวลง่าย อาการต่างๆ เหล่านี้ อาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา บรรยายไว้ในหนังสือกินเป็นลืมป่วย รวบรวมโดยคุณนิพนธ์ วีระธรรมานนท์ ซึ่งน่าจะเตือนสติพวกเราได้บ้างว่านิสัยง่ายๆ อาจส่งผลเสียก่อให้ยากต่อการบำบัดรักษาสุขภาพ ทั้งการที่เลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหน้า ส่วนกลาง และส่วนหลังได้น้อย ส่งผลไปสู่สมองเสื่อม ซึ่งเป็นปัญหาแก้ไขยากมากขึ้น ผู้เขียนเองก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่รู้ตัว คิดว่าอาการหลงลืมคืออาการปกติแห่งการสูงวัย เมื่อแพทย์ประจำตัวส่งไปหาแพทย์ทางประสาท วินิจฉัยด้วยระบบคอมพิวเตอร์ทุกอย่างดูผลแล้วไม่มีอะไรเป็นที่น่าวิตก แพทย์ไม่นัดการบำบัดอีก เมื่อลูกศิษย์ในชั้นเรียนที่ผู้เขียนสอนวิชาเร็คคี้และบำบัดด้วยจักระ ทำการวัดด้วยหินและลูกดิ่ง ปรากฏว่าจักระที่สมองและจักระที่หนึ่งคือรากฐานชีวิตไม่สมดุล ผู้เขียนก็ยังไม่รู้ตัวว่ามีอะไรที่น่าเป็นห่วง คิดเสียว่าคงเป็นเพราะกังวลกับผู้คนคิดไม่ดีรอบตัวกระมังจึงทำให้ประสาทสมองวุ่นวาย และเมื่อจักระรากฐานที่โคนขาไม่สมดุล ก็คงเป็นเพราะเราไม่ถือโทษโกรธเคืองจนกระทั่งวันหนึ่งตื่นขึ้นมา มีความว่าง ไม่รู้ตัวว่าอยู่ที่ไหน วันอะไร เวลาอะไร และเราคือใคร ก็ตกใจว่าเราเป็นอะไรเนี่ย แต่ก็คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา จนกระทั่งวันหนึ่ง หากุญแจไขตู้จดหมายไม่เจอ มันจะหายไปได้อย่างไร ในเมื่อแขวนอยู่ในห่วงเดียวกับกุญแจอีกดอกหนึ่งก็ยังอยู่นี่นา คิดเสียว่าค่อยเขียนโน๊ตบอกบุรุษไปรษณีย์ขอกุญแจใหม่ ครั้นเดินมาเปิดประตูห้องก็หากุญแจห้องไม่เจออีก ก็เดินไปบอกเพื่อนว่าทำอย่างไรดี เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เพราะสมองขาดการทำงาน ไม่สามารถจดจำได้เป็นปกติว่า กุญแจก็อยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ทที่สวมอยู่นั่นแหละ หรือว่าเราเริ่มต้นมีอาการ Dementia ที่จะนำไปสู่ Alzheimer เพื่อนอีกคนหนึ่งให้สายคล้องคอสำหรับแขวนกุญแจ จะได้ไม่ลืมเพราะเห็นอยู่เสมอ

วิธีป้องกันสมองเสื่อม ในหนังสือกินเป็นลืมป่วย ให้ใช้นิ้วโป้งกดที่นิ้วชี้ 2 ครั้ง นิ้วกลาง 1 ครั้ง นิ้วนาง 3 ครั้ง นิ้วก้อย 4 ครั้ง แล้วกลับไปกดที่นิ้วนาง 3 ครั้ง นิ้วกลาง 1 ครั้ง นิ้วชี้ 2 ครั้ง นั่นคือ เริ่มที่นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย 2-1-3-4 เป็นชุด แล้วย้อนกลับหลัง ทั้งหมด 50 ชุด หรือใช้วิธีฝึกหายใจเข้าอย่างช้าๆ จนพุงป่อง แล้วหายใจออกจนพุงยุบ เพื่อนำอากาศไปสู่เซลล์สมอง เพิ่มออกซิเจนให้สมอง น่าจะทำให้ต้นไม้ตอนกลางวันมีแดดด้วยเป็นดีที่สุด ไม่ใช่ทำตอนคลุ้มฟ้าคลุ้มฝนจะพาลเป็นไข้หวัดใหญ่เอา

อีกวิธีหนึ่งของอาจารย์สุทธิวัสส์ในการดูแลไตไม่ให้ทำงานหนัก คือดูแลให้เลือดบริสุทธิ์ไปเลี้ยงสมองสม่ำเสมอ ได้แก่อย่ากินอาหารรสจัด กินอาหารผัดน้ำมันให้น้อยลง ผู้เขียนเลี่ยงไปใช้ cooking spray แทนน้ำมัน ต้องอ่านฉลากให้ดีว่าไม่ได้ผลิตจาก butter ผู้เขียนเลี่ยงการกินเนย น้ำมันสเปรย์ควรทำมาจากน้ำมันพืชคาโนล่า ดีกว่าเนยเพราะอาจแข็งตัวในหลอดเลือดง่ายกว่าน้ำมันพืช

การกินเนื้อสัตว์ ควรกินไวตามินต่อไปนี้ คือ ซี บี1 บี3 บี6 ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนโปรตีนเป็นในรูปของกรดอะมิโน หรือกินน้ำกระชายอย่างที่อาจารย์แนะนำ หรือกินไวตามินรวมชื่อ Centrum ที่ผู้เขียนกินแต่ก็ยังมีอาการหลงลืม คิดว่าสมองน่าจะต้องได้รับการยกเครื่องใหม่เหมือนรถยนต์

อีกปัญหาหนึ่งเกิดจากความกลัว ขี้ตกใจ ถ้าเป็นอย่างนี้อาจารย์สุทธิวัสส์กล่าวไว้ในหนังสือว่าร่างกายจะผลิตไขมันขึ้นมาเอง ให้เป็นไขมันฝ่าย้าย ถ้าอารมณ์ดีไม่เครียด มีจิตเมตตาก็จะเป็นไขมันฝ่ายดี อันที่จริงผู้เขียนก็คิดว่าตัวเองมีจิตเมตตาแล้วนะ แต่ไฉนหลงลืม ผลของการวัดจักระโดยวิธีเร็คคี้ น่าจะให้ผลถูกต้องเสียแล้ว นั่นคือฮอร์โมนจากจักระที่หนึ่งที่รากฐานต้นขาบกพร่อง อย่างที่ลูกดิ่งอ่านออก

อาจารย์สุทธิวัสส์สรุปไว้ว่า “ถ้าดูแลปอดดี ไตก็จะแข็งแรง เมื่อไตแข็งแรง กระดูกก็จะแข็งแรง” อันนี้เป็นความจริง เพราะผู้เขียนเดินเหินไม่แข็งแรง สงสัยว่าอยู่ในห้องปรับอากาศตลอดวัน การบำรุงปอดอีกทางหนึ่งคือปรุงอาหารโดยใช้กระเทียม ผู้เขียนใช้กระเทียมในการเตรียมซอสสามรสสามกลิ่นสำหรับราดอะโวคาโด้ ไม่มีการใช้กระเทียมปรุงอาหารผัดด้วยน้ำมันเลย ซอสสามรสสามกลิ่น มีวิธีทำคือตำกระเทียม กับกะปิเผา ใส่มะนาว พริกขี้หนู น้ำตาลปี๊บที่ละลายใส่ขวดไว้ เสร็จแล้วกรองเอากากทิ้งไป เอาแต่น้ำซอสใส่ขวดเล็กเก็บไว้ในตู้เย็นได้นาน เวลาต้องการซอสสำหรับราดอะโวคาโด้ ก็ผ่าครึ่ง ซอยเป็นชิ้นเล็กในเปลือกแล้วเอาช้อนขูดใส่ถ้วย เท่านี้ก็สามารถได้ 10 ไวตามินกับ 12 แร่ธาตุจากอะโวคาโด้เป็นสลัดทันที หน้านี้กำลังวางตลาดส่งไปขายยุโรปและอเมริกา ประเทศเม็กซิโกแล้งน้ำ ถึงขั้นขู่จะฆ่าเอาชีวิตชาวไร่กันเองเพราะแย่งน้ำกัน อะโวคาโด้เก็บได้สองสัปดาห์ เมื่อผ่าแล้วต้องราดน้ำซอสทันทีมิฉะนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล

เลือดมีส่วนประกอบของพลาสม่า 55 เปอร์เซ็นต์ อีก 45 เปอร์เซ็นต์คือเซลล์เลือด ในพลาสม่ามีน้ำ 90 เปอร์เซ็นต์ โปรตีน 8 เปอร์เซ็นต์ กรดออร์แกนิค 1 เปอร์เซ็นต์ และเกลือ 1 เปอร์เซ็นต์ เซลล์เลือด มีเลือดแดง 44 เปอร์เซ็นต์ เลือดขาวเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ ตัวนี้เรียกว่า anti-oxidant ป้องกันศัตรูและการสูญเสียน้ำของเซลล์ เซลล์เม็ดเลือดแดงมีประมาณ 5 ล้านเซลล์ สร้างในโพรงกระดูก หมุนเวียนในระบบโลหิตประมาณ 120 วัน เมื่อหมดอายุ จะถูกสลายที่ม้าม

เรื่องเลือดหรือโลหิตไม่ใช่เรื่องที่ควรละเลย เพราะอาจเป็นต้นเหตุโรคสมองเสื่อม ความจำเสื่อม โรคชักกระตุก โรคไบโพล่าร์ ซึ่งมีอาการต่างๆ ต่อไปนี้

ความคิดสับสน ความยินดีปราโมทบ์อย่างไร้เหตุผล ดีอกดีใจตีปีกโดยไม่มีเหตุผล อารมณ์ไม่ปกติ มารยาทไม่สมควร เพิ่มความต้องการทางเพศอย่างไร้ขอบเขต เพิ่มการพูดเร็วหรือดังอย่างไร้เหตุผล เพิ่มพลังร่างกายอย่างผิดธรรมดา ไร้การไต่ตรองที่สมเหตุสมผล และอาการนอนไม่หลับอย่างแรง

อาการต่างๆนี้รู้ไว้เพื่อให้รู้จักอ่านพฤติกรรมทั่วไป และรู้จักตัวเองถ้าถึงคราวจำเป็น การบำบัดโรคไบโพล่าร์ มีอุปกรณ์ช่วย เช่น ลิเทียม อุปกรณ์ Anticonvulsant ป้องกันอาการสั่นอย่างรุนแรง อุปกรณ์ป้องกันอาการทางประสาทเรียกว่า Antipsychotics และ Benzodiazepines เพื่อรักษาการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์กะทันหัน หรือการใช้ยาเพื่อกระตุ้นการทำงานของประสาทเพื่อปกป้องมิให้เกิดอารมณ์เศร้าซึม

โรคเป็นผลมาจากความบกพร่องของโลหิต โลหิตเป็นผลสืบเนื่องจากการบริโภค อาหารที่เราบริโภคจึงควรได้รับการพิจารณาเสียก่อน ว่าไม่มีอันตรายต่อโลหิต และระบบของร่างกาย