สุขภาพและการบำบัด
สดศรี สุริยะฉาย
บารมี

คุณรู้ไหมว่าเวลาคุณทำความดีทุกวันนี้เป็นการสร้างบารมีทั้งนั้น เริ่มตั้งแต่มีความเพียรก็เป็นบารมีแล้ว มิน่าล่ะ เวลาเราเรียนปริญญาตรี ที่เขาเรียกว่าเป็นการศึกษาศาสตร์ทั่วไป ก็เป็นบารมีได้หลายอย่าง เช่น ความเพียรศึกษาเล่าเรียน เรียกว่า วิริยะบารมี ความอดทนดูหนังสืออดหลับอดนอน เพื่อให้ผ่านการสอบ ก็เรียกว่าเป็นขันติบารมี สอบเสร็จก็ภาวนาขอให้ผ่าน อย่างน้อยก็ให้ได้เกรด เอ เรียกว่า เป็นอธิษฐานบารมี เมื่อโดนใคร harass หรือ bully ก็ต้องอดกลั้นเพื่อไม่ให้เผลอไปด่ามารดาเขา ก็เรียกว่าเป็นขันติบารมี ดังที่เราจะเห็นคนขับรถลงไปต่อยกันกลางถนน หรือบางทีควักนิ้วกลางมาส่องให้คนขับรถคันอื่นหน้าตาเฉย ผู้เขียนเคยโดนสมัยขับรถเมื่อมาอยู่อเมริกาใหม่ๆ เจอคนขับรถคันอื่นยกนิ้วกลางให้ ก็นึกว่าเขาทักทาย เลยยกนิ้วกลางพร้อมยิ้มส่งกลับไปเป็นการทักทาย เพิ่งมารู้ความหมายทีหลัง เดี๋ยวนี้ไม่เจอแบบนั้นแล้ว มีแต่คนขับรถให้นั่งก็ร้องวี๊ดว๊ายไปตามประสาทตอนโดนปาดหน้าปาดจมูกรถที่เรานั่ง เพราะคนขับสมัยนี้ไม่ค่อยยอมรอให้ใครไปก่อน บางทีอยากตามไปดูหน้าคนขับอยู่บ่อยๆ ว่าชาติอะไร สุนัขหรือเปล่า ทางธรรมะแบ่งการกำหนดรู้เป็นสามปริญญา คือ 1.ญวตปริญญา แปลว่ากำหนดรู้ด้วยการรู้ ซึ่งเหมือนทางโลก คือในระดับปริญญาตรีให้รู้ศาสตร์ทั่วไปเสียก่อน ทางธรรมะปริญญาที่ 2. เรียกว่าตีรณปริญญา แปลว่ากำหนดรู้ด้วยการพิจารณา ซึ่งตรงกับการศึกษาปริญญาโททางโลกที่ต้องทำวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโทโดยศึกษาค้นคว้าเจาะลึกเป็นสาขาใดสาขาหนึ่ง ด้วยการศึกษา ค้นคว้าพิจารณาด้วยตัวเอง ผู้เขียนทำวิทยานิพนธ์ทางด้านการศึกษาเพื่อช่วยผู้มีความต้องการพิเศษ ซึ่งนับว่าเป็น เมตตาบารมีทางธรรมะ ทำให้ส่งผลดีกับชีวิตในปัจจุบัน คณะที่ผู้เขียนเลือกเรียนเรียกว่า School of Health and Human Services ซึ่งใช้ขันติบารมี วิริยะบารมี ปัญญาบารมีมากทีเดียวกว่าจะเรียนจบ เป็นเวลา 4 ปี จัดว่าเป็นเนกขัมมะบารมี คือการทำจิตให้ขาวรอบอยู่กับการศึกษา ใครบอกว่าเรียนปริญญาโทจบภายในเวลา 2 ปีนั้นเป็นเป็นคนละประเด็นกัน ขนาดมีปัญญาบารมีสมัยเรียนปริญญาตรีสอบติดกลุ่ม A1 สามสิบคนแรกของสามร้อยคนของคณะ จบปริญญาตรีได้ที่สองของชั้น ได้ทุนรัฐบาลบางส่วนสำหรับเรียนปริญญาโท ก็ยังต้องทำงานสองแห่ง เรียกว่าบำเพ็ญวิริยะบางมีสูงทีเดียว หลังจากเปลี่ยนงานไปทำงานแห่งเดียวก็ยังต้องสร้างวิริยะบารมี กับขันติบารมีสูงมากเพื่อให้มีเวลาทำวิทยานิพนธ์ เริ่มต้นออกจากบ้านที่เวสต์มินส์เตอร์ไปทำงานเป็นซุปเปอร์ไวเซอร์ที่โรงเรียนในซิมิวาลเลย์ ระยะทาง 60 ไมล์ เลิกงานเวลา 4 โมงครึ่งขับรถมาเรียนให้ทันเวลาหกโมงที่ California State University of Long Beach เลิกเรียนเวลา 4 ทุ่ม ขากลับแวะทานอาหารเย็นสี่ทุ่มครึ่งที่ภัตตาคารสำหรับครอบครัว เปิด 24 ชั่วโมง มีชื่อเสียงทางด้านสเต็กอร่อยชื่อ Norms อยู่เมืองฮันติงตั้นบีชห่างจากบ้านประมาณ 5 ไมล์ ทานเสร็จขับรถกลับบ้านนอน เพื่อที่จะตื่นวันรุ่งขึ้นประมาณตีสี่ ขับรถไปเปิดโรงเรียนตอน 8 โมงเช้า เพราะรถติดมาก ที่เล่ามานี้สามารถพิสูจน์วิริยะบารมี ขันติบารมี อธิษฐานบารมี อุเบกขาบารมี เพราะตอนปี ค.ศ. 1990 หน้าตาเอเชี่ยนในฐานะผู้บังคับบัญชาของครูอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งครูเม็กซิกันซึ่งถือเอาสมบัติของโรงเรียนเป็นของตนและเข้าใจว่าตนเองเป็นเจ้าถิ่นในแคลิฟอร์เนีย จำเป็นต้องมีอุเบกขาบารมีตลอดเวลา ดูได้จากนิสัยการขับรถบนถนนของพวกนี้ก็พอเดาออกว่าไม่ยอมใคร

ที่เล่ามานี้ ก็เพื่อจะกราบขอบพระคุณในบทบรรยายธรรมะของท่านพระมหาสุภณว่า บารมี 30 ทัศ ประกอบด้วย

1.ทานบารมี 2.ศีลบารมี 3.เนกขัมมะบารมี 4.ปัญญาบารมี 5.วิริยะบารมี 6.ขันติบารมี 7.สัจจะบารมี 8.อธิษฐานบารมี 9.เมตตาบารมี 10.อุเบกขาบารมี

บารมี 10 ทัศนี้ ปฏิบัติให้ยิ่งขึ้นเสมอเรียกว่า อุปบารมี ปฏิบัติให้สูงขึ้นไปอีกเรียกว่าปรมัตถบารมี รวมทั้งสิบทัศสูงยิ่งขึ้น และยิ่งขึ้น รวมเป็น 30 ทัศดังนี้แล สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสร้างบารมียิ่งขึ้น และยิ่งขึ้น กว่าจะได้บำเพ็ญทานบารมีอันยิ่งใหญ่ในสมัยพระเวสสันดร และบำเพ็ญศีลบารมี และเนกขัมมะบารมี จนตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในพระชาติสุดท้ายที่ พระองค์ทรงเปล่งอาสภิวาจาเมื่อแรกประสูติขณะทรงชี้นิ้วขึ้นฟ้าและลงดินว่า

อัคโคหมัสมิ โลกัสสะ เราเป็นผู้เลิศที่สุดในโลก

เขฎโฐหมัสมิ โลกัสสะ เราเป็นผู้เจริญที่สุดในโลก

เสฎโฐหมัสมิ โลกัสสะ เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก

อะยะมันติมา เม ชาติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา

นัตถินานิ ปุนัพภโวติ บัดนี้การเกิดใหม่จะไม่มีอีกเลย

การตรัสรู้ของพระองค์เป็นไปด้วยพระบารมีของพระองค์เอง จึงเรียกว่า พระอนุตตรสัมมาโพธิญาณโดยลำดับดังนี้

เวลาเช้า นางสุชาดาถวายข้าวมธุปายาส

หลังเสวย ทรงอธิษฐานลอยถาดทองคำในแม่น้ำเนรัญชรา ทวนกระแสน้ำ 1 เส้นแล้วจมลงเกิดเสียงปลุกพญานาคราชว่าบัดนี้มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นแล้ว

เวลาเย็น โสตถิพราหมณ์ถวายหญ้าคา 8 กำ เป็นอาสนะใต้ดินอัสสัดถพฤกษ์

ทรงตรัสรู้ วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 45 ปี

เวลา ปฐมยาม (สามทุ่ม) บรรลุ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ

เวลา มัชฉิมยาม (หกทุ่ม) จุตูปปาตญาณ รู้การเกิด แก่ เจ็บ ตาย

เวลา ปัจฉิมยาม (ตีสาม) บรรลุ อาสวักขยญาณ ทำลายกิเลสโดยสิ้นเชิง และอริยสัจ 4

สัปดาห์ที่ 1 ทรงเสวยวิมุตติสุข ณ โพธิบรรลังก์ ณ ร่มพระศรีมหาโพธิ์ พิจารณาปฏิจจสมุปบาท

สัปดาห์ที่ 2 เสด็จทิศอิสาน (ตะวันออกเฉียงเหนือ) ประทับ ณ อนิมิสเจดีย์ จ้องดูพระศรีมหาโพธิโดยไม่กระพริบพระเนตร

สัปดาห์ที่ 3 เสด็จจงกรมระหว่างพระศรีมหาโพธิ์ กับอนิมิสเจดีย์

สัปดาห์ที่ 4 เสด็จทิศพายัพ (ตะวันตกเฉียงเหนือ) ทรงขัดสมาธิในเรือนแก้วที่เทวดาสร้างถวาย พิจารณาพระอภิธรรม

สัปดาห์ที่ 5 เสด็จทิศบูรพา (ตะวันออก) ประทับใต้ร่มไทรชื่ออขปาลนิโครธ พราหมณ์ทิฏฐมังคละและธิดาของพญาวสวัคคียั่วยวน

สัปดาห์ที่ 6 เสด็จทิศอาคเนย์ (ตะวันออกเฉียงใต้) ณ ใต้ต้นไม้จิกชื่อมุจจลินท์ ทรงพิจารณาการล่วงละกามได้

สัปดาห์ที่ 7 เสด็จทิศใต้ ประทับใต้ต้นไม้เกตุ ราชายาตนะทรงเสวยวิมุตติสุข ณ สัตตมหาสถาน

นี่คือพระบารมีที่สั่งสมเป็นเวลา 4 อสงไขย แสนมหากัลป์ เป็นพระบารมีที่สมบูรณ์ ปุถุชนเราท่าน สามารถสะสมบารมีในชีวิตประจำวัน โดยการทำความดี มีเมตตา มีความเพียร มีความอดทน มีความอดกลั้น มีความสัตย์ รู้จักให้ทาน มีศีลบารมีในชาตินี้เพื่อชาติหน้าจะช่วยให้จิตขาวรอบ สามารถตั้งจิตภาวนาให้ถึงนิพพานซึ่งจะกล่าวตอนต่อไป เพราะผู้อ่านหลายท่านยังไม่สามารถโชคดีพอที่จะไปฟังการสนทนาธรรมได้ด้วยตนเอง จากพระธรรมทูตที่สะสมบารมีอันยิ่งใหญ่มานานถึง 20 ปีก็สามารถที่จะสร้างบารมีได้ด้วยประการฉะนี้แล