สุขภาพและการบำบัด
สดศรี สุริยะฉาย
เรื่องของจิตวิทยา

เมื่อ 50 ปีก่อน ผู้เขียนเดินเข้าไปในโชว์รูมรถยี่ห้อวอลโว่ ตั้งใจว่าอยากจะซื้อเพราะเขาบอกว่าตัวถังแข็งแรง แต่พนักงานผู้ชายที่นั่งแกร่วเป็นกลุ่มเพื่อรอลูกค้ามาซื้อ ไม่มีใครอยากลุกมาต้อนรับเอาเสียเลย พูดด้วยแล้วก็เกิดความประทับใจว่า เขาคงคิดว่าเราไม่มีปัญญาซื้อรถยี่ห้อแพงๆ นี้เป็นแน่ เลยเดินออกมาพร้อมกับปฏิญาณว่าจะไม่ซื้อรถยี่ห้อนี้อีกในชีวิตนี้ และก็ไม่เคยมองรถวอลโว่อีกเลย แถมดูถูกปรัชญาการขายรถอีกด้วย

คิดย้อนหลังไปถึงวันนั้น 50 ปีมาแล้วยังได้ข้อคิดหลายประการ ถ้าเซลส์แมนมีจิตวิทยานิดหน่อย นอกจากจะช่วยให้วอลโว่ออกมาวิ่งบนถนนได้หนึ่งคันแล้ว ยังอาจมีวอลโว่วิ่งตามออกมาอีกหลายคัน แต่ผู้จัดการแผนกขายลืมอบรมข้อคิดเรื่องจิตวิทยาไปเสียสนิท เอาแค่แต่งตัวใส่สูทโก้ ให้สมกับขายรถมีราคา แต่ปัญญาแค่หางอึ่ง เพราะขาดความคิดเรื่องจิตวิทยาในการทำให้ผู้ที่จะจ่ายเงินซื้อมีความรู้สึกเป็นบุคคลสำคัญ

จิตวิทยาสมัยที่ผู้เขียนเริ่มหักมุมชีวิตจากทีนเอช เป็นนักศึกษาหาความรู้ พูดเสียโก้ก็ระหว่างจบมัธยม 6 จะตั้งเข็มเรียนมหาวิทยาลัย คือเรียนต่อ ม.7-8 แทนการพาณิชย์ เริ่มเรียนจิตวิทยาจากการอ่านหนังสือเขียนโดยหลวงวิจิตรวาทการ ชื่อของท่านเหมาะมาก คือข้อเขียนของท่าน เป็นวาทะวิทยาที่นำมาใช้การได้อย่างวิจิตรในชีวิต หลังจากเรียนจบก่อนที่จะได้ใบอนุญาตให้ทำการสอนผู้อื่นได้ ก็ต้องเรียนจิตวิทยาในการสอน เพราะคนเราแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ให้รู้จักการประเมินผลว่าเขาจะรับได้อย่างไร รู้จักเอาใจเขา รู้จักอ่านจิตวิทยาของแต่ละบุคคลว่า เขาจะคิดอย่างไรต่อไปและจะทำอะไรต่อไป ตอนท้ายของหนังสือ คือบทตอบคำถาม เพื่อวินิจฉัยว่าเราเป็นคนอย่างไร เสียดายที่จำชื่อหนังสือเล่มนี้ไม่ได้ อาจจะค้นหาตามรายชื่อผู้เขียนในห้างพิมพ์หนังสือเมืองไทย คงจะสืบได้อยู่ เพราะเด็กที่กำลังอยู่ในภาวะเติบโตอ่านแล้วจะมีทักษะในความคิดที่นำสู่อนาคตได้ดีขึ้น ผู้เขียนตอบคำถาม ตอนท้ายของหนังสือ สรุปลักษณะตนเอง ว่าเป็นบุคคลที่ Materialistic ตอนนั้นยังแปล ความหมายไม่ออกว่าเป็นคนลักษณะอะไร แต่พออายุต่อมาอีก 50 ปี จึงวิจัยถึงความหมายได้ว่า เป็นคนที่เห็นคุณค่าของสิ่งของและน้ำใจ เป็นนักอุดมคติ ประเมินค่าสิ่งของ และน้ำใจของบุคคลเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะมีราคาเท่าไร หรือบุคคลนั้นคือใคร หรือสิ่งเล็กน้อยเพียงใด ก็นับว่ามีค่าต่อน้ำใจสูง ลึกซึ้งมาก แม้แต่การทำให้เจ็บใจก็เหมือนกันจะจำลึกมาก เป็นสิ่งที่เรียกว่า Meterial ของชีวิตทีเดียว ฉะนั้น ลักษณะคนประเภทนี้ จึงมักพิจารณาจิตวิทยาเป็นสำคัญ

อีกตัวอย่างที่เรียกว่าเป็นเหยื่อของจิตวิทยาในการขายรถโดยที่เคยเข็นรถออกจากอู่ทั้งๆ ที่ไม่อยากซื้อ พอวันรุ่งขึ้นเปลี่ยนใจเอาไปคืน เซลส์แมนถึงกับออกปากว่า ไม่ชอบรถ ถึงขนาดยอมสูญเงินขนาดนั้นเลยเชียวหรือ

แสดงว่าการใช้จิตวิทยามีความสำคัญในชีวิตประจำวัน การเปล่งคำพูดเมื่อแรกพบเป็นอุทาหรณ์อย่างหนึ่ง เมื่อมีคนถามว่าผู้เขียนพักอยู่ห้องเลขที่เท่าไหร่ ผู้เขียนตอบเพื่อให้เป็นโชคดีว่า อยู่ห้องที่เลขรวมกันแล้วได้เลข 9 ค่ะ คนหนึ่งพูดว่า 9 หรือไม่ ไม่สำคัญหรอก สำคัญที่ใครจะก้าวลงหลุมก่อนกัน ฟังแล้วไม่เป็นสิ่งสมควรจะพูด ไม่มีจิตวิทยาเลย

เมื่อผู้เขียนเรียนจบจุฬาใหม่ๆ เริ่มทำงานแห่งแรกที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้เรียนการใช้จิตวิทยาจากผู้บังคับบัญชาคนแรกที่จบการทูตระหว่างประเทศ จึงได้ศึกษาทั้งวิธีการพูด การเขียน และการคิด เพราะเป็นเลขานุการให้ท่านด้วย นับว่าเป็นการเรียนจิตวิทยาภาคปฏิบัติที่สำคัญ นอกจากจะไปเข้าชั้นเรียนจิตวิทยาเป็นบางครั้งด้วย

สรุปความแล้ว การมีจิตวิทยาที่ดี สองคล้องกับกรรมบน 10 ประการที่เป็นแนวทางไปสู่การมีจิตบริสุทธิ์ เพื่อน้อมนำจิตเข้าสู่สมาธิ พระพุทธเจ้าของชาวพุทธนั้นเป็นเลิศในทุกด้าน ทั้งปัญญาและวิจารณญาน หลังจากท่านตรัสรู้ ท่านทรงดำริว่าจะไม่สอน เพราะเป็นการยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจ ท่านเปรียบคนเหมือนดอกบัวที่มีหลายระดับ ทั้งอยู่ในตม ในน้ำ และในแดด ในที่สุดวิธีการเทศนาของพระองค์ท่านก็สามารถช่วยให้บุคคลบรรลุอรหันต์มากมาย จะเห็นจากบทสวดมนต์ที่มักจะซ้ำๆ ก่อนที่จะเริ่มความหมายใหม่ เพื่อให้จำได้ง่ายและนำทางไปสู่บทใหม่ เมื่อ 2,500 กว่าปีมาแล้ว ท่านได้เล็งเห็นจิตวิทยาและมองการณ์ไปไกลกว่า อย่างน้อยคนรักษากรรมบท 10 ประการก็จะมีพื้นฐาน สู่การมีจิตบริสุทธิ์ นับเป็นบันไดจิตวิทยาขั้นแรกของการปูอิฐไปสู่หนทางแห่งการรวมเป็นสมาธิ เพราะเมื่อมีกรรมบททั้ง 10 ประการนั้นไปได้แล้ว จิตก็จะไม่มีกิเลส เป็นจุดมัวหมองแห่งความคิด ความคิดก็ปลอดว่างจากกังวล เข้าสู่ฌานแห่งสมาธิได้

กรรมบท 10 ประการนั้น เป็นแม่บทของการมีจิตวิทยาที่ดี กล่าวคือ เป็นแม่บทแห่งการกระทำ การพูด การคิด การเขียน ที่จะไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อมนุษย์และสัตว์ หรืออีกนัยหนึ่งรวมไปถึงสิ่งมีชีวิตทั้งมวล คือพืชด้วย เพราะถ้าคนซึ่งมีปัญญาเป็นเลิศ ไม่รู้จักเลี้ยงและบำรุงรักษาสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ทั้งคน สัตว์ และพืช ไม่ช้าก็จะสูญชีวิตเอง

ลองมาพิจารณากรรมบท 10 ประการดูว่าเป็นแม่บทของจิตวิทยา ทั้งการกระทำ คำพูด และการคิดอย่างไร

จิตวิทยาแห่งการกระทำ คือไม่ทำร้าย ทรมาน หรือฆ่าสัตว์มีชีวิต

แน่นอน การไม่ทำร้ายสิ่งมีชีวิตทั้งคน สัตว์ และพืช เราก็จะไม่ถูกทำร้ายตอบ เหมือนข่าวที่ตำรวจทำร้ายคน ตำรวจก็ถูกทำร้าย เพราะตำรวจขาดจิตวิทยาในการทำงาน ใช้ความขลาดเป็นเครื่องตัดสินว่าจะถูกทำร้าย เลยฆ่าคนหรือหมาเสียก่อน

ไม่ลักขโมย อยากได้สิ่งของผู้อื่นที่เขามิได้ยกให้ เราเห็นตัวอย่างจากผู้มีอำนาจเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย โกงที่ดิน โกงทรัพย์ของชาติ โกงคำพูดที่ว่าจะให้เงินชาวนาเพื่อให้เขาเอาข้าวมาให้ก่อน

ไม่ผิดทางเพศหรือล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น เช่นพระที่กระทำผิดทางเพศ

ไม่เสพสิ่งแปรสภาพเป็นสิ่งเสพติด ทั้งหมดรวมทั้งสูบ ดูด และดื่ม กับบริโภค ผลที่ตามมาคือบังคับจิตไม่ได้ ถึงขั้นก่ออาชญากรรม ที่เขาบอกว่า สูบกัญชาแล้วจิตเคลิ้ม อยู่ในอีกภาวะหนึ่ง ทำให้เขาอยากสูบอีก การทำให้ประสาทเกิดความเคยชิน ทำให้อยากเป็นเช่นนั้นอีก เป็นภาวะที่ควรหลีก เพราะจะควบคุมการตัดสินใจไม่ได้ มีแต่เสีย เริ่มต้นจากทรัพย์ เสียออกซิเจนที่ร่างกายต้องการ เสียอวัยวะคือปอด หัวใจไม่ได้รับเลือดบริสุทธิ์ที่เซลล์ต้องการ แล้วจะเสพทำไมให้เสีย

จิตวิทยาแห่งการพูด ไม่โกหก เพ้อเจ้อ เหลวไหล ไม่ใช้ภาษาหยาบ ให้สะเทือนใจ ทำร้ายจิตใจผู้อื่น ใครนะบอกว่าโกหกขาวแล้วดี เป็นเรื่องเหลวไหลเพ้อเจ้อมากกว่า นี่เป็นจิตวิทยาที่สำคัญ ก่อนจะพูด สมองส่วนหน้าจะทำหน้าที่ไตร่ตรองแล้วจึงสั่งสมองส่วนล่างให้ปากพูด ถ้าไม่เคยปฏิบัติสมาธิเลย สมองส่วนหน้าด้านบนไม่เคยตรองเลยพูดเรื่อยเปื่อย เกิดเป็นผลเสียแก่ผู้อื่น บุคคลผู้นั้น ไม่มีจิตวิทยา

จิตวิทยาแห่งการคิด ไม่คิดประทุษร้ายใคร ไม่อาฆาต ไม่ทำลายมิตรภาพผู้อื่น

ประการสุดท้ายของกรรมบท 10 ประการคือ เชื่อพระพุทธเจ้าและปฏิบัติตามด้วยดี เพราะเป็นจิตวิทยาที่ดีแห่งการกระทำ การพูด และการคิด ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ตั้งแต่ 2,602 ปีมาแล้ว ยังจำเป็นต้องใช้ในชีวิตปัจจุบันอยู่