สุขภาพและการบำบัด
สดศรี สุริยะฉาย
เรื่องของการใช้พลังจิตป้องกันโรค

จากสถิติประจำวันของภัยสุขภาพจากโคโรน่าที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ในเมืองไทย ที่หลานสาวบอกว่ามีตลาดขายส่งนำผักผลไม้ข้ามจากพม่า คนไปซื้อกันก็ติดโควิดมาสู่ประเทศไทยที่ปลอดโควิดมานาน เดี๋ยวนี้ระบาดไปทั่วเพราะจากคนหนึ่งไปสู่อีกหลายคน เมืองไทยก็เริ่มมีอันตรายจากโควิด ที่เมื่อก่อนองค์การอนามัยโลกเคยยกย่องว่าประชาชนร่วมมือกันได้ดี เดี๋ยวนี้ต้องระวังตัว เพราะผู้เขียนเคยสอนในขั้นเริ่มต้นของวิชาการบำบัดดัวยจักระว่า โควิดอยู่ในอากาศ เมื่อหายใจเข้าสู่ปอด ปอดไม่สามารถกรองอากาศบริสุทธิ์ให้สมอง สมองก็สั่งการให้หัวใจเต้นไม่ได้ ชีวิตก็จบแค่นั้น ปรากฎว่าชั้นเรียนต่อมาเหลือนักเรียนแค่สองคน และคนหนึ่งต้องไปประจำการที่เรือราชนาวีที่ฟลอริดา แล้วเรื่ออับปางไม่รู้หาศพพบหรือเปล่าหลังจากนั้น ตอนแรกบอกว่าไม่พบ

เอาเป็นว่า เรื่องนี้ ต้องพึ่งจิตของตนเองให้ guard ร่างกายให้ได้ คำนี้ แปลเป็นภาษาไทยอาจไม่เท่ากับความหมายที่ร่างกายสามารถป้องกันตัวเองได้ เชื่อไหมว่า ร่างกายมีตัวพิทักษ์และตัวทำงานผลิตสารป้องกันระบบของตัวเอง เริ่มจาก T cells คอยดูว่าอะไรเป็นพิษแปลกปลอมเข้าสู่ระบบร่างกาย แล้วตัว antibody ก็สร้างสิ่งป้องกัน เช่น ป้องกันไวรัสดูดน้ำไปจากเซลล์ เรียกว่าระบบ antioxidant ซึ่งถ้าเซลล์ขาดน้ำ การสื่อสารของเซลล์ก็ยุติ จะทำให้เซลล์ตาย เมื่อชีวิตสื่อสารกันไม่ได้ก็จบแค่นั้น เซลล์สมองของเราทำงานตลอดเวลา เราจะไม่รู้ว่า สมองไม่อยู่นิ่ง คิดตลอดเวลา แม้ยามหลับก็ฝัน ถ้าตราบใดที่สมองทำงาน ร่างกายก็ทำงานไปตามหน้าที่

มาถึงข้อสงสัยว่า ถ้าจิตนิ่ง จะเป็นอย่างไร คือไม่คิด นั่นคือ ภาวะสมาธิ คุณเคยเรียนสมาธิไหม การทำจิตว่าง ไม่คิดอะไร ยกตัวอย่าง ท่านอาจารย์ไพบูลย์ นิสัยสุตานุยุต จากนครสวรรค์เคยสอนสมาธิที่ตึกกรรมฐานของวัดไทย เริ่มตั้งแต่ตีสี่ ซึ่งเวลานั้นสมองยังไม่มีอะไรจะคิด ผู้เขียนนอนที่ตึกกรรมฐาน และตื่นตามเวลา เมื่อท่านเริ่มสมาธิ ท่านสั่งว่า จะส่งดวงแก้วมาให้ทางสมาธิ รับให้ได้นะโยม ใครจะไปรู้ว่าดวงแก้วเป็นอย่างไร รับอย่างไร แต่ผู้เขียนก็ไม่คิดอะไรทั้งสิ้น ทำจิตว่าง จะเปรียบเป็นสมาธิหรือเปล่าไม่รู้ ตัวเองก็ยังไม่จัดว่าเก่งกล้าสมาธิ แต่ก็สามารถเห็นดวงแก้วสีเงินปรากฏประกายระยิบระยับสีเงินที่ดวงตาข้างซ้าย เห็นดวงแก้วสีทองมีประกายระยิบระยับสีทองที่ดวงตาข้างขวา ตรงกลางหว่างดวงตาปรากฎองค์สมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้าทรงดำเนินอยู่ด้วยพระหัตถ์เคลื่อนไหวพร้อมการย่างพระบาท เมื่อจบสิ้นการสมาธิ พระอาจารย์ไพบูลย์ถามว่า เป็นอย่างไร ผู้เขียนก็กราบเรียนท่านตามที่ปรากฏเห็นในสมาธิ ท่านตอบว่า ใช้ได้

ผู้เขียนสอนวิชาการบำบัดด้วยจักระที่โรงเรียนผู้ใหญ่เมืองเบอร์แบงค์ จนกระทั่งโรงเรียนปิดเพราะภาวะโคโรน่าอาละวาด ผู้เขียนเรียนมาจากเมืองไทยสอนโดยคุณย่าเยาวเรศ บุนนาค อายุ 80 ปี ตอนนี้คิดว่า น่าจะเขียนบทความ เผยแพร่ให้เรารู้การป้องกันตัวเองโดยการสร้างสุขภาพจากภาวะจิตอันเป็นสมาธิเพราะเตียงนอนในโรงพยาบาลขาดแคลนอยู่แล้ว และไม่ต้องการให้ผู้คนเจ็บป่วยโดยไม่สามารถช่วยตัวเองได้

การเริ่มต้นทำจิตเป็นสมาธิ ไม่ยากอะไร ดังที่เล่าแล้ว เพียงแต่ทำจิตบริสุทธิ์ มีความเมตตาต่อสรรพสัตว์และสิ่งมีชีวิต แล้วไม่คิดร้าย ที่เรียกว่า โลภ โกรธ หลง

ต่อมา คือไม่คิดอะไรในสมอง ซึ่งปกติจะไม่อยู่นิ่ง ก็ทำให้ว่างเปล่า ไม่คิดเลย

ลำดับต่อไป คือ ทำจิต ณ จุดว่าง ได้แก่ มองไม่เห็นอะไรเลย เมื่อหลับตา ไม่คิดอะไรเลย ในสมอง

ทำจิตนิ่งในภาวะนั้น เฉยอยู่

ถ้าฝึกจิตเป็นสมาธิตอนตี 4 อย่างที่พระอาจารย์ไพบูลย์ เรียกเข้าเรียนสมาธิ ก็มีเหตุผลอยู่ ตอนนั้นมีภาวะความว่างในสมอง ผู้เขียนเป็นนักเรียนคนเดียว ตอนเย็นเพิ่งเอาข้าวไปเลี้ยงแมวที่อยู่ข้างตึกกรรมฐานหลายตัวแล้วก็มีความสบายใจที่ช่วยชีวิตสัตว์ หลังจากนอนที่ตึกกรรมฐาน จิตอิ่มเอิบเพราะเห็นแมวดีใจได้กินอาหารเรียบร้อยแล้วก่อนนอน พอตื่นตีสี่เรียนสมาธิ จิตก็สงบง่าย และได้เห็นสิ่งที่เป็นปรากฎการณ์ครั้งเดียวในชีวิต ที่เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนเสด็จมาเป็นองค์จริง

ผลของการทำสมาธิ ปรากฏดังที่กล่าว จากคำพูดของพระอาจารย์ว่า “ใช้ได้” ก็อยากให้ผู้อ่านทำสมาธิจนใช้ได้ เผื่อจะได้ใช้ป้องกันภัยให้ตัวเองจากโรคภัยไข้เจ็บที่แพทย์และโรงพยาบาลอาจสายเกินไป ตัวของเราเป็น guard ตัวเองได้ดีที่สุด จากระบบการทำงานอัตโนมัติ

การป้องกันภัยให้ตัวเองจากไวรัสที่เล็กมากกว่าแบคทีเรีย นอกจากใส่หน้ากากและถุงมือยามออกจากบ้านแล้ว ก็พยายามไม่ติดต่อกับบุคคลอื่นที่อาจไม่ใส่หน้ากากและถุงมือ นอกเหนือไปจากไม่มีภาวะสมาธิจิตบริสุทธิ์ และสาธารณสุขในครัวเรือน การกำหนดจิตสามารถเลื่อนไปสู่จุดรวมสำคัญอื่นๆ ของร่างกายเรียกว่า จักระ มี 7 จักระ จะช่วยให้การทำงานของแต่ละระบบประสานงานกันได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บที่ครองอยู่ในบรรยากาศทั่วโลกอย่างในปัจจุบัน นอกจากศูนย์รวมจิตที่สมอง ร่างกายมีศูนย์รวมอวัยวะเพื่อการประสานการทำงานอยู่ทั้งหมด 7 แห่ง เรียกว่า 7 จักระ

จักระที่ 7 และจักระที่ 6 สมอง สามารถบำบัดโรคสั่น พาร์กินสัน ความจำเสื่อม สมองเสื่อม ความตั้งใจไม่มีหรือสั้น ทูเมอร์ที่สมอง โรคแห่งต่อมพิจุอิทาริไม่ผลิตฮอร์โมนเพื่อการทำงานทั่วไปของร่างกาย ส่งผลให้ระบบประสาทอีก 12 คู่เสื่อมสมรรถภาพ ระบบการสืบพันธุ์บกพร่อง และระบบประจำเดือนไม่ปกติ

จักระที่ 5 ลำคอ จักระนี้ส่งผลต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ ปอด ทางเดินอาหาร ระบบหายใจ ระบบเสียง ต่อมทอนซิล และโรคภูมิแพ้

จักระที่ 4 หัวใจ ก่อให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจบกพร่อง การหมุนเวียนโลหิตในหัวใจไม่ปกติการเต้นของหัวใจผิดปกติ มีสารเคลือบที่ผนังโลหิตสู่หัวใจ มีไขมันโคเลสเตอรอล มีการหมุนเวียนโลหิตที่ผนังหัวใจอ่อนแอ โรคกระดูกเสื่อม โรคปวดตามข้อ โรคการหมุนเวียนโลหิตไม่ปกติ โรคความดันโลหิตสูง

จักระที่ 3 ศูนย์รวมอวัยวะต่างๆใกล้ระดับเอว เรียกว่า Solar Plexus เป็นภาวะเกี่ยวกับการย่อยอาหาร การดูดซึมสารอาหาร ภาวะกรดไหลย้อน ระบบไต ระบบเลือดไม่สมดุล ความดันโลหิตต่ำ

จักระที่ 2 ช่วงสะดือ ทำงานเกี่ยวกับระบบประจำเดือน รังไข่ ไต กระเพาะปัสสาวะ อัณฑะ ความเป็นหมัน

จักระที่ 1 ช่วงล่างของลำตัว ทำงานเกี่ยวกับมะเร็งและทูเมอร์

นอกจากทำสมาธิเพ่งการบำบัด ณ จักระนั้นแล้ว อาจใช้หินสีที่ตรงกับจักระแช่น้ำในแสงอาทิตย์ 8 ชั่วโมง แล้วดื่มน้ำนั้น ณ ภาวะจิตที่เป็นสมาธิเพื่อการบำบัด