Inside Dara
น้ำตาล ชัดเจนเรื่องรัก คบใครศึกษาจริงจัง

ได้เล่นละคร “มัจจุราชสีน้ำผึ้ง” เรื่องแรกก็กระโดดเป็นนางเอกเลยสำหรับสาว น้ำตาล-พิจักขณา วงศารัตนศิลป์ ที่นอกจากจะมาเสียบแทนนางเอกชื่อดัง แอฟ-ทักษอร เตชะณรงค์ แล้ว ยังต้องประกบกับพระเอกซุป’ตาร์ อย่าง เคน-ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ ด้วย งานนี้เลยต้องรีบจองคิวตัวเธอมาทำความรู้จักสักหน่อย พร้อมทั้งเคลียร์ปัญหาหัวใจที่เข้าวงการมาได้ไม่นานก็มีข่าวกับหนุ่มเพียบอีกด้วย

ถามถึงบทบาทใน “มัจจุราชสีน้ำผึ้ง” หน่อย เรื่องแรกเป็นนางเอกเลย?

“ก็ตื่นเต้นค่ะ เพราะเป็นทั้งละครเรื่องแรกที่ฟอร์มใหญ่ ต้องมาประกบ พี่เคน-ธีรเดช ด้วย เราเองก็ดีใจมากที่ได้มาเล่นกับพี่เคน เพราะติดตามผลงานพี่เคนมาตลอด พอมาเจอพี่เคนตัวจริงน่ารักมาก ให้คำแนะนำเรื่องต่าง ๆ ตลอด ในส่วนการแสดงพี่ ๆ ในกองทุกคนก็จะให้คำแนะนำ และเราเองก็มีไปคุยกับผู้กำกับเยอะหน่อยว่า เขาให้ทิศทางของตัวละครนี้ไปแนวไหน ส่วนพอรู้ว่าต้องมาเล่นแทนพี่แอฟ-ทักษอร นั้น ตาลคิดว่ามันเป็นกระแสข่าวมากกว่า ในส่วนการทำงานไม่ได้รู้สึกอะไร ถ้ากดดันคงเป็นเรื่องของบทบาท เพราะว่าค่อนข้างยากและไกลตัว ต้องร้องไห้เยอะ แต่ทางผู้กำกับก็ปรับบทให้เป็นตัวเรามากขึ้น มีมุมน่ารักสดใสมากขึ้น จริง ๆ คาแรกเตอร์เรื่องนี้ค่อนข้างแตกต่างกับตัวเอง เพราะตาลค่อนข้างที่จะเข้มแข็งมากกว่า และมีมุมร่าเริงสดใสมากกว่า รจนาไฉนเขาเป็นคนที่ค่อนข้างมีชีวิตดราม่า ร้องไห้เยอะมาก เคยมีวันหนึ่งตาลเจอฉากร้องไห้ไป 8 ฉาก ก็เครียดนะ เพราะตาลเป็นคนที่ร้องไห้ไม่ง่ายเลย บทพูดเรื่องนี้ก็ยาวมาก ตัวนางเอกก็เป็นตัวเดินเรื่องด้วย มันก็ยาก แต่ก็โอเคค่ะ ผ่านมาได้”

คาดหวังกับเรื่องแรกมากแค่ไหน เตรียมรับเสียงวิจารณ์รึยัง?

“เรื่องเสียงวิจารณ์ก็เตรียมใจยอมรับ เพราะตอนเราแสดงออกไปไม่สามารถบอกได้ว่าดีหรือแย่แค่ไหน แต่คนดูคือกระจกที่สะท้อนเงาเรา ใครชมก็ถือว่าเป็นกำลังใจให้สู้ต่อไป แต่ถ้าใครติเราก็เอามาปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาให้ดีขึ้น ส่วนเรื่องความคาดหวัง ก็คาดหวังในเรื่องการแสดงที่อยากให้คนดูลุ้นไปกับตัวละคร อยากให้ดูว่าความดีของนางเอกจะเปลี่ยนพระเอกได้มั้ย อยากให้คนดูมาสงสารนางเอกเยอะ ๆ ค่ะ”

เริ่มเข้าวงการมาได้ยังไง?

“ตาลเป็นดาวคณะอยู่ที่ ม.เชียงใหม่ และเป็นเชียร์ลีดเดอร์ เราก็มีรูปทางอินเทอร์เน็ต จนมีผู้ใหญ่มาเห็นและได้มีโอกาสไปถ่ายโฆษณา ก็ทำตรงนี้มาเรื่อย ๆ ตอนแรกตาลอยากถ่ายแค่โฆษณาและนิตยสารทั่วไป เพราะเราเรียนอยู่ที่ ม.เชียงใหม่ ก็ตั้งใจบินไปบินกลับ แต่ทางผู้ใหญ่เรียกมาคุยและลองแคสติ้งบทในเรื่อง “มัจจุราชสีน้ำผึ้ง” นี้ และก็ได้ เราก็ลองดู แต่พอถึงตอนถ่ายทำ เขาต้องถ่ายที่ กทม. และอีกหลาย ๆ ที่ทั่วไทยเลย มันเลยทำให้เราตัดสินใจมาเรียนที่ กทม. ดีกว่า ซึ่งตอนอยู่ที่เชียงใหม่ ตาลเรียนคณะศึกษาศาสตร์ โครงการพิเศษ จบมาเราก็จะได้บรรจุเป็นครูเลย แต่พอเราต้องย้ายที่เรียนก็ต้องลาออกจากโครงการนั้นเพื่อมาเริ่มเรียนใหม่ ตอนลาออกเราก็เสียดายมาก เพราะตาลตั้งใจและรักการเป็นครูมาก แต่เราก็มาคิดว่าถ้าเราเป็นครู แต่ยังมีความรู้ไม่มากพอที่จะไปสอนเด็กได้ ก็ไม่ควรเป็น ดังนั้นเราคงต้องพักตรงนั้นไว้ก่อน อีกอย่างโอกาสในวงการที่ได้มาถ้าเราปล่อยไป มันก็คงเรียกกลับมาไม่ได้อีกแล้ว ก็เลยคิดว่ามาทำโอกาสที่ได้มาก่อนดีกว่า เลยเปลี่ยนมาเรียนที่ ม.ราชภัฏสวนสุนันทา ก่อนจะย้ายมาเรียนที่ ม.รังสิต คณะนิเทศศาสตร์ สาขาภาพยนตร์ ซึ่งตาลคิดว่ามันน่าจะมาปรับใช้ในชีวิตเราได้มากขึ้น ส่วนตัวตาลก็เป็นคนที่ชอบถ่ายรูปอยู่แล้วและอยากจะทำเบื้องหลัง เลยรู้สึกสนุก และก็คิดว่าเราทำงานด้านนี้ก็ได้มาสัมผัสประสบการณ์จริง ดังนั้นเวลาเราสอบ ถ้าเราไม่มีเวลาอ่านหนังสือ เราอาจจะให้พี่ ๆ ทีมงานติวให้ได้ ซึ่งพอทำงานในวงการไปด้วยแบบนี้เรื่องเรียนมันก็แบ่งเวลายากเหมือนกัน แล้วตาลก็เป็นคนที่ค่อนข้างให้ความสำคัญกับการเรียนมาก เลยต้องอาศัยขยันมากกว่าเดิมนิดหน่อย และต้องแบ่งเวลาให้ชัดเจน แบบนี้เราก็แอบเสียดายเวลาในช่วงวัยรุ่นเหมือนกันนะ เพราะชีวิตช่วงวัยรุ่นก็มีแค่แป๊บเดียว แต่พอเรามองอีกมุม เรากลับมีโอกาสได้โตกว่าคนอื่น เราได้ทำงานก็เห็นคุณค่าของเงินและเวลามากขึ้น เลยทำให้เรารู้สึกว่าต้องทำตรงนี้ให้ดีที่สุด แต่ก็ตั้งใจเรียนให้จบ 4 ปีพร้อมเพื่อนค่ะ ซึ่งพอเข้าวงการมาคุณพ่อก็มีเป็นห่วงเหมือนกัน แต่ที่บ้านจะเลี้ยงลูกแบบสนิทกันมาก มีปัญหาแบบผู้หญิงเราก็จะปรึกษาคุณแม่ แต่เรื่องการตัดสินใจต่าง ๆ ก็จะคุยกับคุณพ่อ เลยทำให้เราได้พูดคุยกันตลอด และที่บ้านก็ค่อนข้างจะเชื่อใจด้วย แต่แรก ๆ ที่เข้าวงการเราก็รู้สึกลำบากเหมือนกัน เพราะตาลเป็นคนที่เซ็นซิทีฟกับคำพูดของคน แต่แม่ก็บอกว่าเรามาอยู่ตรงนี้จะเป็นแบบนี้ไม่ได้ เพราะเราเป็นบุคคลสาธารณะ ทุกกระแสสังคมก็เข้ามา”

พอเข้ามาแล้วคิดว่าชีวิตในวงการบันเทิงเหมือนหรือต่างจากที่มองไว้ตอนแรกมั้ย?

“แตกต่างค่ะ ด้วยความที่เราเป็นคนภายนอกที่เสพข่าวมาตลอด ดาราก็มีทั้งข่าวดีและไม่ดี เราก็เชื่อหมด แต่พอเราเข้ามาจริง ๆ และยิ่งได้เข้ามาอยู่ในกองถ่าย ก็เปลี่ยนความคิดไปเลย อย่างพี่เคนที่เราเห็นเป็นซุป’ตาร์ ที่คิดว่าต้องหยิ่ง แต่พอเจอตัวจริงเขาเฮฮามาก เรียกว่าได้เห็นอีกมุมที่ไม่เคยคิดมาก่อน ส่วนเรื่องการปรับตัวในด้านความคิด จากที่เคยเป็นคนคิดมาก ตาลคิดว่าวงการนี้มันทำให้ตาลโตและเข้มแข็งเยอะขึ้น เหมือนปลงว่าดาราต้องมากับข่าวไม่ว่าจะเป็นข่าวดีหรือร้าย ข่าวดีก็ส่งเสริมเรา แต่ข่าวไม่ดีถ้าไม่ใช่เรื่องจริงก็ปล่อยให้มันจบไป ส่วนหลักในการทำงานของตาล ตาลว่าเรื่องการมีสติเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เวลาตอบคำถาม แสดงละคร ทุกอย่างต้องมีสติ และต้องอยู่กับปัจจุบัน นี่คือสิ่งที่ดีที่สุด อะไรที่ผ่านมาถ้าเป็นเรื่องที่ผิดพลาดก็อย่าเอามาตอกย้ำตัวเอง ปล่อยให้มันผ่านไปแล้วทำทุกวันให้ดีที่สุด”

ขึ้นชื่อว่าเป็นนางเอกคนใหม่ของช่อง 3 รู้สึกยังไงบ้าง

“ก็รู้สึกแปลก ๆ เหมือนกัน เพราะไม่คิดว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ แต่เราก็ต้องขอบคุณผู้ใหญ่สำหรับทุกบทบาทที่ยื่นเข้ามา ทุกสิ่งทุกอย่างถือเป็นโอกาสที่ดีมาก ๆ สำหรับตาล ตาลว่าตอนนี้เราต้องแข่งกับตัวเอง นี่คือสิ่งที่ดีที่สุด เพราะการแสดงเป็นศาสตร์ที่ยาก มันอยู่ที่ตัวเรามากกว่า ถ้าเรามัวไปแข่งกับคนนั้นคนนี้ เราต้องทำให้ดีกว่า มันก็ไม่ใช่ เพราะทุกคนมันมีลิมิตของตัวเอง ดังนั้นเราเอาชนะตัวเองและทำหน้าที่เราให้ดีที่สุดจะดีกว่าค่ะ ส่วนอนาคตในวงการ ก็คงทำโอกาสที่ผู้ใหญ่มอบให้ดีที่สุดและเป็นตัวของตาลเองนี่แหละ อยากให้ทุกคนรักในสิ่งที่ตาลเป็นค่ะ”

เห็นว่าตอนนี้กำลังสานสัมพันธ์กับไผ่-พาทิศ?

“กับพี่ไผ่รู้จักมานานตั้งแต่ก่อนเข้าวงการด้วยซ้ำ คือก่อนเข้าวงการ พี่ ๆ น้อง ๆ ตาลเป็นผู้เข้าประกวดดัชชี่เยอะ ครอบครัวตาลก็ไม่แปลกใจนะที่มีข่าวเรากับพี่ไผ่ เรารู้จักกันมานานแล้ว อย่างก่อนหน้านี้ที่เรามีข่าวกับพี่ฟิล์ม-รัฐภูมิ คุณแม่ตาลก็รู้ เพราะเราอยู่โครงการ “เปลี่ยนความดำเป็นความดี” ด้วยกัน ส่วนสถานะกับพี่ไผ่ก็เป็นพี่น้องกันมานาน ไม่มีอะไร คงเป็นช่วงที่ตาลเข้ามาตรงนี้ แล้วไม่ได้ไปไหนกับใคร พอตาลมาอยู่ กทม. เพื่อนตาลมีน้อย พอเราไปไหนมาไหนกับพี่ไผ่เลยถูกจับตามองมากกว่า ถามว่าพี่ไผ่เป็นคนที่เราจะพัฒนาไปเป็นคนรู้ใจมั้ย จริง ๆ ก็คุยค่ะ เป็นคนที่สนิทเหมือนกัน ส่วนพี่ไผ่ตรงสเปกมั้ย คือตาลไม่มีสเปกอยู่แล้ว ตาลเป็นคนง่าย ๆ คุยกันสบาย ๆ และตอนนี้ตาลยังไม่อยากผูกมัดกับใคร ยังมีความเป็นตัวเองสูง ยังใช้ชีวิตไม่เต็มที่และมีอีกหลายอย่างที่อยากทำ และตอนนี้งานและเรียนก็หนัก บางคนมีความรัก ก็มีกำลังใจในการทำงาน คนที่มองความรักเป็นเหมือนชีวิตตัวเอง ถ้าเฮิร์ตก็เฮิร์ตหนัก แต่ตาลไม่ใช่คนที่เป็นอะไรอย่างนั้น”

ล่าสุดก็มีข่าวกับบอย-พิษณุด้วย?

“ก็ไม่มีอะไรค่ะ เพราะเราเป็นพี่น้องกัน เป็นคนเหนือเหมือนกัน อยู่ในกองถ่ายเลยสนิทกันเป็นพิเศษ แต่พี่บอย ก็ขำ ๆ ไป ตัวจริงของพี่บอยหนูก็รู้จัก มีโอกาสได้เจอที่กองบ้าง ก็คิดว่าเขาคงไม่เข้าใจผิดหรอก เพราะหนูว่าพี่บอยคงไม่กล้าไปไหน ถามว่าเพราะเราอยากรักษาภาพนางเอกก่อน เลยไม่อยากเปิดใจรึเปล่า จริง ๆ ตาลเป็นคนถ้าเปิดเผยก็เปิดเลย เพราะความรักมันเป็นสิ่งที่ปิดบังไม่ได้อยู่แล้ว ปิดบังไปก็ไม่มีความสุข แต่ตาลเป็นคนที่จริงจังกับความรัก อยากคบกับใครคนเดียวและไปถึงอนาคตเลย ไม่ใช่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ดังนั้นเราจะคบกับใครต้องดูดี ๆ ก่อน และถ้าคนเข้ามาตอนนี้ เราคบกับเขาโดยที่เราไม่ได้ให้ความสำคัญกับเขามาก ก็ยังไม่อยากให้เขาเข้ามาในชีวิตเลย”

เพิ่งเข้าวงการแป๊บเดียวก็โดนจับตามอง มีข่าวกับผู้ชายเยอะเลย?

“ตาลว่ามันเป็นกระแสมากกว่า ก็โอเคนะ ตาลเองก็โสด มันก็ไม่แปลกที่คนโสดหลายคนมาเจอกัน คนอาจจะคิดว่าปิ๊งกันรึเปล่า แต่ตอนนี้ยังไม่มีอะไรเลย ส่วนกลัวคนมองเป็นคาสโนวี่มั้ย มันก็กลัวนะ แต่ตาลบอกเลยว่าเรื่องความรักตาลเป็นคนชัดเจน ถ้าวันหนึ่งที่มีตาลไม่ปิดบังแน่นอน แต่ถ้าจะพูดว่าคนที่ตาลคุยเป็นคนที่ตาลคบ ตาลก็คงเป็นคาสโนวี่จริง ๆ เพราะตาลก็คุยกับทุกคนเป็นพี่น้อง ยืนยันว่าทุกวันนี้ยังโสด ที่บ้านตาลก็ค่อนข้างหวงด้วย แต่เรื่องรักตาลมีอะไรก็จะบอกแม่ตลอดนะ ใครเข้ามาในชีวิตต้องผ่านด่านคุณแม่อยู่แล้ว เลิฟ มี เลิฟ แฟมิลี่ นะ เพราะตาลถือว่าครอบครัวเป็นอันดับหนึ่ง ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ คนที่อยู่ข้างเราก็คือคุณพ่อคุณแม่ ดังนั้นตอนนี้หัวใจต้องยกให้คุณพ่อคุณแม่ก่อนค่ะ”

ความรักที่ดีในความคิดน้ำตาลต้องเป็นยังไง?

“ต้องเข้าใจซึ่งกันและกัน เป็นกำลังใจให้กัน อันดับแรกคือความเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจ คบกันไปก็ลำบาก และความรักมันต้องไม่ใช่แค่คนสองคน มันต้องเผื่อแผ่ไปยังคนอื่นด้วย ไม่ใช่โลกนี้จะมีแค่ฉันกับเธอ มันเห็นแก่ตัวไป ตอนนี้ตาลก็เปิดใจนะ ก็มีคนเข้ามาคุย แต่ก็คุยเป็นเพื่อนไปก่อน เพราะเรายังไม่อยากโฟกัสมากนัก และตอนนี้ให้เรื่องงานกับเรื่องเรียนก่อน คุณพ่อคุณแม่ตาลทำให้ตาลเชื่อในเรื่องของพรหมลิขิตค่ะ เพราะพ่อเป็นรักครั้งแรกของคุณแม่ เจอกันก็รักกันเลย และก็รักกันมาตลอดตั้งแต่ตอนเรียนประถมจนถึงตอนนี้ เราเลยรู้สึกว่าความรักแบบนี้มันเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบ และตาลก็ต้องการความสมบูรณ์แบบในเรื่องความรักมาก ไม่อยากมานั่งเสียใจและเริ่มต้นศึกษาคนใหม่เรื่อย ๆ ดังนั้นการรักใครสักคนเลยต้องจริงจัง เราเลยต้องขอระยะเวลาในการศึกษาอย่างจริงจัง ไม่อย่างนั้นเราจะไม่รู้

จริง ๆ ว่าเขาเป็นคนยังไงค่ะ ถ้าใครรักตาลต้องรอได้ค่ะ”

เรียกได้ว่าเป็นสาวที่จริงจังในเรื่องความรักมาก ๆ แต่ถ้าใครจะครองหัวใจสาวน้ำตาลละก็ พูดได้คำเดียวว่า รอไปก่อนนะจ๊ะ เพราะอนาคตในวงการของเธอยังอีกไกล จะคบใครเป็นแฟนคงต้องเลือกแล้วเลือกอีกแน่นอน