Inside Dara
‘อำภา ภูษิต’ กลับมาแจ้งเกิดอีกครั้ง แย้ม! รักครั้งใหม่ มีเพื่อนหญิงดูแลหัวใจ

ช่วงนี้ไปไหนมาไหน จะได้ยินคนพูดถึง “ยายแล” ในละคร “ทองเนื้อเก้า” ที่เรตติ้งกำลังมาแรงทางช่อง 3 และนักแสดงอาวุโสสุดยอดคุณภาพ ที่สวมบทนี้ มิใช่ใครที่ไหน เธอคือ “แอ๊ว-อำภา ภูษิต” ที่มีผลงานการแสดงด้านภาพยนตร์มาแล้วหลายเรื่อง และไม่บ่อยนักที่เธอจะรับแสดงละครทีวี ต่อเมื่อรับแล้วแน่นอนว่า บทนั้นต้องไม่ธรรมดา เฉกเช่นบท “ยายแล” ที่ต้องบอกว่า ทำให้ชื่อของ “อำภา ภูษิต” กลับมาแจ้งเกิดอีกครั้ง

เราจึงรีบนัดสัมภาษณ์เธอ เกี่ยวกับงานละครเรื่องนี้ และเรื่องราวในชีวิตในแง่มุมต่าง ๆ ที่บางคนอาจลืมไปแล้ว ขอย้อนกลับไปในอดีต แฟน ๆ รู้จัก “อำภา ภูษิต” จากผลงานภาพ ยนตร์เรื่องอะไร “ฟ้าหลังฝน ของคุณพิศาล อัครเศรณี วันแรกไปถ่ายทำที่หน้ารามคำแหง เราก็ตื่นเต้นบอกเพื่อนมาดูกันนะ เพราะว่าเราถ่ายทำวันแรก เพื่อนก็มายืนดูเป็นแถว เราเองเกิดจากท้องพ่อท้องแม่เราไม่เคยเล่นหนัง จะร้องไห้ยังไง เราก็ยืนร้องไห้ไม่ได้ คุณพิศาลคลานเข้ามาเอาดินสอตีที่เท้า 2-3 ที เราร้องไห้เลย ถามว่าเจ็บมั้ย ไม่ได้เจ็บเลยแต่อาย เพราะเพื่อนมาดูเราเยอะมาก หลังจากนั้นเราเจอคุณพิศาลทีไรน้ำตาร่วงเลยแบบสั่งได้”

พูดถึง “ทองเนื้อเก้า” ตอนนี้ดังมาก ไปยังไงมายังไงถึงมารับบท “ยายแล” “จริง ๆ แล้วไม่ได้ แต่พอวันที่ 9 ธันวาคมปุ๊บธุรกิจกองโทรฯ มา บอกว่ามีละครให้เล่นเรื่อง ทองเนื้อเก้า อีก 2 วันถ่ายเราก็เลยถามไปว่าแทนใครเหรอ เพราะถ้าเราไปเล่นจะมีปัญหากับคนเก่าที่วางตัวไว้มั้ย เขาบอกไม่มี เอาจริง ๆ เรื่องบทตอนนั้นก็ไม่รู้เลยว่าบทจะเป็นยังไง แต่คิดว่าบทต้องแรงแน่ เพราะว่าบทลำยองแรงมาก ซึ่งบทเราป้าจุ๊ (จุรี โอศิริ) กับพี่จิ๊ (อัจฉราพรรณ ไพบูลย์สุวรรณ) เล่นไว้ดีมาก ๆ เราเริ่มมีความรู้สึกว่าเราจะเล่นได้เหรอ ก็บอกเขาไปว่าถ้ามั่นใจในตัวเราก็โอเค แต่ทางทีมงานบอกว่าขอคุยกับทางช่อง 3 ก่อนว่าโอเคมั้ย พอทุกอย่างตกลงปุ๊บ เขาก็ส่งบทมาให้ ถ่ายทำ 3 วันรวดวันละ 20 ฉาก เราก็ทำการบ้านอย่างเร็ว บทเยอะมาก ในเรื่องเราก็จะสอนลำยองให้ดื่มเหล้า เล่นการพนัน เปลี่ยนสามีเป็นว่าเล่น”

หลายคนมองว่าบท “ยายแล” เล่นเป็นตัวเองรู้สึกอย่างไร“จริง ๆ แล้วบอกเลยว่า ปกติเราเป็นคนไม่ค่อยพูด จะนิ่ง ๆ แต่พอจบจากละครเรื่องนี้กลายเป็นว่าเราพูดเยอะ พูดไม่หยุด เหมือนวิญญาณยายแลเข้าสิงมันคงติดมา เพราะอาทิตย์หนึ่งเราต้องสวมวิญญาณยายแล 3-4 วัน แล้วเรื่องนี้ก็ไม่ต้องแต่งหน้า ตอนแรกก็รับไม่ได้ ออกจากบ้านเราก็แอบแต่งหน้าไปนิดๆ แต่พอไปถึงกองถ่ายเขาล้างออกหมดเลย ทำให้ทั้งแก่ทั้งดำ ทำเอาไม่กล้าส่องกระจกเลย แต่เราเข้าใจ เพราะตัวละครตัวนี้จน ชีวิตรันทด ด้วยชีวิตในเรื่องสอนให้ตัวเราเครียด”

บทค่อนข้างแรง มีผลกระทบกับชีวิตจริงบ้างมั้ย “โดนตลอด ไปไหนมาไหนก็มีแต่คนมอง อย่างมีอยู่ครั้งหนึ่งไปเดินมาบุญครอง ไปถามแม่ค้าว่ากระเป๋าใบเท่าไหร่ เขาก็มองเราหัวจดเท้าเลย แล้วพูดกับเราอีแล...พูดประมาณว่ามึงจะซื้อเหรอ ทำเอาเรางงไปเหมือนกันนะ ว่าเขาอินกับละครมากขนาดนี้เลยเหรอ เรารีบบอกว่าดูลำยองแน่เลย ต่อไปจะร้องไห้ให้ยายแล บทไม่ร้ายหรอกหลัง ๆ จะน่าสงสาร แล้วเขาก็มาขอถ่ายรูปเรา ก็แอบดีใจว่าสุดท้ายเราก็ชนะคนดู”

อยากฝากอะไรถึงคนดูบ้าง “เราในฐานะนักแสดงก็เข้าใจว่าคนดูอินกับละคร แต่อยากจะบอกว่าให้ดูกันถึงตอนจบ อย่าเพิ่งติด่าในใจกันไปก่อน แล้วพยายามดูให้จบ เพราะทุกเรื่องของละครจะมีจุดจบแต่ลำยองจะดีชั่วยังไง ผลลัพธ์ก็จะมีให้เห็น อย่างบทยายแลเราเลี้ยงลูกผิด แต่รู้ตัวมีสำนึก แล้วต้องดูว่าเรากลับมาสอนลูกยังไง มีคติสอนใจต้องติดตามกันให้ดี”

หันมาคุยด้านชีวิตส่วนตัวบ้าง ได้ยินว่า กว่าจะมาถึงวันนี้ ชีวิตเจอมรสุมเยอะมาก “เอาจริง ๆ มันก็มีช่วงชีวิตที่ย่ำแย่ เมื่อปี 40 เจอเรื่องร้าย 3 ครั้ง ครั้งแรกลื่นล้มก็มีความรู้สึกว่าเจ็บหลังก็ไปหาหมอ หมอบอกว่าเรามีเนื้องอกที่ปีกมดลูก เราก็ตัดสินใจผ่า หมอที่ผ่าตัดบอกกับเราว่าถ้าทางวิทยาศาสตร์ก็คือเนื้องอก แต่ถ้าทางไสยศาสตร์ก็คือโดนของ เขาบอกกับเราแบบนี้ ผ่าก้อนเนื้อออกมาข้างในก็มีผม หนัง ฟันกราม สุดท้ายตัดสินใจไปหาพระที่วัดชนะสงคราม ท่านก็เลยว่าสิ่งของที่อยู่ในตัวมีคนส่งมานะเป็นหมอเขมร”

“แต่ก่อนที่จะหาพระเราลื่นล้ม ต้องเข้าโรงพยาบาล เห็นคนใส่เสื้อสีแดงตัวใหญ่ๆ เข้ามาทางระเบียงที่โรงพยาบาลมาถึงก็กระชากมือ เราตกใจมากก็เลยเรียกหมอ แล้วขอย้ายห้อง บอกว่าเราเจอผี แต่เขาบอกว่าไม่มี นางพยาบาลก็เลยมานั่งเฝ้าเราถึงขอบเตียง แต่เราคิดในใจว่าเราหลับไม่ได้ เพราะถ้าหลับคนเสื้อแดงตัวใหญ่ ๆ ต้องออกมาแน่นอน หลังจากออกจากโรงพยาบาลมา คุณพ่อก็เสีย เรากลับไปอยู่บ้านก็เห็นอะไรแปลก ๆ ก็ไปเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกอย่างให้รุ่นพี่ที่สนิทฟัง ก็เลยรู้สาเหตุว่าสัมภเวสีเข้ามาอยู่ในบ้านจะเอาชีวิตเรา ก็เลยต้องไปทำพิธีที่วัดชนะสงคราม และวัดเจดีย์กลางน้ำ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หลังจากนั้นชีวิตก็กลับมาดีอีกครั้งหนึ่ง หลวงพ่อบอกว่าเขาตั้งใจจะเอาชีวิตเราแต่จิตเราแข็งกว่า ซึ่งตอนนั้นจิตคุณพ่ออ่อน เขาก็เลยเอาพ่อไปแทน ตอนนี้เราทำบุญให้คุณพ่อตลอด และไม่กินสัตว์ใหญ่ ปฏิบัติธรรมตลอด”

ฟังดู เป็นคนเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ เอามาก ๆ “ใช่ค่ะ อีก 2 อาทิตย์หลังจากเรื่องร้าย ๆ ผ่านไปสามีก็ทิ้ง เขาบอกว่าเราเข้ากันไม่ได้ แต่อย่าไปพูดถึงเลยมันผ่านไปแล้ว ซึ่งเราก็ใช้ชีวิตด้วยกันมา 9 ปี สุดท้ายชีวิตก็ต่างคนต่างไป ตอนที่เราตัดสินใจใช้ชีวิตด้วยกัน ก็คบกันมาเป็นปีนะ ทุกอย่างมารุมกันภายใน 3 เดือน แต่หลังจากนั้นมาถือว่าเราขึ้นสวรรค์ เพราะชีวิตดีขึ้นเรื่อย ๆ”

แต่ถึงอย่างนั้น ชีวิตก็ยังไม่สมหวัง เพราะความรักครั้งใหม่กับเพศเดียวกัน...ก็มีปัญหา “ใช่ค่ะ ในใจตอนนั้นคิดว่าเขาดีกับเราหลาย ๆ อย่าง แต่พอถึงจุด ๆ หนึ่งมันก็ไม่ใช่ วันหนึ่งเรารู้ว่าเขาเปลี่ยนไป เขาเหมือนพยายามทำตัวเป็นฮีโร่ เราก็ทำแต่งานเพราะเป็นช่วงที่ละคร, หนัง เข้ามาเยอะ แต่เขาก็เที่ยวอย่างเดียว เพราะเขาทำอะไรไม่เป็นเลย แรก ๆ เขาก็ขับรถให้เราไปทำงาน แต่หลัง ๆ ก็ไม่ทำ จนต้องตามล่าตามไล่กันตลอดเวลา มีอยู่ครั้งหนึ่งเราไม่สบายเขาก็ไปส่งเราที่โรงพยาบาลแล้วไปเลย เราก็มีความรู้สึกว่าชีวิตเราโดดเดี่ยว ต้องกลับมาสวดมนต์อีกแล้ว ชีวิตหนีจากการสวดมนต์ไปไม่ได้จริง ๆ ชีวิตเหมือนกลับมาเลวร้ายอีกรอบ หลังจากที่คุณพ่อเสียไป 16 ปี ต้องเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง ตอนที่นอนอยู่เราก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินมาทางหัวเตียง แล้วก็ชี้หน้าเรามึงไม่ได้กลับหรอก เราก็ตกใจ เราเห็นโต๊ะกินข้าวที่โรงพยาบาลกลายเป็นโลงศพ อีกแป๊บนึงก็เห็นเป็นผ้าเหลือง ซึ่งเรารู้ทันทีว่าคุณพ่อมาช่วย เพราะก่อนเข้าโรงพยาบาลเราเพิ่งไปทำบุญครบรอบคุณพ่อเสีย 16 ปีที่ผ่านมาความรักเราผิดหวังตลอด ถึงตอนนี้ไม่แล้วชีวิตเราอยู่ได้ด้วยตัวเอง ถ้าอยู่ไม่ได้ก็ปล่อยให้ตายไปเลย”

“ชีวิตค่อนข้างที่จะเต็มที่ ถ้าทำงานก็จะลุยงานอย่างหนัก เวลากลับบ้านเราก็มีภาระที่ต้องทำในบ้าน นั่นก็คือการเลี้ยงลูก เราสอนลูกทุกอย่าง ถามว่าเข้มงวดกับลูกมั้ย เรื่องที่ต้องเข้มงวดก็จะเข้มงวด แต่ก็มีปล่อย ๆ เขาไปบ้าง แม้ชีวิตเราจะบาดเจ็บมาหนัก แต่เราต้องยืนขึ้นให้ได้ เพราะเราต้องรับผิดชอบคนข้างหลัง”

สรุปรักครั้งใหม่ ก็ยังเป็นผู้หญิงใช่มั้ย “ค่ะ เขาเด็กกว่าเรานิดหน่อย เขาเป็นคนมีการศึกษา จะคอยอยู่ข้าง ๆ เรา เรามีอะไรก็ถามเขาจะคอยดูแลอย่างทะลุปรุโปร่ง เขาเป็นเพื่อนคู่ใจเพื่อนคู่คิด คนจะมองแบบไหนเราไม่แคร์เพราะว่าลูกเราเข้าใจ เขาเหมือนเพื่อนเข้าใจกันไม่ต้องแสดงออกอะไรมาก ที่สำคัญคนที่บ้านเข้าใจก็คือจบ ชีวิตตอนนี้ถือว่าสมบูรณ์”

และนี่คือชีวิตยิ่งกว่านิยายของ “อำภา ภูษิต”