Inside Dara
เผชิญหน้าครั้งแรก! เอ พศิน-แตงกวา เปิดใจหลังประกาศหย่าจริงไม่แก้เคล็ด!

21 ต.ค. 2562 18:37 น.หลังจากที่ เอ พศิน ออกมาเปิดใจว่าได้หย่าร้างกับ แตงกวา จิราพร อดีตภรรยาที่มีอายุห่างกัน 22 ปี จนทำให้หลายคนโยงไปถึงสาเหตุที่ทำให้ทั้งคู่เลิกรากันอาจจะเกี่ยวข้องกับมือที่สาม เพราะก่อนหน้านี้มีภาพความใกล้ชิดของ เอ และสาวคนหนึ่งออกมา

ล่าสุด เอ พศิน ได้โฟนอินผ่านทางรายการคุยแซ่บ Show ทางช่องONE 31 ที่มีพีเค ปิยะวัฒน์ และชมพู่ ก่อนบ่าย เป็นพิธีกร พร้อมทั้ง แตงกวา จิราพร ก็มาเปิดใจถึงสาเหตุของการเลิกกันในครั้งนี้

สาเหตุหลักของการเลิกกัน?

เอ : เป็นเรื่องของทัศนคติ น้องเขามีความสามารถนะ มีโอกาสที่ได้ทำงานอะไรมากมาย ถ้าเป็นแม่อย่างเดียวทำไม่ได้ แต่ก็มีการพูดคุยกันว่าถ้าเกิดต้องเดินทาง ต้องใช้เวลาเยอะขนาดนี้ จะดูแลลูกยากนะ ช่วงแรกก็ให้แม่ยายมาดูก่อน แต่ก็ไม่เท่ากับเขาดูเอง เขาเป็นแม่ที่ดี ดีมากด้วย เวลาเขามีทางเลือกที่มันจะเกิดความเจริญก้าวหน้า เขาดูจะก้าวหน้ามากกว่าผมด้วยซ้ำ เราก็เลยตกลงกันว่าถ้าอย่างนั้นเราก็ควรมีอิสระนะที่แบบเราจะเดินทางไปไหน หรือแบบว่าถ้าจะอยู่ในสถานะที่เป็นครอบครัวบางอย่างมันทำยาก

เอกับแตงกวาได้มีโอกาสลองปรับ ลองจูนกันบ้างหรือเปล่า?

เอ : ตลอดเวลาครับ คือเราไม่เคยทะเลาะกัน ผมยืนยันว่าผมเป็นคนใจเย็นมาก ทุกอย่างมีการพูดคุย มีการตกตะกอนกันด้วยสติปัญญา ก็การหย่าเป็นข้อสรุปร่วมกัน เรื่องหย่าแก้เคล็ดเป็นความคิดของผมเองที่เกิดขึ้นในช่วงที่ไปออกรายการโหนกระแส เพราะว่าใจเราอยากจะแข็งแรง เพื่อที่จะดูแลทุกคนโดยที่เขาไม่ต้องทำงาน ความเป็นพ่อถ้าเราจะแกร่งไม่พอ มั่นคงไม่พอในเรื่องของฐานะ เราก็ต้องปล่อยให้เขาแสดงความสามารถ เขาทำได้ดีกว่าเราก็ได้ อันนี้เป็นเรื่องของความก้าวหน้าล้วนๆ ก็เลยสื่อสารแบบนั้นออกไป เราก็อยากให้ทุกอย่างอยู่กับลูก ซึ่งเราก็เข้าใจพร้อมๆ กัน

ดูเหมือนเรื่องจะเงียบ แต่ดันมีกระแสเพราะมีรูปกับสาวปริศนาเข้ามา ซึ่งชาวเน็ตเม้าท์ว่าเป็นสาวคนใหม่ของเรา เป็นมือที่สามจริงหรือเปล่า?

เอ : ผมอยากจัดแถลงข่าวโดยการนัดชาวเน็ตทุกคนที่พิมพ์ข้อความด้วยความไม่เข้าใจ แล้วเข้าใจผิดบ้างอะไรบ้าง มันเกิดจากการปะติดปะต่อเรื่องราว ซึ่งผมว่ามันไม่แฟร์ต่อคนที่เขาไม่ผิด เพราะว่าในไทม์ไลน์ เราแยกทางกันแล้วด้วยดี ต่างคนก็ต่างมีโอกาสที่เราเปิดให้เรามีอิสระในการคบหาแล้วก็เรียนรู้ใครก็ตามที่เข้ามาในชีวิต เราก็มีการปรึกษากันตลอดว่าอย่างนั้นดีไหม อย่างนี้โอเคไหม คือเราคุยกันแบบนี้เลย เราถือว่าเราเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นครอบครัวของลูก

ซึ่งทางผมมีปัญหาตรงที่คนที่เขาเข้ามาในไทม์ไลน์ที่มันไม่น่ามีปัญหาเพราะเราหย่ากันไปนานแล้วก็กลายเป็นถูกกระทบด้วยการตัดสินด้วยการมีภาพของโซเชียล มันไม่ยุติธรรมต่อครอบครัวเขา ทุกคนมีพ่อมีแม่ เพราะฉะนั้นผมต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการออกมาพิมพ์อะไรบางอย่าง อาจจะยาวนิดนึง บางคนก็ด่าว่าผมร่ายยาว สุดท้ายมึงก็เลว แต่ผมก็จำเป็นที่ต้องสื่อสารออกมาด้วยตัวผมเอง ทุกวันนี้ผมยังยืนยันนะว่าผมไม่เคยนอกใจภรรยาตลอดการคบหากัน และผมก็ยึดมั่นในความดีที่ผมทำมาตลอด แต่ถ้าใครจะตัดสินผมด้วยการเรียบเรียงเรื่องราวภาพในโซเชียลเนี่ย อันนี้เราก็ห้ามเขาไม่ได้

ผู้หญิงที่โดนพูดถึงคนนี้เป็นมือที่สามทำให้เรามีปัญหากันหรือเปล่า?

แตงกวา : ไม่เกี่ยวกับเขาเลย เพราะเราเลิกกันแล้ว แล้วพี่เอก็มีสิทธิ์ มันก็เรื่องของเขาแล้ว

แสดงว่าเราก็รู้อยู่ว่าเอคบกับใคร?

แตงกวา : เคยถามว่ามีคนคุยหรือเปล่า หนูก็แค่ถาม แต่ก็ไม่ได้ถามต่อจากนั้น

แล้วหลังจากที่รูปหลุดไป เอกับแตงกวาได้คุยกันไหมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น?

แตงกวา : คุยค่ะ

เอ : ก็คุยครับ ทุกอย่างเป็นเรื่องในครอบครัว แต่พอมีคนเอามาสร้างเรื่องสร้างราว แล้วทำให้คนที่เขาไม่เกี่ยวเดือดร้อน เราก็ทำยังไงให้ทุกฝ่ายเข้าใจ มันก็ยากนะ อย่างรูปไดร์ผมเกิดขึ้นที่พะเยาที่ผมไปงานบุญ แล้วตรงนั้นก็มีคนอยู่เยอะ ก็แอ๊บๆ ถ่ายรูปกันไป คือเพื่อนในเฟซบุ๊กบางคน พอลงเขาไม่ใช่บุคคลสาธารณะ ทุกคนมีเพื่อนก็แคปไปแชร์ไปก็เกิดความเข้าใจผิด

พอรูปหลุดไปคนใหม่ของเราโดนโจมตีในโซเชียลหนักเลย รู้สึกยังไงบ้าง?

เอ : รู้สึกผิดมากที่เขามารู้จักเรา คือการที่เราเปิดตัว เปิดใจที่จะคบใครสักคน คือผมอยู่เป็นครอบครัวมาตลอดผมมีความอบอุ่น ผมมีความสุขกับลูกกับครอบครัวมาตลอด พอวันหนึ่งต้องจบแค่วันเดียวมันก็แย่แล้วก็ต้องมีการปรับจนนิดนึง ใน 3 เดือน ต้องเดินคนเดียวด้วยระยะเวลาที่มันห่างไม่เหมือนเดิมก็ทรมานแล้ว แล้วพอมีคนที่ถามเราว่ากินข้าวหรือยัง ทำอะไรอยู่ ซึ่งเราไม่ได้ถูกถามมานานมาก ซึ่งมันก็เป็นความอบอุ่นอย่างหนึ่งที่เพื่อนจะให้กันได้

แล้วก็การได้รู้จักใครบางคนที่ทำให้เกิดความรู้สึกนี้ผมชัดเจนมาก ผมไปงานบุญที่พะเยาผมก็ให้ทุกคนเห็นว่าผมไป เจ้าอาวาสยังเรียกผมไปแนะนำตัว สวัสดีถ่ายรูปกัน พ่อแม่เขาก็อยู่ ก็ทุกอย่างมันชัดเจนด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว แต่ถูกกวนด้วยสื่อที่มันไม่ยุติธรรม แล้วไม่แฟร์ต่อความจริงใจของเราเลย ตรงนี้ความสัมพันธ์ต้องถอยไปอีกนิดนึงเพื่อดูว่าเขาจะไหวไหมกับการที่ถ้ารู้จักเราเขาต้องเป็นบุคคลสาธารณะ เขาก็มีตัวตนของเขาชัดเจน