Inside Dara
“แอน” เชื่อ “ภูริ” เคียงข้าง ทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี

เรียกว่าใกล้เป็นเจ้าสาวเข้าไปทุกทีแล้ว สำหรับสาว แอน-อลิชา ไล่สัตรูไกล วันนี้เลยต้องจับเธอมานั่งคุยสักหน่อยว่าเตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว รวมทั้งถามถึงเรื่องมุมมองความรัก เส้นทางกว่าจะมีวันวิวาห์ และอนาคตในการใช้ชีวิตร่วมกับแฟนหนุ่ม อย่าง ภูริ หิรัญพฤกษ์ ด้วย


ช่วงนี้มีผลงานอะไรบ้าง

“ตอนนี้ก็มีงานพิธีกร ช่วยรายการ “เจี๊ยบอ้อม” ค่ะ 2 ปีที่ผ่านมาก็หันมาทำพิธีกรเต็มตัว แอนว่าเสน่ห์ของงานพิธีกรคือมันเป็นบุคลิกของตัวเราเอง และก็ได้เจอคนเยอะ ๆ ก็สนุกดี ซึ่งงานในวงการตอนนี้อาจจะเหลือในเรื่องของเบื้องหลัง ที่เริ่มหันมาศึกษาดูบ้าง ก็จะเป็นพวกรายการ ตอนนี้ก็มีช่วยงานภูริ เพราะเขาเองก็มีทำงานเบื้องหลัง และผลิตช่องของตัวเอง และก็มีรีสอร์ทที่ อ.ปาย และกำลังจะมีสร้างโรงแรมด้วย ตอนนี้เราเลยแบ่งเบาภาระเขา เร็ว ๆ นี้ก็จะมีไปเรียนคอร์สการโรงแรม เพราะพอเราสร้างโรงแรมเสร็จก็ต้องทำให้เป็น จะได้บอกคนอื่นได้ ซึ่งแอนคงเริ่มเรียนปีหน้านะคะ เพราะปีนี้ก็วุ่น ๆ เรื่องเตรียมงานแต่งงานด้วย ”


ถามถึงเรื่องการเป็นเจ้าสาวหน่อย เตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว

“ยังไม่ถึงไหนเลย มีแค่เรื่องชุดที่รู้ว่าเป็นแบบไหน แต่การ์ดก็ยังไม่เสร็จ ของชำร่วยก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง มันก็ใกล้เข้ามาแล้ว แต่ตอนนี้ที่แน่ ๆ จะมีแค่ฤกษ์หมั้นอย่างเดียวที่เป็นวันที่ 11 ต.ค. แต่งานแต่งยังไม่รู้ว่าวันไหนค่ะ ส่วนเรื่องงานแต่งงานในฝัน ถ้าเป็นงานหมั้นคงจะเป็นแบบไทยเลย เพราะแอนอยากใส่ชุดไทย ส่วนงานเลี้ยงฉลองที่กรุงเทพฯ ก็คงจะเป็นแบบธรรมดาที่โรแมนติก เรียบง่าย เพราะงานนี้เราจะจัดให้กับผู้ใหญ่ ขอบคุณคนที่เอ็นดูเรา ส่วนงานที่ตั้งใจไว้และเริ่มทำไปแล้วหลายอย่างก็น่าจะเป็นงานที่ภูเก็ต เพราะเป็นแบบกึ่ง ๆ อาฟเตอร์ปาร์ตี้ และก็เป็นงานแต่งงานในฝันของเราจริง ๆที่จะเป็นแบบงานเล็ก ๆ แล้วเราทำทุกอย่างเอง ซึ่งแอนคิดว่ามันน่าจะเป็นอะไรที่โรแมนติกมาก ลึกซึ้งมาก เพราะจะมีแค่เพื่อนสนิทและคนในครอบครัวจริง ๆ”

ตอนนี้เริ่มตื่นเต้นบ้างหรือยัง

“ไม่ตื่นเต้นอะไรเลย เพราะรู้สึกว่ามันยังอีกไกล ก็เริ่มเก็บรายละเอียดไปทีละอย่าง ๆ อย่างงานที่จะจัดที่ภูเก็ตการ์ดเชิญก็ทำเองทุกอย่าง เขียนเองกับมือทีละใบเลยค่ะ เพราะเราตั้งใจจะเชิญแขกแค่ 100 คนสำหรับงานที่นั่น ตอนนี้ก็เริ่มมีปรึกษาเพื่อน ๆ บ้างแล้ว พวกเขาก็มาช่วยเลือกผ้า เลือกของ พาไปดูสิ่งที่อยากได้กัน ทุกคนก็มีไอเดีย ก็พยายามเข้ามามีส่วนร่วม เราก็รู้สึกซึ้งใจ”


หลายคู่มักทะเลาะกันช่วงแต่งงาน เพราะอยากได้ไม่ตรงกัน คู่เรามีบ้างหรือยัง

“ไม่มีเลยค่ะ (ยิ้ม) อาจจะเพราะด้วยความที่เราเป็นคนสบาย ๆ ทั้งคู่ด้วย อยากได้อะไรได้หมด ภูริตามใจหมด แต่แอนเองก็มีถามความเห็นเขานะ เหมือนเรามีตัวเลือกแล้วค่อย ๆ คัดออก จนเหลือสุดท้ายแล้วจึงมาถามว่าเราชอบเหมือนกันมั้ย ก็จบ เพราะทุกอย่างไปในทิศทางเดียวกันหมดค่ะ”


คู่เรามีโมเม้นต์ขอแต่งงานแบบโรแมนติกมั้ย

“ก็มีค่ะ ตอนที่ขอแต่งงานเป็นช่วงที่เราไปดำน้ำและถ่ายรายการกันที่เกาะสิปาดัน เมื่อ ต.ค. ปีที่แล้ว แต่ก่อนหน้านั้น จริง ๆ ภูริมีแพลนจะขอเราแต่งงานแล้ว ที่เกาะนาคาน้อย บ้านของเขา เขาก็ชวนเราไปและก็ชวนเพื่อนเราไปหมดเลย แต่ตอนนั้นมันตรงกับน้ำท่วมพอดี และบ้านแอนก็น้ำท่วม แอนเลยยกเลิกทริป ก็เลยชวดตอนนั้นไป จากนั้นก็ไปถ่ายรายการกันที่เกาะสิปาดัน คือจริง ๆ ถ่ายรายการจบแล้ว แต่เขาหลอกว่าเดี๋ยวขออีกคัตนึงสุดท้าย เพราะวันนั้นเป็นวันลอยกระทง พระจันทร์เต็มดวง เราก็ไปยืนที่ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ตรงกลางทะเล และระหว่างที่ถ่ายอยู่เราก็คุย ๆ กัน อยู่ ๆ ภูริก็ก้มลงไปคุกเข่าแล้วบอกว่าคบกันมานานแล้ว แต่งงานกันนะ แล้วก็ยัดแหวนใส่มือเลย เราก็แบบยังไม่ได้ตอบตกลง เขาก็เหมือนร้องไห้ด้วย ส่วนแอนก็ปลื้ม โอเคขอแล้ว แต่เราไม่มีน้ำตานะ (ยิ้ม) ถามว่าตัดสินใจนานมั้ยในการตกลงรับคำขอ ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้เซย์โอเคค่ะ แต่มันก็เหมือนเลยตามเลย (หัวเราะ)”

คู่เรามีช่วงนึงที่ห่าง ๆ กันไปก่อนจะกลับมาเข้าใจกันอีกครั้ง ตอนที่ตัดสินใจดีกัน คิดมั้ยว่าคนนี้จะเป็นเจ้าบ่าวเรา

“ไม่ได้คิดเลยค่ะว่าจะใช่มั้ย เราก็ทำทุกวันให้มันดีที่สุด เราคบกันมาจนถึงปีที่ 5 เราก็รู้สึกแบบต้องเริ่มคิดจริงจังกับเรื่องความรักมากขึ้น เพราะเราเองก็อายุมากขึ้นทุกวัน ก็ต้องหันมาทบทวนว่าผู้ชายคนนี้เราจะฝากชีวิตกับเขาได้มั้ย เราต้องการให้เขาเป็นคู่ชีวิตหรือเปล่า ช่วงที่ห่างกันก็เหมือนเบรกไปพักนึงให้เขาหันไปถามใจตัวเองด้วยว่าเราเป็นคนที่เขาอยากให้เป็นแม่ของลูกมั้ย อยากเป็นคนที่อยากอยู่ด้วยกันตลอดไปมั้ย และเมื่อเราต่างคนต่างไปคิด ไปใช้ชีวิตส่วนตัว ในที่สุดเราก็คิดได้ว่าคนนี้แหละเป็นคนที่ต้องอยู่กับเรา เราก็เลยกลับมาคบกัน จนมีวันแต่งเร็ว ๆ นี้ คือตอนที่ห่างกันไปเราก็ไม่ได้ทะเลาะหรือเลิกกันนะ เราเป็นการคุยแบบผู้ใหญ่ว่าไปถามใจตัวเองซิว่าเรายังต้องการกันและกันมั้ย ถามว่าตอนที่ห่างกันเป็นอุปสรรคความรักครั้งใหญ่หรือเปล่า จริง ๆ มันก็ไม่ได้ถือว่าเป็นอุปสรรคเลย คือเราคุยกันว่าถ้าลองทำอย่างนี้ดูดีมั้ย เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าจะเดินหน้าด้วยกันหรือหยุดอยู่แค่นี้ เพราะถ้าคบกันไปอีก 5 ปี แล้ว 7 ปีก็ต้องเลิกกัน เพราะไม่ได้มีจุดหมายปลายทางเหมือนกัน ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องมานั่งคบกันให้เสียเวลาค่ะ พอสุดท้ายเราก็ได้ข้อสรุปว่าเราต้องมีกันและกัน อยู่ด้วยกันแบบนี้แหละ ถึงจะมีความสุขมากกว่าที่ไม่มี”


พร้อมหรือยังกับคำว่าชีวิตคู่

“ก็คิดว่าพร้อมนะ มันเหมือนเป็นการเดินทาง เราก็ยังไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเป็นยังไง เราก็ต้องเดินทางไปด้วยกัน เจออุปสรรคก็ต้องช่วยกันแก้ปัญหาทุกอย่างไปพร้อม ๆ กัน และเราก็รู้สึกว่าถ้ามีเขาอยู่ข้าง ๆ ทุกอย่างก็น่าจะผ่านไปได้ด้วยดี”

คุณพ่อคุณแม่มีห่วงหรือแนะนำอะไรบ้างมั้ย

“ไม่มีเลยค่ะ พวกท่านมีแต่ดีใจ เราเองก็โตแล้ว เราก็ต้องเลือกทางเดินชีวิตเราเอง ส่วนเขาก็สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง แต่คุณพ่อก็จะมีเตือนแอนบ้างเรื่องการพูดจาไม่ค่อยรื่นหูนัก เพราะเราไม่ได้พูดจาหวาน พ่อก็บอกว่าบางทีผู้ชายฟังก็ดีนะ ต้องมีบ้าง เราก็บอกพ่อว่าเขารู้อยู่แล้วแหละว่าเป็นไปไม่ได้ที่เราจะพูดแบบนั้น ถ้าพูดเขาก็คงจะคิดว่ามันไม่ใช่”


ณ เวลานี้ยังมีอะไรต้องปรับอยู่มั้ย

“ไม่มีเลยค่ะ เราเป็นคนที่นิสัยค่อนข้างเหมือนกันมาก เป็นคนแบบสบาย ๆ ไม่ได้ต้องจูนอะไรอีก แต่อนาคตไม่แน่นะ ถ้าเรามีครอบครัว มีลูกก็ต้องดูอีกทีว่ามันเป็นยังไง แต่ตอนนี้ที่เราอยู่กัน 2 คน มันก็ลงตัว โอเคแล้วค่ะ”

คู่ของเราเป็นคู่ที่โรแมนติกมั้ย ใครเป็นคนหวานกว่ากัน

“ไม่โรแมนติกเลย แต่เป็นคู่ที่มีความสุข อยู่ด้วยกันแล้วมีเสียงหัวเราะเยอะ ไม่ค่อยมีแบบจู๋จี๋ หวานแหวว แต่ถามว่าใครหวานกว่ากัน แอนว่าไม่หวานพอกัน โดยเฉพาะเรื่องเซอร์ไพร้ส์ภูริยิ่งแย่เลย เซอร์ไพร้ส์ไม่เป็น ความแตกตลอด ส่วนแอนก็มีบ้างค่ะ”

อะไรในตัวภูริที่ชนะใจเรา ทำให้เราอยากใช้ชีวิตคู่กับเขาที่สุด

“เราอยู่กับเขาแล้วเรามีความสุข มีเสียงหัวเราะให้กันทุกวัน เราได้ยิ้มทุกวัน แล้วเขาก็เป็นคนที่ขยันทำงานมาก เราเลยรู้สึกว่าเราก็น่าจะฝากชีวิตไว้กับเขาได้ ส่วนถามว่าตัวแอนต้องปรับอะไรหลังชีวิตคู่ก็อาจจะเป็นเรื่องการงาน อีกหน่อยเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ก็อาจต้องหันมาช่วยแบ่งเบาภาระเขาบ้าง ช่วยธุรกิจเขา แต่เรื่องการทำอาหารนี่แอนไม่เคยคิดฝึกทำนะ เพราะเราทำไม่เป็นเลย สมัยนี้เราเป็นแม่บ้านยุคใหม่ เรามีพี่เลี้ยง มีแม่ครัว แต่ก็อาจจะมีบ้าง เรารู้ว่าเขาชอบทานอะไร เราไปซูเปอร์มาร์เกต ก็จะซื้อมาให้ แต่จริง ๆ ภูริทำอาหารเก่งกว่าแอน เขาทำให้เรากินมากกว่าค่ะ ถามว่าช่วงนี้เขางานหนักเราดูแลยังไง ก็แค่ไม่ทำให้เขาเครียดมากขึ้นเท่านั้นเอง ไม่ทำตัววุ่นวายให้เขาอารมณ์เสีย”


แล้วสิ่งที่เขาทำให้เราประทับใจ จนไม่มีวันลืมมีบ้างมั้ย

“ไม่มีค่ะ (หัวเราะ) คือเราประทับใจเขาตลอดนะ เหมือนเราก็ยังตื่นเต้นทุกครั้งที่เจอเขา อย่างเขามารับที่บ้านเพื่อไปทานข้าวด้วยกัน เราก็ยังรู้สึกว่าต้องแต่งตัวรอเขาอยู่”


คิดเรื่องการมีทายาทหรือยัง

“ภูริอยากมีลูกเลย เราก็พร้อมนะ อยากจะเป็นคุณแม่ เพราะเห็นเพื่อน ๆ ก็มีลูกหมดแล้ว อยากมีเป็นของตัวเองบ้าง แอนอยากได้ลูกผู้ชายค่ะ เพราะรู้สึกว่าจะได้กอดรัดฟัดเหวี่ยงได้ง่ายกว่าเด็กผู้หญิง เด็กผู้หญิงมีห่วงเยอะด้วย จริง ๆ เราก็ช่วยเลี้ยงลูกคนอื่นมาเยอะแล้ว ก็คิดว่าน่าจะโอเค เพราะแอนก็รักเด็กตัวเล็ก ๆ ซึ่งแอนอยากมีคนเดียวแต่ภูริอยากมีสองคน ก็เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีค่ะ”


ท้ายที่สุดคำว่าครอบครัวที่กำลังจะสร้างร่วมกับภูริต้องเป็นยังไงในคำจำกัดความของเรา

“มีความรักให้กันตลอด เวลาที่เราไปเที่ยวทะเลเราก็มองคนที่อายุแล้วเดินจูงมือกัน สามารถหัวเราะไปด้วยกันได้ เราก็อยากเห็นภาพของเราเป็นแบบนั้นด้วย อย่างทั้งเขาและเราก็มาจากครอบครัวที่พ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เลยรู้สึกว่าการที่พ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกันก็ไม่ได้ทำให้เราเป็นคนไม่ดี เรายังรู้สึกว่าพ่อแม่ก็ให้ความรักเราเต็มที่ ฉะนั้นถ้าเรามีลูก เราก็พยายามทำครอบครัวเราให้ดีที่สุด ดูแลลูกให้ดีที่สุด แต่ต่อให้มีลูกแล้ว ความรักที่มีต่อลูกก็ยังต้องแบ่งให้กันด้วย ไม่ใช่แบบมีลูกปุ๊บจะเทความรักให้ลูกอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องไม่หมดรักกันและกัน อยู่ไปจนแก่เฒ่าก็มีความรักให้กันเสมอค่ะ”


หวานกันแบบนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่างานแต่งของสาวคนนี้จะโรแมนติกและสวยงามแค่ไหน ยังไงก็ขอให้ทั้งคู่มีทายาททันใช้สมใจนะ.