Inside Dara
ปริศนาฟ้าผ่า ปมเหตุ “เจ๊ฉอด” พ้น Gmm 25

ยังไม่ทันที่ คสช. จะมีมติใช้ ม. 44 เพื่อต่อลมหายใจช่องทีวีดิจิทัล เหตุเพราะมีหลายเสียงทักท้วง ด้วยเกรงว่าจะเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนบางราย แต่ดูเหมือนว่ามีบางช่องที่เกิดเริ่มมีการขยับปรับเปลี่ยนภายในกันบ้างแล้ว เพราะอาจจะไม่อยากฝากความหวังลมๆ แล้งๆ กับสิ่งที่ไม่รู้จะเกิดเมื่อไร ?

แต่ในความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดทั้งปวง ก็คงไม่สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งวงการ เท่ากับข่าวคราวที่ “เจ๊ฉอด-สายทิพย์ มนตรีกุลฯ” แม่ทัพหญิงคนเก่ง มีเหตุให้หลุดจากบัลลังก์ผู้บริหารของช่อง Gmm 25

“จริงๆ เราจะมีการปรับเรื่องโครงสร้าง เนื่องจากจะมีกลุ่มผู้เข้ามาถือหุ้นได้เข้ามาคุย กันเรื่องการปรับโครงสร้างต่างๆ ขณะเดียวกันเราตระหนักว่าความสำคัญ ที่สุดของธุรกิจ บันเทิงในวันนี้คือเรื่องของคอนเทนต์ ในขณะที่ช่องและแพลตฟอร์มต่างๆ มีมากมาย ความสำคัญที่สุดอยู่ที่การทำคอนเทนต์ แล้วค่อยไปสู่แพลตฟอร์มต่างๆ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ไปอยู่ช่องใดช่องหนึ่งเท่านั้น

วันนี้บทบาทหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของเราที่ได้รับมอบหมาย อย่าไปคิดเรื่องตำแหน่ง มันเป็นเรื่องหัวโขน แต่ภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบจริงๆ คือเรื่องบริหารจัดการคอนเทนต์ดีๆ ในทุกๆ รูปแบบ

ส่วนที่ว่าโดนปลดต่างๆ นานา ตอนนี้โดยตำแหน่งที่ได้รับมาสำหรับ จีเอ็มเอ็ม แชนแนล เทรดดิ้ง ซึ่งเป็น Holding company มีแกรมมี่ถือหุ้น 50 เปอร์เซ็นต์ และทางกลุ่มสิริวัฒนภักดี อีก 50 เปอร์เซ็นต์ จะมีคุณไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม เป็นประธานกรรรมการ และมีคุณฐาปน สิริวัฒนภักดี เป็นประธานกรรมการบริหาร ตอนนี้ตำแหน่งเราเป็นรองประธานกรรมการ นั่นก็คือเป็นรองจากคุณไพบูลย์ จะคอยดูแลในเรื่องของส่วนดูแลต่างๆ มากขึ้น นี่แหละค่ะคือ สิ่งที่พยายามปรับปรุงกันไป ด้านภาระเรื่องคอนเทนต์ในแง่ของละครและรายการ เป็นสิ่งที่ต้อง หาวิธีพัฒนาและสร้างคอนเทนต์ให้ได้มากที่สุด”

ถ้าถอดรหัสจากคำสัมภาษณ์ข้างต้น เห็นได้ว่าตัวเจ๊ฉอดเอง พยายามที่จะกันตัว เองจากคำครหาของสังคมที่มองการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ว่าเป็นการถูกปลด ในลักษณาการ ที่ทำให้คนมองว่าตำแหน่งใหม่ที่ว่านั้นมีความสำคัญ และเหนือกว่าตำแหน่งเดิม

คำถามคือคอนเทนต์สำคัญกว่าช่องจริงหรือ !!??

เพราะต่อให้คอนเทนต์สำคัญแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจสำคัญไปกว่า ช่องทางที่จะนำพา คอนเทนต์ เหล่านั้น ไปยังกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งในกรณีนี้ ก็คือบรรดาช่องทีวีทั้งหลายนั่นเอง

ต่อให้เจ๊ฉอดทำละครได้เลิศเลอเฟอร์เฟกต์ขนาดไหน แต่ถ้าไม่มีช่องทางให้ออก ก็เปล่าประโยชน์ !!

และในมุมกลับกัน จากที่เมื่อก่อนคุมผังรายการทั้งช่อง มีอำนาจสิทธิขาด ในการเลือกคอนเทนต์มาลง กลับกลายเป็นฝ่ายที่ต้องผลิตคอนเทนต์เพื่อไปเสนอช่อง สถานะแทบจะไม่แตกต่างจากโปรดักชัน เฮ้าส์

อีหรอบนี้เจ๊ฉอดจึงหนีไม่พ้นที่จะโดนมองว่า ถูกเชือด...นิ่ม...นิ่ม ตามสไตล์ของ นักธุรกิจ ที่เมื่อพิจารณาว่าหน่วยงานใดไม่ก่อให้เกิดรายได้ ก็มีการปรับเปลี่ยน

เสมือนการสละอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิต

ยิ่งถ้านำอันดับของเรตติ้งช่องทีวีมาเป็นดัชนีชี้วัด ยิ่งมองเห็นถึงความล้มเหลวของช่อง Gmm 25 ได้อย่างชัดเจนเพราะเป็นช่องที่วาง Position ตัวเองเป็นช่องบันเทิงวาไรตี้ ที่ไม่เคยมีเรตติ้งติด Top 10 ขณะที่ช่องบันเทิงอื่นๆ ส่วนใหญ่จะรั้งอยู่ในอันดับ 1 ถึง 6 เท่านั้น

เมื่อเรตติ้งไม่ติดโผ ก็ย่อมส่งผลโดยตรงการตัดสิน ซื้อโฆษณาของบรรดา เอเจนซี่ ทั้งหลาย เมื่อไม่มีรายได้จากค่าโฆษณา ก็กระทบไปถึงเงินทุนหมุนเวียน ที่จะนำมาใช้ในการ บริหารช่องก็ย่อมร่อยหรอตามไปด้วย นั่นจึงเป็นปฐมบทแห่งการที่จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ตัดสินใจขายหุ้นสัดส่วน 50% คิดเป็นมูลค่า 1,000 ล้านบาท ในบริษัท จีเอ็มเอ็ม แชนแนล เทรดดิ้ง ที่บริหารดูแลธุรกิจมีเดีย คือช่องทีวีดิจิทัล GMM 25 และวิทยุ เอไทม์มีเดีย ให้กับกลุ่มสิริวัฒนภักดี หรือกลุ่มเบียร์ช้าง เป็นผู้ถือหุ้นรายใหม่ ไปเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2560

ว่ากันว่าโดยความตั้งใจแต่แรกของกลุ่มเบียร์ช้าง ไม่ได้หมายมั่นว่าจะเข้า มาบริหาร ช่องแต่ที่ควักกระเป๋าซื้อหุ้น ไว้ครึ่งหนึ่งนั้น ว่ากันว่าเพื่อบล็อกคู่ต่อสู้ ไม่ให้เข้ามาซื้อสื่อใน เครือนี้ได้ อีกทั้งยังอาจจะเป็นการสกัดกั้นศิลปินเบอร์ใหญ่ๆ ในค่ายไม่ให้ไปร่วมงาน กิจกรรมของสินค้าคู่แข่งได้อีกด้วย ในครานั้นจึงมีการตกลงกันภายในว่าเจ๊ฉอดยังคง สามารถนั่งเก้าอี้บริหารต่อไปอย่างน้อยๆ ก็ไม่ต่ำกว่า 5 ปี (2560-2565)

ที่ไหนได้ ยังไม่ทันครบขวบปีเลย ฟ้าก็ผ่าฟาดเปรี้ยงลงมาเสียแล้ว

นั่นแสดงว่าผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ไม่พึงพอใจในผลงานอย่างใหญ่หลวง หลายคนพุ่งเป้าไป ที่เรื่องเรตติ้งเป็นลำดับแรก เพราะตลอดทั้งปี 2560 ดูเหมือนว่ายังไม่มีละคร หรือรายการใด ในช่อง ที่มีเรตติ้งเป็นที่น่าพึงพอใจ

เพราะละครที่ได้รับความนิยมสูงสุดของช่อง อย่าง “รักออกแบบไม่ได้” ยังทำเรตติ้ง ไปได้แค่ 0.914 ขณะที่เรตติ้งของช่อง ก็ยังคงย่ำอยู่ที่อันดับที่ 14

มองในมุมของนักลงทุน แม้ว่ากลุ่มเบียร์ช้าง จะร่ำรวยเป็นพันล้าน หมื่นล้าน ก็ตามที แต่ก็ไม่ใช่วิสัยที่จะยอมให้เงินไหลออกๆ แบบมองไม่เห็นอนาคต

แต่เรื่องเรตติ้งอาจจะไม่ใช่ชนวนแตก-หักที่แท้จริง

ว่ากันว่าสาเหตุหลักๆ น่าจะมาจากเรื่องของระบบบริหารจัดงานเกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ โดยเฉพาะการเบิกจ่ายค่าโปรดักชั่นต่างๆ ที่ไม่สมเหตุสมผล และอย่าลืมว่าเรื่องแบบนี้ สำรวจตรวจสอบกันไม่ยาก โดยเฉพาะมีช่องในเครือเดียวกันอย่างช่องวัน มาเป็นตัวเทียบ ก็ยิ่งมองเห็นได้อย่างชัดเจน

ว่ากันว่าบอร์ดบริหารเองก็เคยนำเรื่องนี้มาปิดห้องประชุมเครียด และมีการให้นโยบาย ไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่สุดท้ายเมื่อไม่มีการปรับเปลี่ยน แก้ไข ก็จำเป็นที่จะต้องลงดาบกัน ไปตามระบบระเบียบ

เบื้องต้นมีการระบุว่า “บุษบา ดาวเรือง” จะมานั่งรักษาการณ์แทน ในตำแหน่งเดิม ของเจ๊ฉอด แต่ก็มีการคาดเดาว่าคนที่จะยึดครองเก้าอี้ตัวนี้อย่างจริงๆ จังๆ มีแนวโน้มว่าอาจ จะเป็น “ชาลอต โทณวณิก” เพราะนอกจากจะมีชื่อเป็น บอร์ดบริหารของกลุ่ม เบียร์ช้าง อยู่แล้ว ยังเคยบริหารบริษัทบันเทิงอย่างมีเดีย ออฟ มีเดียส์มาก่อนอีกด้วย

วนกรณีของเจ๊ฉอด ที่ออกปากว่าขยับขึ้นไปดูนโยบายการสร้างคอนเทนต์เป็นหลักนั้น ก็ต้องมาจับตามองกันต่อไปว่าจะผลิตผลงานอะไรออกมาให้เป็นที่พูดถึง และจดจำได้มาก น้อยขนาดไหน !!???

งานนี้บอกเลยว่าเดิมพันสูงมากจริงๆ