Inside Dara
แพทย์แผนไทย ช่วยให้กลับมา‘อวตาร’ในร่างใหม่หัวใจดวงเดิม

"หมอต้น" นิพันธ์พงศ์ พานิช ผู้ก่อตั้งและเจ้าของ "อวตารคลินิก" แพทย์แผนไทย แบรนด์ไทย แบรนด์แรกที่ขึ้นห้าง และเป็นแบรนด์ไทยที่อยากเข้าสู่สากล อยากเข้าถึงทุกคนทุกกลุ่ม อยากสร้างความแตกต่างจากแพทย์ไทยที่เคยไว้เครา ผมขาว แต่งตัวไทยๆ มาเป็นเสื้อผ้าสีสันสดใส เข้าถึงคนทุกเพศทุกวัย อยากเปลี่ยนโลกให้สดใส อยากให้คนไทยทุกคน "อวตาร"

หมอต้น เล่าว่า เรียนจบบอร์ดด้านความสวยความงามจากสหรัฐอเมริกา แต่กลับมาบริหารธุรกิจ "นำเข้าเครื่องเสียงรถยนต์" ซึ่งเป็นกิจการของครอบครัว รวมทั้งลงมือทำเองเพื่อให้ลูกค้าประทับใจ ต้องปรับจูนเครื่องเสียง มุดเข้ามุดออกใต้ท้องรถกับกระโปรงหลังรถ เพื่อการจูนเสียง ใช้ร่างกายทำงานหักโหมเกินไป นอนไม่เพียงพอ อยู่มาวันหนึ่งตื่นเช้ามาแขนซ้ายไม่มีแรง ยกไม่ได้ โดยไม่รู้สาเหตุ ต้องรีบไปหาหมอ ผลเอกซเรย์ออกมาพบว่า กระดูกคอข้อที่ 3 (C3) หายไปเกือบครึ่ง หมอต้องรักษาด้วยการผ่าตัดใส่เหล็กดาม ถ้าการผ่าตัดสำเร็จ เขาต้องไปทำกายภาพบำบัดสัปดาห์ละครั้ง แล้วห้ามใช้ชีวิตโลดโผน และอีกมากมายที่ไม่สามารถทำได้เหมือนเดิม หรือถ้าการผ่าตัดไม่สำเร็จ เขาอาจจะเป็นอัมพาต นอนเป็นผัก ไม่ฟื้นไปตลอดชีวิต

"ผมตกใจมาก เหมือนชีวิตตกเหว เพราะการผ่าตัดเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เป็นเรื่องใหญ่มาก ต้องเตรียมตัวทั้งคนไข้และทีมแพทย์ และห้องผ่าตัด ผมตอบหมอไม่ได้ สมองผมชาไปหมด คิดอะไรไม่ออกเลย เพราะผมเป็นเสาหลักของบ้าน เป็นลูกชายคนโต ต้องแบกรับทุกอย่าง พ่อแม่ ครอบครัว จะอยู่กันอย่างไร คิดไปสารพัด หลังกลับมาบ้าน ผมไม่บอกใคร แต่มานึกถึงความรู้เกี่ยวกับเรื่องความงามที่ผมเรียนมาจากอเมริกา นึกถึงสารสกัดจากธรรมชาติที่ได้จากพืชใช้ในวงการความสวยความงาม เพราะสารเคมีมีผลข้างเคียงมาก ผมนึกถึงสมุนไพรไทยที่มีของดีๆ อยู่เยอะแยะมากมาย เมื่อถึงที่สุดแล้ว ผมก็ต้องผ่าตัดอยู่ดี งั้นผมขอหาวิธีรักษาแบบอื่นก่อน ผมจึงกลับมาศึกษาเรื่องสมุนไพร ตำรับยาไทย และอื่นๆ อีกมากมาย ออกกำลังกาย นวดบำบัด เพื่อพยายามหาทางรักษาตัวเอง ก่อนที่จะตกลงใจผ่าตัด"

ในที่สุดเขาไปค้นพบ "ดัชนีบำบัด" จากอินเทอร์เน็ต เป็นการนวดผสมผสานระหว่างรัสเซียกับทิเบต เป็นการนวดที่เจ็บที่สุดในชีวิต ช่วงนั้นเลิกทำงาน หาวิธีรักษาตัวเองทุกตำราที่มี เล่นกีฬา เข้าฟิตเนส และนวดทุกอย่างที่สามารถช่วยให้อาการดีขึ้น จนกระทั่ง 3 เดือนผ่านไปตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ เขากลับไปหาหมอคนเดิม โรงพยาบาลเดิม ไปเอกซเรย์ใหม่ หมอตกใจและแปลกใจมาก เมื่อนำฟิมล์เอกซเรย์เก่ามาเทียบฟิล์มใหม่ ปรากฏว่า กระดูกคอข้อที่ 3 กลับมาเต็มเหมือนเดิม หมอถามว่า ไปทำอะไรมา เขาตอบหมอไปว่า รักษาด้วยวิธีแบบไทยๆ ตำรับยาไทยที่ค้นคว้าด้วยตัวเองบ้าง จากตำรายาโบราณบ้าง จากการนวดแบบต่างๆ รวมทั้งการออกกำลังกาย

สรุปว่า นิพันธ์พงศ์ ได้กระดูกคอข้อที่ 3 กลับคืนมาโดยไม่ต้องผ่าตัดดามเหล็ก แต่เป็นการรักษาด้วยตัวเองจากวิธีแบบไทย เหลือเชื่อจริงๆ

ด้วยเหตุนี้ หมอต้น จึงหันมาให้ความสนใจเรื่องการรักษาแบบไทยอย่างจริงจัง โดยไปลงเรียนคณะแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ในวัย 35 ปี เพราะคิดว่า จะนำความรู้จากสมุนไพรไทย และการรักษาแบบแพทย์แผนไทยมาใช้รักษาคนไทยให้หายจากอาการป่วย หมอต้นเล่าว่า ตอนลงเรียนก็ไม่คิดว่าจะเรียนยาก วางแผนว่า กลางวันไปเรียน ช่วงเย็นกลับมาทำงานตามปกติ แต่กลายเป็นการเรียนที่ยาก และต้องให้เวลากับการศึกษาอย่างเต็มที่ เป็นเหตุให้ธุรกิจนำเข้าเครื่องเสียงรถยนต์ขาดทุน และปิดกิจการไปในที่สุด เขาเรียนจบในเวลา 4 ปี จากนั้นก็ไปสอบใบประกอบโรคศิลปะ เภสัชกรรมไทย เวชกรรมไทย ผดุงครรภ์ หัตถเวชกรรมไทย

นอกจากธุรกิจนำเข้าเครื่องเสียงรถยนต์จากสหรัฐอเมริกาแล้ว หมอต้น ยังมีกิจการโรงงานผลิตอาหารเสริม เวชสำอาง และผลิตอาหารเสริมให้แก่หลายแบรนด์ ในช่วงปี 2547-2550 ธุรกิจประเภทนี้รุ่งเรืองมาก จนลืมเรื่องแพทย์แผนไทยที่ไปเรียนมาไปช่วงหนึ่ง แต่เมื่อตลาดเครื่องสำอาง ความสวยความงาม และอาหารเสริมเริ่มถดถอย เพราะเศรษฐกิจดิ่งลง รวมทั้งคลินิกความงามที่มีอยู่ ก็ย้ายเข้าไปอยู่ในห้างสรรพสินค้าต่างๆ เขาจึงเริ่มหันมามองเรื่องการแพทย์แผนไทยที่ไปร่ำเรียนมาอีกครั้ง

"ผมรอดตายเพราะแพทย์แผนไทย จากตำรายาไทย รวมทั้งได้ไปพบปะกับครูแพทย์ไทยที่มีความสามารถในการรักษาเป็นเลิศ จึงลองหันมาเปิดคลินิกแพทย์แผนไทยแห่งแรก โดยใช้คลินิกเสริมความงามเก่า เป็นสถานที่รักษาคนป่วย เป็นโมเดล คิดค่ายาทุกตำรับราคา 350 บาท ที่ผมเรียนมา ยาสมุนไพรไทยต้องขึ้นตำรับหลายอย่างในหม้อเดียว มีหลายสิบตัว ยาเดี่ยวโบราณไม่สอน ผมยึดยาไทยที่เป็นภูมิปัญญามาแต่โบราณ ตั้งสมัยสุโขทัย อยุธยา ทุกคัมภีร์มีแต่ตำรับยา ไม่มียาเดี่ยวใดๆ เลย แม้แต่ยุคใหม่ๆ ก็เป็นตำรับยาทั้งสิ้น"

หมอต้น บอกว่า วันแรกที่เปิดคลินิกแพทย์แผนไทย มีคนไข้มารักษา 5 คน จากนั้นคนไข้ก็เพิ่มขึ้นจาก 5 เป็น 50 เป็น 100 และสูงที่สุด 475 คนต่อวัน จากการบอกเล่าปากต่อปาก คนแรกรักษาหายก็พาคนอื่นมา คนในครอบครัว เพื่อน ญาติพี่น้อง มารักษาต่อ จนเป็นที่ร่ำลือโดยที่ไม่ต้องทำการตลาดเพื่อโฆษณาคลินิกเลย เปิดคลินิกไม่ได้หวังรวย แต่อยากช่วยคน เพราะตัวเองรอดตายจากตำรับยาไทย อยากช่วยคนไทยให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ จากตำรับยาไทยบ้าง จากเดิมเปิดคลินิกที่เดียวก็ขยายมาเปิดสาขาที่ 2 บางหมู่บ้านเหมารถกันมาทั้งหมู่บ้าน ต้องเปิดคลินิกตั้งแต่ ตี 4 ตรวจตั้งแต่ตี 5 จนถึงตี 1 ของอีกวัน ช่วยคนให้หายจากอาการป่วยได้เยอะมาก

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เป็นเวลากว่า 2 ปี คลินิกแพทย์แผนไทยของ หมอต้น ภายใต้ชื่อ "อวตารคลินิกแพทย์แผนไทย" มีทั้งหมด 8 สาขา ได้แก่ ซอยท่าข้าม-พระราม 2, เทสโก้ โลตัส สาขาคลอง 7 จ.ปทุมธานี, เทสโก้ โลตัส สาขาลาดพร้าว, เทสโก้ โลตัส สาขาบางนา, เทสโก้ โลตัส สาขาบางกะปิ, เทสโก้ โลตัส สาขารัตนธิเบศร์, ซอยวัดกู้ ปากเกร็ด จ.นนทบุรี อวตารคลินิก จ.นครศรีธรรมราช อวตารคลินิก จ.ชุมพร และภายใต้ชื่อ "กานต์ชนก คลินิก" อีก 2 แห่ง ได้แก่ จ.เพชรบุรี และ อ.หลังสวน จ.ชุมพร

"อวตารคลินิกแพทย์แผนไทย" ทุกสาขา ผ่านการตรวจรับรองจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีแพทย์แผนไทยที่จบการศึกษาแพทย์แผนไทย ระดับปริญญาตรี ประจำทุกสาขา มีหมอจัดกระดูกแบบไทย หมอนวดตอกเส้น โดยตัวเขาเองมีตารางเวลาในการออกตรวจตามคลินิกสาขาทั้ง 7 วัน มีคนป่วยมารอรับการรักษาทุกวัน และนับวันจะมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่มารักษาหายแล้ว ก็กลับไปบอกเล่าให้คนอื่นฟัง และก็ชักชวนกันมารักษามากขึ้น

"คนไข้ส่วนใหญ่เคยไปรับการรักษาแผนปัจจุบันมาก่อน บางคนรักษาไม่หาย หรือไม่มีทางรักษาหาย หรือจะเสียชีวิตแล้ว จึงกลับมาหาแพทย์ทางเลือก มารักษากับแพทย์แผนไทย ยาไทย ผมอยากให้รัฐบาลไทยส่งเสริมการรักษาด้วยการแพทย์แผนไทยเหมือนกับประเทศจีนบ้าง ปัจจุบันแพทย์แผนไทยแทบจะไม่มีที่ยืนในเมืองไทย ไม่ได้รับการเหลียวแล และมักจะเป็นทางเลือกสุดท้ายของคนป่วยที่สิ้นหวังกับการรักษา ผมรอดตายมาจากแพทย์แผนไทย และไม่คิดที่จะใช้วิชาความรู้ทางการแพทย์แผนไทยมาหาเงิน ถูกดูถูกต่างๆ นานา แต่จนถึงวันนี้ ผมพยายามผลักดันให้การรักษาด้วยการแพทย์แผนไทยเป็นที่ยอมรับในสังคม ดันคลินิกเข้าห้าง สร้างความทันสมัย และสร้างสีสันให้ตัวเองและทีมงาน ด้วยการแต่งกายด้วยสีสันสดใส ให้บริการด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เพื่อให้คนป่วยมีสภาพจิตใจดีขึ้น อยากให้คนป่วยที่เดินเข้ามาหาผม หายป่วย ยิ้มแย้ม สดชื่น แข็งแรงกลับบ้าน ด้วยยาไทยและฝีมือของแพทย์แผนไทย"

หมอต้น อยากเรียกร้องให้รัฐบาลสนใจเด็กรุ่นใหม่ๆ ที่เรียนจบการแพทย์แผนไทย ให้มีที่ยืนในสังคมไทย เพราะเด็ก 3 รุ่นหลังที่เพิ่งเรียนจบปริญญาตรีแพทย์แผนไทยจากมหาวิทยาลัยของรัฐ และสอบใบประกอบโรคศิลป์ผ่าน แต่หน่วยงานภาครัฐไม่ออกใบประกอบโรคศิลปะให้ ต้องไปสมัครเป็นพนักงานตามโรงพยาบาลต่างๆ ที่เปิดคลินิกแพทย์ทางเลือก หรือคลินิกแพทย์แผนไทยที่มีใบประกอบโรคศิลปะแล้ว แต่ไม่สามารถนำความรู้ไปเปิดคลินิกแพทย์แผนไทยของตัวเองได้เลย ถือเป็นการเสียโอกาสอย่างมาก

ส่วนเรื่องคุณภาพของยาสมุนไพรที่ใช้รักษาคนไข้ในปัจจุบัน หมอต้น บอกว่า ควบคุมด้วยตนเองทุกตำรับ เพราะสมุนไพรไม่ได้มีทุกตัวทุกฤดูกาล ชนิดไหนขาด ยังไม่ถึงเวลามีดอกออกผล เพราะยาสมุนไพรมีหลายตำรา สามารถนำมาปรับเปลี่ยนใช้แทนกันได้ แต่ยังคงคุณภาพการรักษาไว้เช่นเดิม ต้องหมุนเวียนสมุนไพรให้เพียงพอกับปริมาณคนไข้โดยประมาณ 1,000 คนต่อสัปดาห์

"ตลอดระยะเวลากว่า 2 ปี ที่เปิด อวตารคลินิก ยังไม่เคยมีคนไข้แพ้ยาสมุนไพรเลย แสดงว่าภูมิปัญญาของปู่ย่า ตายาย ของเรา พัฒนาสูตรยาสมุนไพรมาจนสุดแล้ว ถึงได้บันทึกไว้เป็นตำราให้ลูกหลานนำมาใช้ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และผมยืนยันได้ว่า ตำรับยาของผมไม่ผสมสเตอรอยด์อย่างแน่นอน เป็นสมุนไพรบริสุทธิ์ ก่อนจะเปิดคลินิกได้ ทุกสาขาต้องผ่านการตรวจสอบและรับรองจาก อย.ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น สบายใจได้"

ถามถึงเรื่อง "ราคายา" หมอต้น บอกว่า จากเดิมที่คิดราคา 350 บาทต่อตำรับ ขณะนี้ อวตารคลินิก พัฒนาเข้าไปอยู่ในห้าง เกือบทุกสาขา มีค่าใช้จ่ายในการเช่าพื้นที่เปิดคลินิกมากขึ้น จึงได้เพิ่มค่ายาเป็นตำรับละ 390 บาท เพื่อความอยู่รอด แต่ถ้าคนไข้คนไหนบอกว่า มีอาการป่วยแต่ไม่มีเงินรักษา เขาก็จะไม่คิดค่ารักษา โดยถือเป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้พ้นจากความทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บ รวมทั้งพระสงฆ์ และแม่ชี เขาไม่คิดค่ายา หรือคนไหนเงินไม่พอจะให้ยาไปกินก่อน มีแล้วค่อยมาให้ภายหลัง

"ทุกคนที่มารักษาที่ อวตารคลินิก ต้องได้รับการรักษาเต็มที่ เท่าที่ผมจะทำได้ ไม่มีเงินไม่ใช่ปัญหา ขอให้หายป่วย ผมก็ดีใจแล้ว บางคนไม่มีเงิน ผมรักษาให้ฟรี แถมค่ารถกลับบ้านให้ด้วย"

ไม่ใช่แค่คนไทยในประเทศไทยเท่านั้นที่มารับการรักษา แม้แต่คนไทยในต่างประเทศ รวมถึงครอบครัวสามีหรือภรรยาที่เป็นชาวต่างชาติ มารับการรักษาด้วย เช่น ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา เบลเยียม นอร์เวย์ สวีเดน เม็กซิโก ตอนแรกก็ไม่ค่อยเชื่อถือว่า แพทย์แผนไทยจะรักษาได้ผลจริงหรือ แต่เมื่อได้ลองจัดกระดูก นวดตอกเส้น บางคนเคยปวดหัวเข่าจนเดินไม่ได้ แต่เมื่อรับการรักษาสามารถกลับไปเดินเหินได้สะดวก โดยไม่ต้องผ่าตัด ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข กลับไปบอกต่อ และพาญาติพี่น้องมารักษาด้วย

"ผมไม่ได้เก่ง แต่ผมนำภูมิปัญญาไทยในตำราที่บรรพบุรุษเขียนไว้ มาปัดฝุ่นนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ทำไมเราไม่หยิบยกเรื่องสมุนไพรให้เป็นวาระแห่งชาติ หรือเป็นสิ่งเชิดหน้าชูตาประเทศไทย ยาไทยเหมาะกับคนไทยที่สุดในโลกแล้ว เหมาะกับการรักษาโรคที่คนไทยเป็น ถ้ายาไทยรักษาคนไทยไม่ได้ แล้วจะไปรักษาใคร คนไทยควรใช้ยาไทยรักษาก่อน ถ้าไม่หายค่อยไปรักษาแผนปัจจุบัน ไม่ใช่รักษาแผนปัจจุบันก่อน พอหมดหวังถึงกลับมาพึ่งยาไทยเป็นอันดับสุดท้าย ผมว่าจะช่วยประหยัดรายจ่าย และสร้างรายได้ให้แก่ประเทศชาติได้มหาศาล ปู่ย่า ตายาย บรรพบุรุษของเรารอดตายจากโรคภัยไข้เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะสมุนไพรไทยทั้งนั้น ทำไมคนไทยไม่ศรัทธาสมุนไพรไทย แม้แต่ต่างชาติเอง ที่หันมานำพืชไปวิเคราะห์เพื่อสกัดเป็นยารักษาโรคแทนสารเคมีกันทั่วโลกแล้ว"

หมอต้น บอกด้วยว่า ระยะเวลาในการรักษาของคนป่วยแต่ละคนไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย ระยะเวลาที่เกิดโรค และความต่อเนื่องในการรักษา บางคนหายจากอาการป่วยแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องกลับไปกินยาอีก เพราะร่างกายได้รับการปรับสมดุลทางธรรมชาติจากยาสมุนไพรแล้ว เพียงแต่ปฏิบัติตัวให้ถูกต้องต่อไป การจัดกระดูกแบบไทย กับการตอกเส้น ซึ่งเป็นวิธีโบราณทางภาคเหนือ หรือเรียกง่ายๆ ว่า ไทยโรแพคติก ที่นำมารักษาร่วมกับยาสมุนไพร เพื่อให้เกิดการผสมผสานในการรักษาให้ได้ผลดียิ่งขึ้น เช่น ไมเกรน ไหล่ติด ออฟฟิศซินโดรม บางโรคไม่ต้องกินยาสมุนไพรเลย จัดกระดูกกับตอกเส้นก็ทำให้หายได้ ไม่ต้องผ่าตัด

"ณ วันนี้ ผมอยากรักษาคนไทยให้ดีก่อน ตำรายาสมุนไพรไทย เป็นของคนไทย ต้องรับใช้คนไทยก่อน ในอนาคต ผมจะขยายไปสู่ระดับสากล ผมอยากให้สมุนไพรไทยดังไปทั่วโลก แต่อยากให้คนไทยมีทางเลือกก่อน ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องกินยาตลอดชีวิต อยากให้คนไข้ที่หายจากอาการป่วย มีความรู้สึกเหมือนผม ที่รักษาตัวเองหายด้วยแพทย์แผนไทย เหมือนตายแล้วกลับมาเกิดในร่างใหม่ที่แข็งแรงกว่าเดิม มาอวตารในร่างใหม่หัวใจเดิม คนที่มารักษากับผมจะได้อวตารกันทุกคน เหมือนชื่อ อวตารคลินิก"

เคยเป็น...ผู้ป่วยเบาหวาน

คุณป้าสุวภา พินิจวงษ์ ข้าราชการบำนาญ (ครู) วัย 66 ปี ป่วยเป็น เบาหวานมานานนับสิบปี เล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้มีน้่ำตาลในเลือดสูง รับการรักษาจากแพทย์แผนปัจจุบันที่ จ.นครราชสีมา แต่ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงไม่มากนัก ทั้งที่ปฏิบัติตัวตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ยังมีไขมันในเลือดสูง และเป็นโรคความดันโลหิตสูง เพิ่งเข้ารับการรักษากับหมอต้นได้ประมาณ 3 สัปดาห์ ปรากฏว่าน้ำตาลในเลือดลดลงจนเกือบเป็นปกติ ภาวะมึนศีรษะหลังตื่นนอนตอนเช้าลดลง สดชื่นขึ้น

"ป้าเป็นคนโคราช แต่มาอยู่กับลูกที่ จ.ระยอง เพื่อนส่งคลิปวิดีโอการรักษาของหมอต้นมาให้ดูทางไลน์ และป้าไปเปิดดูเพิ่มเติมในยูทูบ ทำให้ป้าสนใจและมารับการรักษา หมอจัดยาสมุนไพรไปให้หลายตำรับ เป็นสมุนไพรผงชงกับน้ำแล้วดื่ม ขมมาก แต่ต้องฝืนใจดื่ม เพราะอยากหาย ตอนนี้น้ำตาลในเลือดลดลง ป้าเจาะเลือดทั้งก่อนอาหารและหลังอาหาร น้ำตาลลดลงจริงๆ เมื่อก่อนตื่นนอนตอนเช้าจะมึนหัวมาก แต่ตอนนี้ไม่มึนแล้ว รู้สึกสดชื่นขึ้น ป้าจึงชวนน้องสาวมารักษาด้วย หมอใจดี และคิดค่ายาไม่แพง"

ผู้ป่วยโรคเส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 อักเสบ

คุณอัมพร บุญขันตินาถ อายุ 34 ปี ป่วยเป็น โรคเส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 อักเสบ เล่าว่า ก่อนหน้านี้มีอาการชาครึ่งซ้าย รับประทานอาหารไม่ค่อยได้ พูดไม่ค่อยได้ ต้องลาออกจากงานประจำที่ทำหน้าที่เป็นเลขานุการ แพทย์แผนปัจจุบันวินิจฉัยว่า เป็นโรคเส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 อักเสบ รักษาไม่หายขาด ต้องกินยาตลอดชีวิต ไปรับการรักษามาหลายวิธี ทั้งจัดกระดูกแบบไคโรแพคติก แบบพลังจักรวาล มารักษากับหมอต้นตามคำแนะนำของญาติที่เป็นมารักษามะเร็ง ปัจจุบันรักษามา 5 เดือนกว่า อาการเกือบหายเป็นปกติแล้ว

"หมอต้นบอกว่า เป็นโรคที่โบราณเรียกว่า มะเร็งกรามช้าง จะใช้เวลาในการรักษาประมาณ 6 เดือน ไม่ต้องกินยาตลอดชีวิต เริ่มจากให้กินยาต้ม (ยาหม้อ) เป็นเวลา 3 เดือน และยาผงชงกับน้ำร้อน เป็นยาเกี่ยวกับสมอง หัวใจ อาการค่อยๆ ดีขึ้น อาการปวดและชาลดลง และจัดกระดูกร่วมด้วย จนถึงตอนนี้ หายเกือบเป็นปกติแล้ว นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องมดลูก ประจำเดือนมาไม่ปกติ แพทย์แผนปัจจุบันให้กินยาคุมมา 13 ปี แต่เมื่อมารับการรักษาที่นี่ หมอต้นให้หยุดยาคุม และกินยาไทยแทน เดือนแรกประจำเดือนก็มาตามปกติ ตลอดระยะเวลาที่กินยาหมอต้นมา 5 เดือนกว่า ประจำเดือนมาปกติทุกเดือน อาการปวดท้องประจำเดือนลดลงมาก จึงแนะนำคนอื่นให้มารักษาด้วย ตอนนี้หมอต้นลดปริมาณยาลงแล้ว เมื่อหายเป็นปกติ หมอต้นบอกว่าจะหยุดยา ดิฉันพอใจกับผลการรักษาของหมอต้นมากค่ะ"