Inside Dara
ไม่ได้มีดีแค่คันหู “จ๊ะ” รวยอื้อ ซื้อนาฬิกาหรูเก็งกำไร-เล่นหุ้น มีเงินใช้ไปตลอดชาติ

ป้าดด “จ๊ะ อาร์สยาม” ซุ่มทำธุรกิจซื้อนาฬิกาหรูมาขายเก็งกำไร หอบเงินเล่นหุ้น ฟาดรายได้อื้อซ่า บอกใครๆ ก็คิดว่าตนเป็นนักร้องไม่มีหัวคิด ภูมิใจมาถึงจุดนี้ได้ด้วยน้ำพักน้ำแรง มีรถ 5 คัน บ้าน 3 หลัง สะสมที่ดิน มีเงินใช้สบายไปตลอดชาติ เผยเคล็ดลับสู้แล้วรวย ได้เงินมา 4 ส่วน จะเก็บ 3 ส่วน ใช้ 1 ส่วน ไม่ใช้เงินอนาคต เชื่อได้ดีเพราะกตัญญูให้เงินพ่อแม่เดือนละสองแสน หมั่นทำบุญไม่เคยขาด อนาคตจะผันตัวไปเป็นสาวรำวงตามงานวัด

เห็นภาพลักษณ์คันหู เป็นนักร้องเรท 18+ แต่อีกด้านของ “จ๊ะ อาร์สยาม” นงผณี มหาดไทย เป็นคนที่มีมุมมองในการดำเนินชีวิตเจ๋งคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะเรื่องการวางแผนการใช้เงิน รวมไปถึงการใช้ชีวิตที่มีแบบแผนและรอบคอบ นอกจากเป็นนักร้องแล้วจ๊ะยังเป็นนักธุรกิจ ทุ่มเงินล้านซื้อนาฬิกาหรูมาขายเก็งกำไร รวมถึงเป็นเจ้าแม่เล่นหุ้น ฟาดเงินเข้ากระเป๋าเป็นกอบเป็นกำ เจ้าตัวเผยเคล็ดลับรวย รายได้ที่ได้มาจะแบ่งเก็บมากกว่าเอาออกมาใช้จ่าย อยากได้อะไรจะซื้อเงินสด ถ้ายังเก็บเงินไม่ได้จะไม่ซื้อผ่อนเด็ดขาด พร้อมเรื่องราวส่วนตัวที่จะทำให้ได้รู้จักตัวตนของผู้หญิงที่ชื่อ “จ๊ะ นงผณี” ในมุมที่มีมากกว่าคันหูในอดีต

“ภาพหนูคือเป็นนักร้องลูกทุ่ง แล้วภาพที่ออกไปเหมือนเป็นนักร้องลูกทุ่งไม่มีหัวคิด คนคงไม่เชื่อว่ามีตังค์ได้ไง แต่ถ้าคนที่ได้คุยกับหนูจะรู้ว่าเราเป็นคนชอบทำอะไรแบบนี้ ไม่ชอบทำอะไรในกรอบ และเราต้องแปรรูปตัวเองไปเป็นอย่างอื่นนอกจากนักร้อง ตอนนี้หนูจะทำอะไรที่ตัวเองชอบและต้องคิดเยอะๆ ไม่จับมั่วซั่วและไม่โลภ หนูจะตั้งเป้าถ้าเราอยู่ 5 หนูจะไป 6 แล้วไป 7 ทีละสเต็ป ไม่ใช่อยู่ 5 แล้วไป 20 มันก็ไม่ได้ไงคะ”

“เมื่อก่อนอยากได้อะไรจะซื้อเงินสด ถ้ายังไม่มีเงินจะยังไม่ซื้อ ทุกวันนี้หนูก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่ค่ะ ถ้าอยากได้อะไรหนูจะตั้งเป้าไว้ สมมุติหนูอยากได้รถราคา 3 ล้าน หนูจะไม่มองงานในอนาคต สมมุติหนูมี 30 งานในมือแล้ว หนูก็จะยังไม่ซื้อ เพราะนั่นมันเป็นเงินในอนาคต หนูต้องรอเล่นให้ครบ 30 งานก่อนค่อยไปซื้อรถ ถ้าเกิดวันข้างหน้าหนูโดนรถชนแล้วขาขาด เราร้องเพลงไม่ได้นะ เพราะฉะนั้นหนูจะใช้เงินปัจจุบันดีกว่า เล่นให้ครบ 30 งานค่อยซื้อรถ นี่คือเคล็ดลับการบริหารจัดการเงินของหนู”

“ตอนนี้หนูก็ยังไม่ได้รวย แต่แค่ถ้าเทียบกับชีวิตเมื่อก่อนเราจะรู้สึกว่าเรารวยมากแค่นั้นเอง หนูเป็นคนที่ได้มา 4 จะเก็บ 3 ส่วน ใช้ 1 ส่วน หนูชอบเก็บเงินมาตั้งแต่เด็กๆ พ่อให้เงินไปซื้อขนม หนูจะแบ่งมาเก็บทุกวัน ไม่เคยใช้หมดเลย มันเลยกลายเป็นนิสัยมาจนถึงตอนนี้ ตอนที่เริ่มมีรายได้หนูชอบรถ ก็จะซื้อรถ หรือไม่ก็ซื้อบ้าน แต่พอมาถึงจุดอิ่มตัวแล้วหนูไปเจอบางอย่างที่ซื้อแล้วมีมูลค่าเพิ่ม ความคิดหนูเปลี่ยนเพราะหนูทำงานในวงการมันเหนื่อยนะ อย่างเวลามีคนด่าเรา มันก็มีคิดมากบ้างเพราะหนูก็คนมันก็มีกระทบความรู้สึกบ้าง ให้หนูไปวิ่งรอบสนาม 10 รอบ ยังไม่เหนื่อยเท่ากับการนั่งอ่านที่คนมาด่าเรา บางอย่างคนอื่นทำไม่เห็นโดนด่าเลย แต่พอเป็นจ๊ะทำ ทำไมโดนด่าวะ หนูรู้สึกน้อยใจแล้วก็ท้อเหมือนกัน การที่เราเจออะไรแบบนี้ทำให้หนูคิดได้ว่า ต่อไปถ้าจะทำอะไรหรือจะซื้ออะไรมันต้องมีมูลค่าเพิ่ม หนูก็เลยทำเป็นธุรกิจไปเลย”

นอกจากเป็นนักร้อง จ๊ะยังเป็นนักธุรกิจ โกยเงินจากการขายนาฬิกากับเล่นหุ้น

“จริงๆ เป็นคนคิดตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะ เพราะเป็นคนชอบทำงานหาเงินตั้งแต่เด็ก ทุกวันนี้นอกจากร้องเพลง หนูขายนาฬิกาแล้วก็เล่นหุ้นค่ะ มันโอเคมากเลยค่ะเพราะไม่ต้องไปเจอคนมากมาย อย่างนาฬิกาขายง่ายมาก เพราะหนึ่งเราเป็นคนมีชื่อเสียง เรายืนยันตัวตนอยู่แล้วว่าฉันไม่โกงคุณแน่ๆ ฉันไม่ขายของปลอม อันนี้คือข้อได้เปรียบของเรา สมมุติหนูซื้อมาเรือนละ 1 ล้าน เก็บไว้ 3 เดือนราคาขึ้นมา 1.3 ล้าน หนูได้กำไร 3 แสน มันเป็นเงินออมอย่างนึง เหมือนเราฝากเงินธนาคารค่ะ แต่หนูเปลี่ยนเป็นเอานาฬิกาไปฝากธนาคารแทน เพราะไม่สามารถเอาไว้ที่บ้านได้ แต่มันขายได้ตลอด”

“หนูเกิดมาจากเด็กบ้านนอก รากเงาหนูไม่เคยรู้จักนาฬิกาพวกนี้เลย แล้วหนูเคยคิดว่าใครที่ใส่นาฬิกาเรือนเป็นแสนเป็นล้านได้ มีตังค์อย่างเดียวไม่ได้ต้องโง่ด้วย (หัวเราะ) แต่พอมาถึงจุดนี้หนูคิดว่าหนูโง่ที่คิดแบบนั้น จริงๆ แล้วเงินมันไม่ได้หายากเลยนะ เงินมันอยู่รอบตัวเรา แต่เราต้องเปลี่ยนความคิดของเรา และต้องมีกุนซือที่ดี หนูเป็นคนโชคดี อาจจะเพราะเป็นคนกตัญญูต่อพ่อแม่ แล้วหนูชอบทำบุญเยอะ บางทีหนูไม่ได้ไปแสวงหาเลยค่ะ แต่มักจะมีคนแบบนี้เดินเข้ามาหาเอง เหมือนบุญจัดสรร”

“แล้วหนูจะไม่แปรรูปตัวเองไปทำงานในวงการด้านอื่น หนูไม่เป็นพิธีกรและไม่ได้ไปทำงานในวงการด้านอื่น แต่หนูอยากแปรรูปตัวเองไปทำงานด้านอื่น เพราะถ้าหนูแปรรูปตัวเองไปอยู่ในสายงานในวงการเหมือนเดิม คนก็จะรู้จักแค่จ๊ะนักร้อง แต่คนก็ไม่ได้ตื่นเต้นกับเรา สมมุติจ๊ะไปขายต้นไม้ คนก็จะตื่นเต้นกับเราเพราะเขาไม่เคยเห็นเราทำอะไรแบบนี้มาก่อน เราต้องใช้ชื่อเสียงที่มีให้เกิดประโยชน์ ไปอยู่ในที่ที่เรามีคุณค่า ทุกวันนี้หนูไม่เหนื่อยมากเพราะยังพอมีชื่อเสียงอยู่ แต่ถ้าวันข้างหน้าหนูไม่ดังแล้วไปทำหนูก็จะเหนื่อยมาก”

“ส่วนเล่นหุ้นมีผู้ใหญ่แนะนำค่ะ อย่างเล่นหุ้นถ้าหนูเป็นคนธรรมดาเขาอาจจะไม่รับหนูเข้าไปเรียน เพราะคนที่หนูไปเรียนหุ้นกับเขา เขาได้เดือนละหลายสิบล้าน เป็นร้อยล้านก็มี แต่เขาเห็นเราเป็นจ๊ะก็เลยสอน ที่หันไปเล่นหุ้นก็เริ่มต้นมาจากการที่หนูซื้อขายนาฬิกาเนี่ยแหละ เพราะคนที่จะซื้อนาฬิกาสองล้านสามล้าน ส่วนมากเขาจะมีอาชีพนี้ค่ะ หุ้นเล่นง่ายกว่าหวยอีก แต่ต้องเล่นแล้วไม่ประมาทและไม่โลภ สมมุติเดือนนี้เราจะเอาสัก 2 แสน ก็ต้องมีลิมิต ตอนนี้เราเล่นหุ้นธนาคารก็ได้เพราะเขาเปิดเสรีให้เราซื้อเองแล้ว”

ลั่นไม่อยากเป็นหนี้ต้องคิดแบบนี้ เล็งซื้อบ้านเพิ่มเพื่อหน้าตาทางสังคม เพื่อความน่าเชื่อถือทางธุรกิจ

“รายได้ที่ได้มาหนูเอามาซื้อนาฬิกาไว้ขายด้วย แล้วก็ให้พ่อให้แม่ จริงๆ หนูไม่ใช่คนหาเงินเก่งอะไรขนาดนั้น หนูเป็นคนงก ไม่ชอบทำอะไรขาดทุน ชอบทำอะไรที่มันเพิ่มมูลค่า หนูชอบกระเป๋าแบรนด์เนม แต่ไม่ได้ซื้อเยอะ เพราะรู้สึกว่าขายแล้วมันขาดทุน หนูซื้ออะไรจะไม่มองแค่ว่าอยากได้หรือซื้อตามกระแส แต่หนูจะมองว่าซื้อมาแล้วจะขาดทุนมั้ย”

“เชื่อหนูมั้ยว่าถ้ามีคนคิดแบบนี้เขาจะไม่มีหนี้มีสิน คนที่มีหนี้เป็นดินพอกหางหมูเพราะเขาใช้เงินในอนาคต เพราะอนาคตเป็นเรื่องไม่แน่นอน คุณต้องทำเงินก่อนแล้วค่อยซื้อ แล้วไม่ใช่ว่ามีเงิน 7 ล้าน จะซื้อหมดทั้ง 7 ล้าน ไม่ได้นะคะ ถ้าวันข้างหน้าคุณไม่สบายขึ้นมาจะทำยังไง หนูมองว่ารถเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ถ้าหนูจะซื้อรถราคา 7 ล้าน เงินจำนวนนี้คือเงินฟุ่มเฟือยของหนูนะ ถ้าวันข้างหน้าหนูแต่งหน้าแล้วแปลงทิ่มตาหนูบอด ใครจะจ้างไปร้องเพลงล่ะ หนูต้องมีเงินก้อนที่รู้สึกว่าถ้าวันนึงไม่ร้องเพลง หนูต้องอยู่ได้ หนูคิดแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วค่ะ”

“ถ้าหนูหาเงินอย่างอื่นไม่ได้นอกจากร้องเพลง หนูก็ไม่ฟุ่มเฟือยแบบนี้หรอก ทุกอย่างที่หนูซื้อมันเป็นของฟุ่มเฟือยหมดเลย อย่างรถที่มีอยู่ก็เป็นของฟุ่มเฟือย แต่ตอนนี้รถหนูพอแล้ว หนูมีอยู่ 5 คัน บ้าน 3 หลัง แล้วก็ซื้อที่ดินที่ต่างจังหวัดสะสมไว้ ที่ต่างจังหวัดราคาไม่แพงหนูก็เลยซื้อเก็บไว้ แต่ตอนนี้มีโครงการอยากซื้อในกรุงเทพเพิ่มอีกเพราะมันคือหน้าตาทางสังคม เอาตรงๆ สมมุติมีเงิน 30 ล้านฝากไว้ในธนาคาร แล้วชีวิตเราก็ทำตัวปกติ มันก็ได้นะคะ แต่ต้องยอมรับว่าหน้าตาทางสังคมมันไม่ได้ แล้วธุรกิจมันก็ไปไม่ได้จริงๆ มันคือความน่าเชื่อถือไง”

“ถ้ามีเงิน 30 ล้าน เบิกมาซื้อรถ 7 ล้าน แล้วไปขายนาฬิกาปาเต๊ะ ใครก็ซื้อของคุณเพราะเขาเชื่อ บางทีเงินในธนาคารไม่มีเลยก็ได้ แต่ขับรถดี แต่งตัวดี มันคือต้นทุนทางธุรกิจ แต่ต้องคิดเยอะๆ อย่างหนูตั้งเป้าอยากซื้อบ้านใหม่หลังละ 15 ล้าน หนูจะคิดเลยว่าเดือนนี้ต้องเล่นหุ้น ต้องทำงานอะไรยังไงเพื่อให้เงินก้อนนี้มาแล้วค่อยไปซื้อบ้าน เราต้องรอบคอบและรัดกุม แต่ถ้าหนูหาเงินไม่ได้ก็ไม่ซื้อแค่นั้นเอง ไม่กดดันตัวเองค่ะ จริงๆ ถ้าดึงสติตัวเองได้ก็จะรู้ว่ามันไม่จำเป็นเพราะที่มีอยู่ก็โอเคแล้ว”

เมื่อถามว่าความรวยของจ๊ะต้องเท่าไหร่ ต้องร้อยล้าน พันล้านหรือไม่? เจ้าตัวก็บอกว่า ตอนนี้มีเงินใช้สบายไปตลอดชาติแล้ว

“จริงๆ ตอนนี้ที่หนูมี หนูพอแล้ว ไม่ต้องมีตัวเลขหรืออะไร เพราะหนูไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมาถึงจุดนี้ ก็เลยไม่มีตัวเลขความรวย ความรวยคือนิยามที่เราตั้ง บางคนมีเงินแค่ 2 แสนไม่มีหนี้ เท่านี้เขาก็รวยแล้ว เมื่อก่อนพ่อกับแม่หนูมีเงินฝาก 3 แสน หนูก็มองว่ารวยแล้ว อยู่ที่ความพอใจของเราเอง นิยามคำว่ารวยเราตั้งเอง อยู่ที่ว่าคุณตั้งไว้แค่ไหนล่ะ ถ้าคุณไม่รู้จักพอมันก็ไม่รวยหรอก (ตอนนี้อยู่ได้สบายตลอดชาติแล้วใช่มั้ย?) อยู่ได้สบายตลอดชาติแบบปรับตัวเอง หมายความว่าถ้าวันข้างหน้าเรารายได้น้อยลง หนูก็ต้องใช้อย่างน้อยๆ ไม่ใช่วันข้างหน้ารายได้น้อยลงแต่ยังใช้เงินเหมือนทุกวันนี้ มันก็ไม่ได้”

“เราต้องปรับไปตามสถานการณ์ที่เราหาได้ ที่สำคัญการหาได้ ไม่สำคัญเท่าเราเก็บได้ คนหาเงินเก่งเยอะ แต่ข้อเสียก็คือใช้เงินเก่งด้วย เมื่อก่อนหนูก็เป็น เห็นคนอื่นมีก็อยากมีบ้าง แต่เชื่อสิเราไม่มีความสุขหรอกเพราะเรากำลังเดิมตามคนอื่นอยู่ ตอนนี้หนูชอบนาฬิกา แต่จะซื้อรุ่นที่มีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น อย่างเมื่อก่อนหนูเคยซื้อเสื้อผ้าตลาดนัดยังไง ทุกวันนี้ก็ยังใส่อยู่ แบรนด์เนมก็ใส่ได้ ไม่แบรนด์เนมก็ใส่ได้ บางชุดใส่ดีๆ แพงๆ ก็เป็นของสปอนเซอร์ส่งมาให้ใส่ฟรี เพราะในไอจีเรามีคนติดตามเยอะ เขาส่งมาให้ใส่เราก็แท็กโปรโมตให้ก็จะเป็นลักษณะนี้”

ให้เงินพ่อแม่เดือนละสองแสน ทำบุญเป็นล้าน

“หนูให้เงินพ่อกับแม่คนละแสน ทุกเดือน เป็นความตั้งใจของหนูที่อยากทำแบบนี้ จะเอาไปใช้อะไรก็ได้แล้วแต่เลย แต่พ่อกับแม่ก็ฝากเข้าธนาคารหมด (ยิ้ม) หนูคิดว่าทำบุญหนูยังทำเป็นล้านได้เลย พ่อกับแม่เราก็ต้องให้ได้สิ บางคนว่าหนูทำไมไม่โอนให้ ให้เป็นเงินสดอยากอวดรวยเหรอ หนูรู้สึกว่าโอนให้กับให้เงินสดความรู้สึกมันต่างกัน เวลาหนูเอาเงินไปให้พ่อแม่เขาให้พรหนู เขาได้จับเงินเขามีความสุขมาก หนูเคยโอนให้แล้ว เขาเห็นแค่ตัวเลขแต่ไม่มีบรรยากาศแบบนี้เลย ความรู้สึกต่างกันค่ะ”

“หนูเชื่อนะว่าที่หนูมีทุกวันนี้เพราะกตัญญูต่อพ่อแม่ แล้วหนูก็ทำบุญเยอะมาก แต่บางคนเวลาเห็นหนูทำบุญก็อยากทำบุญให้ได้เหมือนจ๊ะ แต่แบบทำไปหนึ่งพัน แต่ขอให้ตัวเองได้สามล้านสี่ล้าน มันก็ไม่ได้นะ การทำบุญต้องมาจากใจ ทำจากจิตเราก่อน ถ้าคนไม่มีเงินหนูจะแนะนำให้ไปล้างห้องน้ำวัดก็ได้บุญเหมือนกัน การทำบุญไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ตัวเงิน อย่างล่าสุดหนูไปสร้างเมรุ หนูจะโอนเงินไปก็ได้ แต่หนูก็เลือกที่จะไปเอง เพราะเวลาเราไปชาวบ้านก็ดีใจ มากอด มาผูกข้อมือรับขวัญให้เรา แล้วหนูก็มาบอกบุญต่อ เราทำด้วยใจ เราได้มาก็ต้องรู้จักแบ่งปัน”

“อาชีพอย่างหนู ถามว่ามูเตลูสำคัญมั้ย หนูเป็นคนเชื่อไง พ่อแม่หนูเป็นลิเก หนูก็กราบไหว้บูชาพ่อแก่อยู่แล้วเป็นปกติ มูเตสำคัญ แต่ตัวเราสำคัญกว่าเพราะไม่มีใครช่วยเราได้ถ้าเราไม่ลงมือทำเอง ไม่ใช่ไปนั่งขอแล้วไม่ทำมาหากิน มันก็ไม่ได้”

อนาคตจะเห็นจ๊ะเป็นสาวรำวงตามงานวัด รักการร้องเพลงขอทำไปจนแก่

“อาชีพนักร้องอายุการทำงานมันสั้น เพราะต้องเข้าใจว่าเราขายเรือนร่างด้วย แก่ไปก็คงทำแบบนี้ไม่ได้ แต่หนูรักการร้องเพลง ก็เลยคิดไว้ว่าจะผันตัวเองไปเป็นรำวง จุดเด่นของหนูคือการเอ็นเตอร์เทน แล้วรำวงต้องเอ็นเตอร์เทน แล้วรำวงมันสบายใจกว่าเพราะรำวงจะอยู่กับชาวบ้าน อยู่กับงานวัด มันไม่เหมือนกับงานในสายงานเรา ณ ตอนนี้ บางทีเราไปเจองานในโรงแรม คนรวยบางคนย้ำว่าบางคน เขาจะมองเราด้วยสายตาเหยียดๆ แต่ชาวบ้านต้อนรับหนู หนูดูมีค่า เพราะฉะนั้นเราต้องเลือกอยู่ในที่ที่เรามีความสุขและเราก็มีค่าด้วย ถ้าวันนึงหนูไม่ได้ทำตรงนี้แล้วก็จะไปทำรำวง เพราะรำวงทำได้ยันแก่ หนูรักการร้องเพลงยังไงก็จะอยู่กับมันไปจนแก่ค่ะ”