Inside Dara
เปิดหมดใจ หนิง ปณิตา ปลงชีวิตคู่ เหนื่อยที่ต้องสู้รบกับผู้หญิงของสามี

ถ้าเอ่ยชื่อ หนิง ปณิตา ธรรมวัฒนะ หลายคนจะต้องนึกถึงภาพของความเป็นเมียหลวงยืนหนึ่งของเธอคนนี้อย่างแน่นอน เรื่องราวชีวิตของผู้หญิงคนนี้ถูกจับตามองเรื่อง "ครอบครัว" อยู่เสมอ แต่วันนี้ เราไม่ได้จะมาพูดกับเธอแค่เรื่องของความรักกับสามี จิน ธรรมวัฒนะ อย่างเดียว

แต่ผู้หญิงคนนี้ ยังมีอีกหลายมุมให้เราได้พูดคุยทำความรู้จักเธอให้มากขึ้น ทั้งในฐานะผู้จัดละคร ฐานะแม่ และฐานะเมีย ที่ในวันนี้ หนิงพูดได้อยากเต็มปากว่า "ตอนนี้เธอได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว"

หนิง ปณิตา ไม่รอช้าที่จะเริ่มการสัมภาษณ์กับเรา เธอยังกระฉับกระเฉง ทำอะไรรวดเร็วเหมือนเคยแม้วันนี้จะต้องตื่นแต่เช้ามาที่ช่อง และต้องกลับบ้านดึกๆ เพราะต้องเข้าห้องตัด ตัดละครให้ทันออนแอร์

เราเริ่มต้นบทสนทนากันด้วยเรื่องเบาๆ ที่ไม่เบาสำหรับหนิง ผู้จัดละครมือใหม่ ที่ถูกหลายคนสบประมาทเอาไว้ว่า "นางร้ายอย่างเธอจะทำละครได้จริงเหรอ" ซึ่งหนิงเริ่มเล่าเรื่องนี้ด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า

"ตอนที่ตัดสินใจจะทำงานเบื้องหลัง มันเป็นเป้าหมายในชีวิตตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยแล้ว หนิงเลือกเรียนนิเทศฯ เพราะอยากทำงานละคร แต่บังเอิญได้มาเป็นดาราก่อน" หนิงยังเล่าให้ฟังพร้อมกับหัวเราะตัวเองหน่อยๆ ว่า ไม่ได้อยากเป็นดารา เพราะรู้สึกว่าตัวเองขี้เหร่ เป็นดาราไม่ได้

พอจะแต่งงาน ก็เริ่มวางแผนชีวิตหลังแต่งงาน และรู้ว่าตัวเองยังไม่ได้ทำงานที่ตัวเองรักและยังอยากทำอยู่ เลยลองมาทำงานเบื้องหลังดู แต่พอได้มาทำงานเบื้องหลัง หนิง ปณิตา ตอบแบบไม่อายเลยว่า "มันคนละแบบกับที่เรียนมาเลย ตอนแรกมองว่ามันคงไม่ได้ยาก เพราะคลุกคลีอยู่ในวงการมาหลายปี แต่พอทำเข้าจริงๆ มันไม่เป็นอย่างที่คิดเลยแม้แต่นิดเดียว"

หนิงเล่าต่อว่า ทุกวันที่ทำงานมีปัญหาให้แก้ทุกวัน ท้อทุกวัน ร้องไห้แทบทุกวันที่ต้องออกกอง ก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์ความผิดพลาดหลายๆ อย่างเอามาปรับปรุง

"ไม่มีวันไหนที่หนิงไม่มีน้ำตา ไม่มีวันไหนที่หนิงจะไม่ร้องไห้" หนิง ปณิตา ยอมรับถึงสาเหตุที่ทำให้เธอร้องไห้ทุกวันว่า เพราะเป็นคนที่ทำอะไรจะตั้งใจสูงมาก และทุ่มสุดตัวเกินร้อย มันจึงมีความรู้สึกดดันตัวเองเกิดขึ้นในระหว่างที่ทำงานเป็นผู้จัดละคร แต่ถึงจะหนักหน่วงแค่ไหน เธอก็จะไม่ยอมแพ้และเดินหน้าสู้ต่อ

เราถามหนิงกลับว่า ทำไมต้องกดดันตัวเองขนาดนั้น ซึ่งหนิงตอบกลับมาว่า นั่นเป็นเพราะภาพที่คนส่วนใหญ่ติดภาพหนิงคือ ความเป็นนางร้าย และภาพข่าวหลายๆ อย่าง ที่ทำให้ดูว่าเธอนั้นจะทำงานเป็นรึเปล่า ซึ่งการพิสูจน์ตัวเองตรงนี้แหละ ที่เป็นตัวกดดันตัวเธอเอง

สำหรับผลงานละครเรื่องล่าสุด โซ่เวรี ที่กำลังออกอากาศอยู่นั้น หนิงเล่าให้ฟังว่า ละครเรื่องนี้ ดูเหมือนจะง่าย แต่ก็มีเรื่องราวหนักๆ เกิดขึ้นในชีวิตของเธอเหมือนกัน

หนิงเล่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นให้ฟังว่า ช่วงแรกที่เตรียมทำละครเรื่องนี้ เธอเครียดจนต้องเข้าโรงพยาบาล เป็นช่วงของการทำบทและแก้ไขเรื่องบท ต้องเปลี่ยนคนเขียนบท เพราะเป็นคนที่แคร์ความรู้สึกคนที่ทำงานด้วยกัน รู้ว่าทุกคนทุ่มเท แต่เมื่อต้องมีการปรับเปลี่ยนเลยทำให้เครียดหนักมากถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาลเลยทีเดียว

และการป่วยครั้งนี้ เป็นการป่วยครั้งใหญ่ที่สุดของชีวิต และมันก็ได้ทำให้หนิงเปลี่ยนมุมมองของการทำงานไป "อะไรที่ผ่านไปแล้ว แต่ไม่ได้ดั่งใจ ต้องปล่อยวาง" หนิง ปณิตา บอกกับเราแบบนี้พร้อมกับรอยยิ้ม

เราไม่พลาดที่จะขอขยี้ว่าละครเรื่องนี้ เอาประสบการณ์ชีวิตความรักของตนเองมาเขียนในเรื่องด้วยใช่หรือไม่ ซึ่งหนิงหัวเราะชอบใจก่อนจะบอกกับเราว่า

"หลายคนมองแบบนี้ แต่ถ้าจะให้ปฏิเสธเลยว่าไม่ได้เอาบางส่วนมาจากประสบการณ์ชีวิต มันก็คงปฏิเสธไม่ได้ เพราะเวลาที่เราอ่านบทแล้วคุยกับคนเขียนบทและผู้กำกับว่าอยากให้ภาพมันออกมาจากประสบการณ์รอบข้างที่เคยเจอ หนิงอยากให้งานมันออกมาสมจริง เหมือนชีวิตจริงๆ มากที่สุด"

หน้าที่แม่เหนื่อยแต่มีความสุขมาก

จากบทบาทการเป็นผู้จัดละคร แต่ หนิง ปณิตา ยังมีอีกบทบาทใหญ่ๆ ในชีวิตของเธอ นั่นก็คือบทบาทของการเป็นแม่ ซึ่งสาวหนิงได้แชร์วิธีการเลี้ยงลูกในแบบของเธอ ซึ่งหนิงบอกว่าเธอยึดเอาคุณแม่เป็นแบบอย่าง แม่เลี้ยงมาแบบไหน ก็เลี้ยงน้องณิริน ลูกสาวคนเดียวของเธอแบบนั้น

"เลี้ยงแบบธรรมชาติ เขาอยากทำอะไรให้ทำ ทำเสร็จแล้วถ้ามันไม่ใช่ก็ค่อยสอน หรือสิ่งไหนที่สอนแล้ว ว่าไม่ใช่ แต่เขายังดันทุรังที่อยากจะทำอยู่ก็ต้องให้เขาเรียนผิดเรียนถูก และเราก็คอยอยู่เป็นกำลังใจให้เขาข้างๆ

และสิ่งหนึ่งที่เราต้องพยายามในการเลี้ยงลูกคือ ไม่ให้มีตัวตนของเราเข้าไปด้วย เลี้ยงลูกสมัยนี้ต้องฟังลูกเยอะๆ เพราะเหตุผลของพ่อแม่และเหตุผลของลูกมันเป็นเหตุผลของคนต่างวัย"

หนิง เล่าต่อว่า หลายคนจะมองว่าเธอนั้นเลี้ยงลูกแบบสปอยล์ แต่จริงๆ แล้ว จิน สามีต่างหากที่เป็นคนชอบสปอยล์ลูกเยอะ ซึ่งไม่แปลกสำหรับคนเป็นพ่อที่จะสปอยล์ลูกสาว แต่เวลาเตือนกันสามีก็จะฟัง

และหนิงเล่าให้เราฟังว่าลูกสาวเคยถูกเพื่อนๆ ในโรงเรียนมาถามตอนที่มีปัญหากับตำรวจตอนนั้นว่า "แม่เธอทำผิดโดนตำรวจจับเลย และลูกสาวตอบเพื่อนว่า ใช่ แม่เราทำผิด แต่แม่เราทำผิดแล้วก็ไปขอโทษเขา ทุกคนผิดได้ ตอนที่แม่ไปขอโทษเขา แม่เราก็พาเราไปด้วย เราก็เห็นว่าแม่เราไปขอโทษ" เป็นคำที่ทำให้หนิงเห็นว่าณิรินลูกสาวของเธอนั้นก็สตรอง

หนิงเล่าต่อว่า เธอเอาความผิดพลาดในวันนั้นมาสอนลูกสาวของเธอ "วันที่หนิงมีเรื่องก็เล่าให้ลูกฟังว่าเป็นเพราะอะไร เกิดจากความผิดพลาด และเมื่อเราผิด แม่จะไปขอโทษและแก้ไขสิ่งที่มันผิดนะ

วันหลังถ้าณิรินทำอะไรผิด ณิรินไม่ต้องอาย ต้องเล่าให้แม่ฟังทุกเรื่อง เราจะได้ช่วยกันแก้ไข หนิงจะสอนลูกจากเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นจริงๆ เราไม่หลอกลวงกัน จะมาปิดบังไม่ให้ลูกรู้ความจริงของพ่อของแม่มันไม่ใช่ เด็กรู้หมดเพียงแต่ว่าเขาจะพูดหรือไม่พูดเท่านั้นเอง"

แม้ความเป็นแม่จะเหนื่อยและหนักมาก แต่เป็นบทบาทที่หนิงมีความสุข ที่ได้เห็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองเจริญเติบโตขึ้น มันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่และมีความสุขมากๆ ซึ่งหนิงเล่าถึงเรื่องนี้ด้วยรอยยิ้มที่ฉาบบนใบหน้าตลอดเวลา

ความกดดันจากคำว่า เมียสายสตรอง

เพราะหนิงเคยมีปัญหาเรื่องความรักกับสามี จิน ธรรมวัฒนะ กับกระแสข่าวเรื่องผู้หญิงอยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่เจ้าตัวเล่าเอง หรือมีข่าวอักษรย่อออกมาให้คนคาดเดา ทุกคนก็จะพุ่งเป้าที่เธอ แต่ทุกครั้งที่มีปัญหาเรื่องนี้ ก็ดูเหมือนว่า หนิงจะรับมือกับมันได้ดีและทำให้ครอบครัวอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ จนทำให้เธอได้รับฉายาว่า "เมียหลวงยืนหนึ่ง"

ซึ่งหนิงพูดถึงเรื่องนี้ พร้อมกับการได้รับฉายานี้ด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและแววตาที่มุ่งมั่นว่า "เวลาคนมองและยกให้เป็นเมียสายสตรอง หรือที่เรียกเมียหลวงยืนหนึ่ง หนิงจะแอบกดดันนะ เพราะเอาจริงๆ หนิงยังเอาตัวไม่รอดเลย (หัวเราะ)

แต่คำคำนี้ก็เป็นเกราะให้เวลาที่ทำพลาดก็คุ้มกันไม่ให้หนิงพลาดเรื่องนั้นอีก หรืออะไรที่คนยินดีกับเรา เราก็ต้องยิ่งรักษาคำนั้นเอาไว้ให้ดี แต่ชีวิตของคนเราไม่มีใครเพอร์เฟกต์ เพียงแต่ว่าอะไรที่เกิดขึ้นในชีวิต ถ้าเราผิดพลาด ให้เรายอมรับจากใจว่าเราพลาด แก้ไข อะไรที่ดีอยู่แล้วก็อย่าไปเหลิงมัน และทำให้สิ่งที่ดีอยู่มันดียิ่งๆ ขึ้นไป แค่นี้แหละชีวิตของคนเรา"

จากนั้นเราก็เริ่มต้นคำถามหนักๆ กับ หนิง ปณิตา กันต่อกับเรื่องความสัมพันธ์กับสามี ซึ่งหนิงเล่าว่า เวลาที่ทะเลาะกัน ชอบคุยและเคลียร์ จะไม่ทิ้งอะไรให้ข้ามวัน แต่ทั้งคู่กลับเป็นคนนิสัยเหมือนกันคือ ถ้าเวลาโมโหก็คือสุดๆ ทั้งคู่ แต่พอผ่านไปชั่วโมง สองชั่วโมง ก็หาย เหมือนคนเป็นไบโพลาร์ ทะเลาะสุด แต่ก็หายเลย ไม่เอามาแซะกันเรื่องเดิมๆ

หนิงเล่าต่อว่า "หลังๆ บางทีจะทะเลาะกัน ก็จะคิดว่าเดี๋ยวก็ต้องดีกัน จะทะเลาะทำไม หรือบอกตัวเองว่าถ้าคำนี้พูดไปจะทะเลาะกัน ตีกัน ก็อย่าพูดเลย ถอย บอกกับตัวเองว่า ถ้าอีก 1 ชั่วโมงยังรู้สึกอยู่จะพูด ผ่านไปมันก็ยังอยู่ ก็บอกตัวเองว่า อีกชั่วโมงค่อยพูด สรุปความรู้สึกมันหายไปเอง ก็เลยไม่ต้องพูด เหมือนเราถอยตัวเองให้ช้าลง"

เราถามต่อว่า หนิงเป็นฝ่ายที่จะต้องปรับตัวมากกว่าหรือเปล่า แต่งานนี้เมียหลวงยืนหนึ่งรีบบอกทันทีว่า สามีของเธอก็ปรับตัวเยอะเหมือนกัน ต่างคนต่างปรับ ถ้าปรับแค่คนเดียวมันเหนื่อยและเดินหน้าต่อไปไม่ได้ ก่อนจะยืนยันเสียงหนักแน่นว่า "ทุกวันนี้จินดีขึ้นค่ะ"

นักล่ากิ๊กสามีมือฉมัง

ได้มีโอกาสคุยกับ หนิง ปณิตา แบบนี้ทั้งทีเราจะไม่ถามในสิ่งที่หลายคนก็อยากจะรู้ไม่ได้ เราจึงยิงคำถามต่อว่า เคยคิดจะยุติความสัมพันธ์กันหรือไม่ ซึ่งหนิงเปิดใจตอบแบบไม่มีกั๊กว่า

"ตอนที่มีปัญหาหนักๆ เราคุยกันแทบอยากเลิกกันเลย ตั้งคำถามกันว่า เลิกกันดีกว่ามั้ย หรือต่างคนต่างอยู่ดีกว่ามั้ย หรือว่าต่างคนต่างอยู่และช่วยกันดูแลลูก และแต่ละคนจะไปมีชีวิตยังไงก็แล้วแต่ดีกว่ามั้ย และมันก็เคยลองทำนะ อยู่ในบ้านเดียวกันต่างคนต่างอยู่ แต่สุดท้ายแล้ว ความรู้สึกของลูก เราสัมผัสได้โดยที่เราไม่ต้องพูดกัน รู้ว่าลูกต้องการทั้งคู่ ก็เลยทำให้โฟกัสเราเปลี่ยนไป และทุกอย่างมันก็ดีขึ้น

ชีวิตคู่จะว่ามันง่ายมันก็ง่าย แค่คลิกเดียวจริงๆ แต่ถ้ายากมันก็โคตรยากเลย เวลามีปัญหาต้องถอยคนละก้าว เวลามีอะไรให้หันมามองตัวเอง ยอมรับกับตัวเองจริงๆ เวลาที่ชีวิตคู่มีปัญหามันไม่ใช่คนใดคนหนึ่งผิดนะ มันผิดทั้งคู่ เราต้องยอมรับในข้อผิดพลาดของตัวเองจริงๆ ถ้ายอมรับได้มันก็จะเปลี่ยนได้จริงๆ"

แล้วตอนนี้หนิงกับจินคลิกกันแล้วหรือยัง ซึ่งหนิงตอบว่า "ตอนนี้หนิงกับคุณจินก็คลิกมากขึ้นนะ แต่ก็ยังเป็นลิ้นกับฟัน จบเรื่องนั้นมาต่อเรื่องนี้" พร้อมกับปล่อยเสียงหัวเราะออกมา

หนิงเล่าต่อว่า แม้จะทะเลาะกันหนักแค่ไหน สามีจะพูดกับเธอเสมอว่า "ขอบคุณนะที่เข้ามาในชีวิตเขา ที่ทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น" เป็นประโยคที่จินพูดกับหนิงเสมอ

เราไม่หยุดที่จะถามต่อว่า หนิงชอบแซวสามีในรายการกับเพื่อนๆ พูดถึงความเจ้าชู้ของเขาเสมอ จินไม่โกรธเหรอที่เอาเรื่องแบบนี้มาพูดออกสื่อ ซึ่งหนึ่งบอกว่า ทุกวันนี้ก็ยังพูดแซวและจินก็ไม่โกรธด้วย จากนั้นก็ยังเล่าเรื่องราวขำๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ของเธอและสามีให้เราฟังด้วยว่า

"อย่างเมื่อเร็วๆ นี้ หนิงหันไปถามเขาว่าพักนี้ดีกับฉันกับจังเลย เขาบอกว่าพักนี้ไม่มีกิ๊กก็เลยดี ถ้าเป็นสมัยก่อนนะ บ้านแตกต่อให้เป็นการแซวกันก็ตาม และตอนนี้เขาก็ชอบพูดกับเพื่อนเขาว่า ช่วงนี้ผมเบื่อ ผมไม่มีกิ๊ก ผมเลยดีกับเมียผม"

หนิงบอกต่อว่า ถ้าคำพูดนี้เกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้เธอก็จะพูดแรงกลับไป แต่ตอนนี้รู้แล้วว่า มันเหมือนเป็นการตอกตะปูให้ต่างคนต่างเจ็บ เดี๋ยวนี้ถ้าเขาพูดอะไรมาที่ไม่ดี เราก็แค่ไม่พูดตอบกลับไป

เรายังรุกไม่เลิก พร้อมกับถามต่ออีกว่า หนิงยอมที่จะให้จินมีกิ๊กได้จริงๆ หรือ ซึ่งหนิง ปณิตา เมียหลวงยืนหนึ่ง ได้ตอบคำถามที่ทำให้เราถึงกับอึ้งและรู้สึกว่าอยากจะลงไปวิ่งเล่นในทุ่งลาเวนเดอร์

"ถ้าสมมตินะ ถ้าเขาอยู่แบบไม่ลามปาม และให้ความเคารพหนิง หนิงโอเคนะ แต่ผู้หญิงที่ผ่านมาเจอแต่แบบแสดงตัวแล้วอยากจะเอาชนะ มันไม่มีวันชนะหรอก ทำยังไงก็ไม่มีวันชนะ ด้วยกฎหมาย ด้วยทะเบียนสมรสที่เราถือ ไม่มีวันชนะ แต่ถ้าอยู่แบบสงบๆ รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร หนิงว่าก็พอรับได้นะ หนิงทำใจกับเรื่องนี้ไปเกินกว่าครึ่งแล้ว"

ใครที่ติดตามชีวิตของ หนิง ปณิตา ก็พอจะรู้ว่าเธอคนนี้ก็สู้ยิบตา เราจึงถามว่า เมื่อช่วงสมัยก่อนนั้น ตามจับกิ๊กของสามีบ่อยแค่ไหน หนิงบอกกับเราไปหัวเราะไปว่า "เมื่อก่อนบ่อยนะ ถี่ยิบ ลากเพื่อนๆ ไปด้วยกัน (หัวเราะ) แต่ไม่บอกนะว่าเป็นใครเดี๋ยวเป็นข่าวอีก แต่ตอนนี้ไม่ทำแล้ว เราลุยคนเดียวเลย

แต่หลังๆ พอหนิงไม่ไปตามจับ ตามจิก มันก็ดีขึ้น บางทียังพูดทีเล่นทีจริงว่า จะมีก็หลบดีๆ นะ และที่จับได้ส่วนใหญ่ผู้หญิงจะมาแสดงตัวให้หนิงรู้ หนิงถึงบอกไงว่าถ้าอยู่ในขอบเขตไม่ล้ำเส้นมันก็โอเค เพราะหนิงมีอะไรที่ต้องทำอีกเยอะแยะไม่มีเวลามาโฟกัสเรื่องนี้ ต้องดูแลลูก ทำงาน ดูแลคุณจิน ดูแลคุณแม่ ก็เหนื่อยแล้ว อย่าให้ต้องมาฟาดฟันกับเรื่องแบบนี้อีกเลย แก่มากแล้ว ไม่มีแรง"

ที่พึ่งทางใจของบรรดาเมียๆ

นอกจากจะเป็นผู้จัดละคร เป็นแม่ของน้องณิริน เป็นภรรยาของจิน ธรรมวัฒนะแล้ว หนิง ปณิตา ยังมีอีกหนึ่งตำแหน่ง นั่นก็คือ ศิราณี เพราะขึ้นชื่อเรื่องความสตรองที่ไม่แพ้ใคร จึงทำให้หนิงกลายเป็นเพื่อนปรับทุกข์ของผู้หญิงที่ต้องเจอกับเรื่องบ้านเล็กบ้านนอย การนอกใจกันอยู่เสมอ ซึ่งหนิงเล่าให้ฟังว่า

มีคนเข้ามาขอคำปรึกษาเยอะมาก ในไดเร็กไอจี ถ้ามีเวลาตอบก็จะคุย บางคนคุยจนเป็นเพื่อนกัน หนิงย้ำชัดว่าเธอมักจะใส่ใจกับเรื่องพวกนี้มากๆ เพราะมองว่า ชีวิตครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญ

ถ้าสามารถช่วยให้ใครสักคนหนึ่งพยุงครอบครัวไปได้ หรือให้เขามีที่พึ่งทางใจได้เล็กๆ น้อยๆ มองว่ามันเป็นบุญมหาศาล เพราะมันส่งต่อไปถึงเด็กตาดำๆ ซึ่งตัวเธอนั้นมองว่าสังคมมันจะดีได้มันมาจากพื้นฐานของครอบครัวก่อน

เด็กจะดีได้ก็มาจากครอบครัว ถ้าความอบอุ่นมันบังเกิดขึ้น เด็กก็จะไม่มีปัญหา ทุกวันนี้ที่เด็กมีข่าวก็มาจากครอบครัว ก็ให้กำลังใจไปหลายคนแล้ว คนที่มาคุยเขาไม่ได้ต้องการอะไรนอกจากให้ใครสักคนรับฟัง

และส่งกำลังใจให้ พร้อมกับบอกด้วยความภูมิใจนิดๆ และขำๆ หน่อย ว่า แก้ปัญหาได้ก็หลายคู่ เลิกกันไปก็มี คนไหนเลิกก็ส่งกำลังใจให้สตรอง คนไหนไปต่อได้เราก็ดีใจและยินดีด้วย

เป้ย ปานวาด คือนักสู้

แน่นอน อีกเรื่องที่หลายคนอยากจะรู้ เพราะหนิงสนิทกับเป้ย และตอนนี้ เป้ย ปานวาด ก็เหมือนกำลังเผชิญเรื่องราวภายในครอบครัวของเธอ เราจึงสอบถามถึงเรื่องราวของเพื่อนรักคนนี้กับหนิง ซึ่งหนิงเล่าให้เราฟังว่า

"กับเป้ยเราคุยกันทุกเรื่อง รับรู้ทุกเรื่อง ให้คำปรึกษา แต่เขาก็เก่งนะ หนิงเป็นยังไงเขาก็จะเป็นได้อย่างหนิงนั่นแหละ เพื่อนเหมือนคนในครอบครัวนะ เวลาที่เขามีปัญหาแล้วเดินเข้ามาหาเรา แสดงว่าเขาไว้ใจและเชื่อใจเรา เราจะทิ้งเขาได้เหรอ ทิ้งไม่ได้นะ

เหมือนกับคนที่ส่งข้อความมาปรึกษาเรา เขาไว้ใจเรา หนิงก็ทิ้งเขาไม่ได้ ก็ทำให้มันดีที่สุดในเท่าที่เราสามารถทำได้ ตอนนี้หนิงว่าเป้ยโอเคขึ้นนะ มนุษย์แม่กับมนุษย์เมีย ถ้าลองที่จะฮึดขึ้นมาสู้ หนิงว่าทำได้หมด ไม่มีใครทำไม่ได้ หนิงเป็นกำลังใจให้เป้ยในทุกเรื่อง เวลาที่หนิงแย่ๆ เพื่อนๆ ก็ให้กำลังใจให้หนิง มันก็มีกันอยู่แค่นี้แหละ"

และหนิงก็ยังเล่าต่อว่า "เพื่อนที่ดีไม่มีใครพูดว่าถ้าไม่ดีก็เลิก เพื่อนที่ดีไม่พูดแบบนั้น แต่ส่วนใหญ่จะพูดว่า เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น มันเป็นการให้กำลังใจกัน พลังอะไรหลายๆ อย่าง ถ้าเราเชื่อมั่นในสิ่งที่มันดี พลังดีๆ มันก็จะเข้ามาหาตัวเรา อย่าเอาพลังลบๆ เข้ามาหาตัวเรา คิดบวกๆ เอาไว้ โลกสวยเข้าไว้แล้วความโลกสวยมันจะคือพลังดี"

ก่อนจะจากกัน หนิง ปณิตา เมียหลวงยืนหนึ่ง ยังคงยืนกรานกับเราว่า เธอนั้นไม่ได้สตรอง แต่โชคดีที่มีพระพุทธศาสนาเป็นที่พึ่งเวลาหาทางออกไม่ได้ก็ไปปฏิบัติธรรม มันทำให้เธอนั้นช้าลง ใจเย็นขึ้น และมองอะไรหลายๆ อย่างไม่หลอกตัวเอง

พร้อมกับทิ้งท้ายขายของอีกนิดหน่อยว่า "ถ้าใครคิดถึงผลงานความแซ่บให้รอดูโซ่เวรีนะคะ ตอน 8 หนิงออกมารับเชิญนิดเดียว แต่รับรองแซ่บค่ะ บอกเลยว่าผัวข้าใครอย่าแตะ เมียหลวงยืนหนึ่ง และมีไดอะล็อกหนึ่งที่น่าจะถูกใจคนดู ไดอะล็อกนี้เอามาจากอินเนอร์ข้างในค่ะ (หัวเราะ)"

เกือบชั่วโมงที่ทำให้เรารู้จัก นางร้ายเจ้าของฉายา เมียหลวงยืนหนึ่ง คนนี้มากขึ้น เรื่องราวที่คุยกันในวันนี้ อาจจะไม่ได้เปลี่ยนความรู้สึกของใครหลายคนที่มีกับตัวเธอ แต่อย่างน้อย ก็ทำให้ได้เห็นถึงความพยายามที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อตัวเอง เพื่อครอบครัวให้ดีขึ้นของเธอคนนี้ได้ไม่น้อย.

ผู้เขียน : จันทร์เจ้าขา

กราฟิก : Jutaphun Sooksamphun

ช่างภาพ : นายวัชรชัย คล้ายพงษ์