Inside Dara
"มิ้นต์" ยึดคำสอนแม่...ห้ามลืมตัว!

ที่ผ่านมาในวงการมีนักแสดงหน้าใหม่เกิดขึ้นหลายคน แต่อีกหนึ่งนางเอกที่มีพัฒนาการการแสดงและความสวยขึ้นทุกวันต้องยกให้ มิ้นต์-ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง วันนี้ “ดาวต่างมุม” เลยจับเข่านั่งคุยสบาย ๆ กับสาวมิ้นต์ถึงการทำงาน ชีวิต การเรียน ครอบครัว และเรื่องหัวใจว่าหนุ่มคนที่ชนะใจใช่หนุ่ม ภูผา เตชะณรงค์ ที่เคยมีทั้งข่าวและภาพคู่ด้วยกันบ่อย ๆ หรือเปล่า

ละคร “เหนือเมฆ 2 ตอน จอมขมังเวทย์” เป็นยังไงบ้าง?

“ออนแอร์แล้วเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. บทบาทค่อนข้างโตและไกลตัวมาก เพราะบทบาทเราเล่นเป็นดอกเตอร์สาวที่จบจากเมืองนอกแล้วมั่นใจในตัวเองมาก ๆ ปกติเราได้แต่บทเด็ก คราวนี้พี่นก-ฉัตรชัย อยากให้พลิกบทโตเป็นสาว ก็เป็นอีกบทที่ท้าทาย จบเรื่องเหนือเมฆก็มี “สุภาพบุรุษจุฑาเทพ” เรื่องนี้บทนางเอกน้ำส้ม โดนกลั่นแกล้ง ร้องไห้ (หัวเราะ) คู่กับ เจมส์ มาร์ เขาก็เก่งเล่นดีกว่าหนูเล่นละครเรื่องแรกนะคะ โอเคเลยคนไทยน่าจะชอบเพราะเป็นละครรักด้วยค่ะ”

ความคาดหวังล่ะเพราะละครเรื่องก่อน ๆ ของเราก็มีกระแสทั้งดีและไม่ดี?

“มิ้นต์ว่าเสียงวิจารณ์หรือผลตอบรับให้คนดูเป็นคนตัดสิน เราคิดว่าเราเต็มที่แล้ว แต่อะไรที่ไม่ดีเราน้อมรับ เรื่องหน้าเราจะได้ปรับปรุง แต่ตอนเล่นผู้กำกับตัดสินว่าโอเคดีแล้วเราก็โอเค แต่ที่เหลือให้คนดูตัดสินดีกว่า ที่ผ่านมาเคยเจอมาทั้งดีและไม่ดีมิ้นต์ถือว่าเป็นภูมิคุ้มกันที่ดี อยู่วงการนี้การแสดงไม่มีคำว่าสิ้นสุด ต่อให้เราโตและมืออาชีพแค่ไหนเราก็ยังอยากเรียนการแสดง มิ้นต์มองว่าแบบนี้นะคะ”

การทำงานเวลาละครออกไปเราเช็กตลอดมั้ย?

“ดูกระแสตลอดช่วงนี้คนดูว่าไงบ้าง เราไม่รับฟังก็ไม่ได้เราต้องอยู่กับความจริง อะไรที่ด่า ๆ ก็รับได้ ซึ่งตอนเล่นเรื่อง “ปฐพีเล่ห์รัก” โดนด่ามากที่สุดว่า เรางอกแงกซึ่งคนดูไม่เข้าใจว่าเป็นคาแรกเตอร์ หรือว่าเราพูดแปลก ช่วงนั้นดัดฟันใหม่ ๆ ฟันเหยิน หน้าเป๊ะเกินไป คนว่าโบท็อกซ์ไปหรือเปล่า ซึ่งเราอายุแค่นั้นเอง เราโครงหน้าเล็กแต่มีแก้ม หน้าเลยแปลก ๆ เราก็พูดความจริงไป ไม่ได้ทำอะไรเลย เรียกว่าโตขึ้นดีกว่า หน้าเราไม่สามารถเป๊ะได้ทุกส่วนนะคะ เครื่องสำอางช่วยได้เยอะเลย”

อยู่ในวงการมาปีนี้เป็นปีที่เท่าไหร่ เรียนรู้อะไรจากวงการบ้าง?

“เริ่มเข้าวงการจริง ๆ 9 ขวบค่ะ เริ่มถ่ายภาพนิ่งโฆษณาต่าง ๆ ช่อง 3 เห็นเราโฆษณาเลยเรียกไปเทสต์หน้ากล้องตอนอายุ 12 ขวบ ใส่ชุดเนตรนารีนั่งรถไฟฟ้าไปลงสถานีคลองเตยคิดว่าใกล้บอกแม่เราเดินไปไม่ต้องเปลืองค่ารถ ที่ไหนได้ไกลมาก ลงผิดสถานี (หัวเราะ) พอเข้ามาก็ตื่นเต้นไม่คิดว่าวันหนึ่งจะได้เข้ามาช่อง 3 จนมาเซ็นสัญญา เรียนการแสดง แล้วก็มาเล่นละครเรื่องแรกคือ น่ารัก, สุดแต่ใจจะไขว่คว้า, ดงผู้ดี, ปฐพีเล่ห์รัก และได้รู้ว่าการใช้ชีวิตในกองถ่ายก็ยากบางคนคิดว่านักแสดงสบาย จริง ๆ ลำบากนะคะต้องตากแดดตากลม มิ้นต์จึงมองว่าเข้ามาแค่กอบโกยไม่ได้ แต่นี่คืออาชีพที่ต้องรัก ทำเต็มที่ หวังแต่เงินแล้วออกไปมันไม่ใช่ แล้วต้องไม่ทิ้งการเรียน”

แสดงว่าเราเองก็รักการแสดงและอยากเข้าวงการตั้งแต่เด็ก ๆ เลย?

“ใช่ค่ะ ก่อนเข้าวงการเราก็เป็นเด็กกิจกรรม เป็นเชียร์ลีดเดอร์ ดรัมเมเยอร์ พอเข้ามาตรงนี้ก็ดีใจไม่คิดเหมือนกัน มิ้นต์ก็คิดว่าต่อไปยังเล่นละครไปเรื่อย ๆ บวกกับการเรียนสายนิเทศศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยแสตมฟอร์ด วันหนึ่งเราอาจทำงานเป็นผู้จัดทำรายการ แต่ตอนนี้หนักที่เรื่องเรียนเพราะเป็นภาคอินเตอร์ เรามาจากโรงเรียนไทยต้องปรับพื้นฐาน ในอนาคตเรียนโทอาจไปเมืองนอกเลย มิ้นต์ว่าภาษาสำคัญ ไม่คิดว่าเข้าวงการแล้วแค่เรียน ๆ ให้จบ เพราะอาชีพนี้ไม่ได้ยั่งยืน อาจใช้ภาษาเป็นตัวช่วยเรา”

ดูแลตัวเองในวงการยังไง?

“มิ้นต์ใช้ชีวิตปกติไม่ได้กลัวเป็นข่าวอะไรเลย แม่สอนเราเสมอว่าทำอะไรในที่แจ้งอย่าทำที่ลับ รู้ขอบเขต เราเลยสบาย ๆ เข้าวงการอาจจะรู้สึกว่าชีวิตแบบวัยรุ่นจะหายไป ก็ยอมรับหายไปแต่เราไม่มองแง่ลบมองในแง่ดีว่าเพื่อนเราก็ยังอยู่ว่างเมื่อไหร่นัดได้ คิวงานเราไม่ได้ยุ่งทุกวันอยู่ที่การจัดเวลา เรายังติดต่อกันได้ผ่านโทรศัพท์ ไม่ได้ขาดอะไร”

ตัวตนจริง ๆ ของเราเป็นยังไง?

“เป็นคนแก่น ๆ เราโตมาในบ้านผู้ชายเยอะก็จะห้าว ๆ ไม่หยิ่งด้วยนะคะ คุยได้กับทุกคน คนชอบเรียกเราไปเล่นตลอด (หัวเราะ) มิ้นต์เป็นพี่สาวคนโตมีน้องชายอีก 3 คน ครอบครัวเลี้ยงมาให้เราโตเอง แต่มีพ่อแม่เป็นเหมือนเพื่อนเล่าได้ทุกเรื่อง ส่วนชีวิตในวงการคุณแม่จะย้ำที่สุดเรื่องการลืมตัวว่าอย่าทำเด็ดขาด ถ้าลืมตัวเมื่อไหร่แม่พาออกจากวงการเลยนะ ถ้าเรียกตัวเองว่าดาราไม่ต้องอยู่แล้ววงการ แม่พูดแบบนี้เลย ต้องเรียกตัวเองว่านักแสดง เราไม่ได้เป็นดารา ลืมไหว้ใครคุณแม่เรียกไปดุเลยว่าเราต้องไหว้ แม่บ้าน รปภ. ไปจนถึงคนอื่นเราต้องนับถือ เพราะเราเด็กกว่า จนถึงตอนนี้และไม่เคยเผลอลืมตัวเลย เพราะถูกปลูกฝังมาแล้ว”

เห็นว่าจะซื้อที่ปลูกบ้านใหม่ราคาหลายล้านด้วย?

“ใช่แล้วค่ะ มิ้นต์ตกลงกับพ่อแม่ซื้อที่แถวรัชดาซอยเดียวกับบ้านเดิม 16 ล้าน ราคาสูงมากแต่มีรถไฟฟ้าน้อง ๆ ไปเรียนสะดวก แต่แม่พ่อมิ้นต์เราช่วยกันค่ะ ตอนนี้กำลังวาดแปลนบ้าน ถ้าทำอันนี้ได้ก็ที่สุดแล้ว ที่เราซื้อเพราะน้องโตขึ้นเรื่อย ๆ อยากมีบ้านใหญ่ขึ้น ทุกคนอยากมีมุมส่วนตัว บ้านปัจจุบันมีห้องนอน 3 ห้อง แต่ห้องหนึ่งทำเป็นห้องเก็บของแฟนคลับแล้ว เหลือ 2 ห้อง ก็นอนเบียดกันหมดเลย อยากได้บ้านใหญ่ขึ้น มีที่ให้น้องวิ่งเล่น ถ้าสำเร็จก็เป็นของขวัญชิ้นแรกเลยที่ให้พ่อกับแม่ค่ะ

จัดสรรบริหารชีวิตยังไงบ้าง?

“ทำงานได้เงินมาจะใช้จ่ายอะไรทีคิดเยอะ เพราะเราก็มีหน้าที่รับผิดชอบส่งน้องเรียนที่อินเดีย ทุกคนจะถามว่าทำไมต้องไปอินเดีย น้องก็ถาม ทำไมไม่ให้ไปที่สบาย เราก็บอกว่าสบายได้ไง เราต้องรู้จักลำบาก ก่อนไปน้องชายมิ้นต์ไม่ค่อยรับผิดชอบ แต่ไปอินเดียโรงเรียนประจำอยู่บนเขาเลย กลับมาเมืองไทยเป็นอีกคนไปเลยกลับมาสวดมนต์ กราบเท้าพ่อแม่ก่อนนอน ทำให้น้องได้ดีได้ น้องอีกคนชอบญี่ปุ่นจะไปเข้ามหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่น คนที่ 4 เดี๋ยวตามไปอินเดียค่ะ”

มองว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้วหรือยังกับการทำงานในวงการบันเทิง?

“ทุกวันนี้ก็ภูมิใจนะคะ ไม่คิดว่าจะได้มาเล่นละคร แฮปปี้กับพี่ ๆ ทุกคนที่ดูแลเราเหมือนครอบครัว ปรึกษาทุกเรื่องได้ เป็นความภูมิใจอย่างหนึ่งที่เราเรียนรู้ได้มาถึงตรงนี้”

ถามถึงข่าวกับ ภูผา เตชะณรงค์ ที่หลายคนสงสัยในความสัมพันธ์?

“เราไม่ได้ตกลงปลงใจกับใครเราแฮปปี้ที่เป็นเพื่อนกันทุกคน เราไม่ได้ปิดกั๊กความสัมพันธ์ หรือเจ้าชู้นะคะ ตอนนี้งานและเรียนยุ่งจริง ๆ ไม่พร้อมคบใคร เพราะมิ้นต์ว่าการเป็นแฟนกันต้องมีเวลาใส่ใจกัน เป็นได้แค่เพื่อน ในอนาคตถ้ามีใครมาจีบนอกจากพี่ภูผามีมั้ย ก็บอกได้ว่ามี แต่เราให้ความเป็นเพื่อน ถ้าใครแฮปปี้รอเราได้ ให้ความมั่นคงก็โอเค พี่ภูผาเขาไม่ได้มาแนวจีบ เขาก็คุยเป็นเพื่อนเพราะเพื่อนเรากลุ่มใหญ่ เราบอกไว้กับเขาแล้วว่าพี่หนูอยากเป็นเพื่อนน่ะ แต่ไปกินข้าวก็มีบ้างคนจะโฟกัส แต่มิ้นต์กับพี่ภูผาข่าวเลยไม่จบแต่ตอนนี้ยังเป็นเพื่อน ไม่ได้สนิทที่สุด คุยได้เป็นเรื่อง ๆ ถ้าสนิทที่สุดจะคุยได้หลายเรื่องกว่านี้ เรารู้จักมาสักพักเพราะญาติมิ้นต์เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับพี่เขา เพื่อนในกลุ่มก็รู้จักผ่านกันไป หนูก็ได้อ่านข่าวต่าง ๆ บอกเราเป็นสาวปากแข็งก็เรายังไม่ได้ตกลงอะไรกันเป็นอย่างนี้จริง ๆ ไม่ได้ลักษณะแฟน”

หนุ่มในสเปกเราเป็นยังไง?

“หน้าตาไม่มี แต่ดูที่นิสัยนะคะ ถ้าคุยกันเข้าใจกันจะดีกว่า เรายังไม่เคยมีแฟนเลย เพราะมองว่าเป็นเพื่อนคบกันนานกว่า วันหนึ่งถ้าใช่ก็ค่อยตกลงเป็นแฟนก็ได้ เรียนรู้นิสัยกัน เราไม่ได้ปิด แต่ไม่อยากใช้คำว่าแฟน บางคนเลิกกันมามองหน้ากันไม่ติด เคยมีเพื่อนที่เป็นแบบนี้เยอะมาก เลยอยากเป็นเพื่อนก่อนวันหนึ่ง ถ้าไม่ใช่ เลิกคบกันยังเป็นเพื่อนกันได้อยู่”

คนในวงการมีจีบมั้ย?

“มีบ้างนะคะ แต่คนมาจีบเราไม่ค่อยรู้หรอก เคยมีพี่ในวงการมาจีบ จนเขาเลิกจีบผู้จัดการเขาเพิ่งมาบอกว่าเขาเคยมาจีบ เราก็บอกไม่รู้เลย เขาไม่บอกกลัวเราเกร็ง เพราะเราไม่ได้คิดอย่างนี้ คิดกับทุกคนเป็นเพื่อน เราเป็นลูกสาวคนเดียวที่บ้านก็ค่อนข้างหวงด้วย ขนาดเพื่อนผู้ชายพ่อยังถามตลอดเลย ตอนนี้ยังโสดใครที่ตามข่าวจะเห็นเลยไม่มีจริง ๆ มีแต่ข่าวไม่มีใครเลย ขอเรียนและโฟกัสงานให้มากที่สุด เพราะละครแต่ละเรื่องไม่ง่ายเลยต้องศึกษาเยอะ”

คนแบบไหนจะผ่านเข้ามาพิชิตหัวใจเราได้?

“บางคนบอกว่าโตแล้วเข้ามหาวิทยาลัยแล้วทำไมไม่มีแฟน มิ้นต์ก็จะบอกว่าเรื่องเรียนยังจะไม่รอดเลย (หัวเราะ) ภาษาอังกฤษก็ยากมากละครก็มีการบ้านตลอดเวลา ถ้ามาคุยกับมิ้นต์ตอนนี้จะไม่มีเวลาเลยจริง ๆ พอเขาได้คุยก็จะเข้าใจ มิ้นต์ว่าเนื้อคู่นะถึงเวลาเดี๋ยวก็มาเลย ถ้ามีใครจริง ๆ ก็คงไม่ปิด เรื่องงานลงตัว เรียนลงตัวก็พร้อมบอกทุกคนได้ว่าคนนี้แฟนเรา คุยคนนี้ บอกความจริงสบายใจกว่ามานั่งโกหก มีก็มีไม่มีก็ไม่มี ให้ความเป็นเพื่อน”

ฝากอะไรถึงแฟน ๆ หน่อย ?

“ทุกครั้งที่เจอแฟนคลับมีกำลังใจทุกครั้งที่เจอตามงาน มีกำลังใจมากเวลาเขายิ้มมองเราเรามีความสุข บางทีของเล็ก ๆ ที่ทำมาให้เก็บไว้ทุกชิ้น มีห้องเก็บของแฟนคลับด้วย วันไหนท้อกับงานเราเข้ามามองในห้องมันเป็นกำลังใจที่ใหญ่ในชีวิตเลย พ่อแม่ได้แล้ว ก็ได้จากคนดู ทำให้เราอยากทำให้ดีขึ้นต่อไป ขอบคุณที่ติดตามผลงานมีอะไรติชมได้เสมอพร้อมเอาไปปรับปรุง”

ได้อ่านมุมมองการทำงานในวงการของสาวมิ้นต์ แล้วจะรู้เลยว่าเธอไปได้อีกไกลเหลือเกิน ยังไงแฟน ๆ ก็ต้องคอยเป็นกำลังใจให้ด้วย ส่วนเรื่องความรักก็ไขข้อข้องใจแล้วว่าไม่ได้ปากแข็งแต่ทุกคนคือเพื่อนจ้า.